ตอนที่ 14 ข้อเสนอ
“ท่านโจเซฟ ในระหว่างที่กลับเกิดโจรบุกโจมตีขบวนรถม้า มีเด็กใหม่ที่เข้ามาเป็นทหารฝึกหัดตายไป 3 นายครับ ส่วนมี 8 คนที่จับกุมได้ที่เหลือถูกฝังไว้ในทุ่งหญ้าแถวเนินเลี้ยงสัตว์” บาเรนพูดด้วยความเคารพ
“อืม…จัดการตามระเบียบ” หัวหน้ากองพลโจเซฟ มูธาธีตอบกลับไป แต่สายตาและการสนใจของเขายังคงอยู่ที่ของในมือ มันคือวัตถุรูปร่างทรงกระบอกยาวแค่คืบกว่า ๆ ขนาดพอจับเหมาะมือ มองดูแล้วเหมือนกับมันประกอบขึ้นมาจากชิ้นส่วนขนาดเล็กจิ๋วนับร้อย ๆ ชิ้น แต่ที่น่าแปลกคือมันกลับไม่มีรอยเชื่อมหรือยึดกันเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าทุกชิ้นส่วนออกแบบให้ประกอบเข้ากันได้อย่างพอดี
“ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ” โจเซฟพึมพำออกมาขณะที่ปลายนิ้วลูบไปตามแท่งทรงกระบอกชิ้นนั้น แต่แล้วโจเซฟก็สัมผัสได้ว่าบาเรนทหารที่เข้ามารายงานเรื่องโจรและทหารฝึกหัดที่มารายงานตัวตายไปยังคงไม่ออกไป
“มีอะไรอีก ทำไมยังไม่ไปจัดการตามที่บอก” โจเซฟถามด้วยน้ำเสียงดุดันพลางวางของในมือลง
“คือว่าข้าน้อยยังมีเรื่องรายงานอีก”
“หืม…ยังมีเรื่องรายงานอีกแล้วทำไมยังไม่พูด รีบ ๆ พูดออกมา”
“ในระหว่างทางเรารับเด็กจากตระกูลเจ้าพนักงานที่จะเดินทางมาศึกษาที่สถาบันศาสตร์นักรบด้วย 3 คน”
“งั้นก็ดี จัดการส่งพวกเขาไปที่สถาบันศาสตร์นักรบ ดูแลพวกเขาให้ดี ๆ หน่อยก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปได้แล้ว”
“คือยังมีอีกเรื่องนี้สำคัญกว่าทั้งสามคน” บาเรนรีบพูดออกมาต่อว่า
“ข้าน้อยเจอเด็กคนหนึ่งที่เรียนรู้ด้านช่างโลหะและดูแล้วยังมีพรสวรรค์ด้านช่างโลหะพอสมควร”
หัวหน้ากองพลโจเซฟได้ยินดังนั้นก็รีบเร่งให้บาเรนเล่ารายละเอียดทันที “เล่ามาเจ้าไปเจอเด็กคนนี้จากไหน”
บาเรนเมื่อเห็นว่าหัวหน้ากองพลสนใจแล้วก็รีบเล่าทันที เพราะนี่ถือว่าเป็นโอกาสของเขาแล้ว “เด็กคนนี้เป็นเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านนายพราน พอดีข้ารับเขามาได้ระหว่างทาง ตอนแรกคิดว่าเป็นแค่เด็กยากจนธรรมดา แต่ช่วงที่โจรบุกเข้ามาเขาใช้ศิลปะการต่อสู้ น่าจะเป็นพวกพลังทำลายสังหารโจรไปหนึ่ง และขณะที่เพลาเหล็กเกิดพังเด็กหนุ่มนั้นก็บอกว่าตัวเองเป็นช่างโลหะและก็สามารถซ่อมเพลาเหล็กได้ โดยใช้ศิลปะการต่อสู้”
“เด็กนี่ชักน่าสนใจแล้วสิ ไปตามตัวเขามาหน่อย บางที่กองพลที่ 8 อาจจะได้ต้นกล้าชั้นดีมาแล้วก็ได้”
“ครับ” บาเรนตอบรับหันหลังและเตรียมเดินออกไปตามเด็กหนุ่มที่เขาพูดถึง
“เดี๋ยวก่อนเจ้าชื่ออะไร”
“ข้าน้อยชื่อบาเรน บาเรน มูรีเซ”
“บาเรน มูรีเซข้าจะจำไว้ ตอนเจ้าออกไปช่วยไปเรียกคนทั้งเด็กที่จะไปสถาบันศาสตร์นักรบมาพบข้าด้วย พอดีข้าอยากจะทำความรู้จักกับพวกเขาซะก่อน ถ้าทั้งสามจบจากสถาบันศาสตร์นักรบได้ บางทีกองพลของเราอาจจะมีคนมีความสามารถเพิ่มขึ้นในอนาคต” โจเซฟกล่าวกับก็หันไปสนใจแท่งทรงกระบอกต่อ ส่วนบาเรนก็ทำความเคารพและรีบออกไป
ในระว่างทางบาเรนแวะไปบอกเรื่องที่หัวหน้ากอลพลโจเซฟต้องการพบกับเด็กจากตระกูลเจ้าพนักงานทั้งสามคน ก่อนที่ตัวของบาเรนจะรีบไปตามกาย
กายที่กำลังคิดหาวิธีไปเรียนที่สถาบันศาสตร์นักรบอยู่ แต่แล้วก็โดนเรียกตัวมากระทันว่าให้ไปเข้าพบหัวหน้ากองพล ในตอนนี้นี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหัวหน้ากองพลนั้นใหญ่แค่ไหน แต่ดูท่าจะเป็นคนใหญ่คนโตในกองทัพ เพราะสามารถทำให้บาเรนทำตามคำสั่งได้
บาเรนเดินนำกายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งเมื่อส่งชายหนุ่มเข้าไปด้านในแล้วบาเรนก็ถือว่าหมดหน้าที่และออกไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนกายตอนนี้เดินเข้ามาด้านในห้องที่มีบรรยากาศที่อธิบายได้ทั้งน่าอึดอัดและเข้มขึงในเวลาเดียวกัน ถ้าจะให้พูดรวม ๆ คือบรรยากาศของกองทัพที่แพร่ออกมาอย่างชัดเจน
ขณะที่เขากำลังชื่นชมบรรยากาศในห้องก็มีเสียงของ NPC โจเซฟดังขึ้นมา กายจึงเรียกสติตนเองกลับมาก็รู้ตัวว่าในห้องไม่ได้มีแค่เขาและคนที่บาเรนบอกว่าคือหัวหน้ากองพลโจเซฟอยู่ด้วย
แต่ยังมีวิลเลียม ลูคัสและหญิงสาวตระกูลเจ้าพนักงานอีกคนที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ในท่าพักแบบทหารอยู่ ทั้งสามคนมองมาที่กายด้วยสายตาและสีหน้าที่ต่างกันไป
วิลเลียมมองด้วยความรังเกียจ ลูคัสรู้สึกถึงเรื่องสนุกที่กำลังตามมา ส่วนหญิงสาวคนนั้นเหมือนจะไม่ได้ตกใจอะไร และเดาไว้อยู่แล้วว่าจะเจอเขาที่นี่
โจเซฟมองเด็กหนุ่มรูปร่างธรรมดา แม้จะไม่หล่อเหล่าแต่บางอย่างในตัวกับทำให้หัวหน้ากองพลอย่างโจเซฟรู้สึกว่าเด็กนี่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“รู้ไหมทำไมข้าถึงเรียกเจ้ามาที่นี่” โจเซฟตามกายด้วยน้ำเสียงที่ดูเรียบเฉย
กายไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ ก็โดนNPC ระดับสูงแบบนี้เรียกตัวมาเข้าพบ ถ้าตามในเกมแบบนี้ที่กายรู้ว่าเต้องผ่านภารกิจ NPC ระดับต่ำมาเรื่อย ๆ จนมีระดับมากพอที่จะเข้าพบ NPC ระดับสูง แต่นี่มันไม่ใช่ว่าเป็นการข้ามขั้นไปหน่อยเหรอ เพราะเขายังมีสถานะเป็นเพียงพลทหารฝึกหัดเท่านั้น ถ้าจะพูดให้เห็นภาพก็คงต่ำเตี่ยเรี่ยดินที่สุดในกองทัพเป็นเบี้ยที่ใช้แล้วทิ้ง
แม้ในหัวกายจะคิดอะไรมากมาย แต่มันก็ผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีในโลกราชันเท่านั้น เขารีบคิดหาคำที่พูดที่เหมาะสมพูดออกไปทันทีว่า
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ” กายพูดออกมาซะดูโบราณไปเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็ยืนนิ่งเรียนแบบทั้งสามคนราวกับทหารที่พบกับผู้บังคับบัญชา ทำให้โจเซฟยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทีและการกระทำที่นอบน้อมของกาย
“เพราะนายเป็นช่างโลหะ ถึงจะไม่ได้มีฝีมือมากนักแต่ก็มีค่ามาก” โจเซฟบอกไปตรง ๆ
คำตอบที่โจเซฟบอกเล่นเอากายงงไปอีกว่า ‘โลกในเกมมันบ้าอะไรเนี่ย แค่เป็นช่างโลหะทำไมต้องโดนเรียกเข้าพบด้วย’
โจเซฟถามกายไปตรง ๆ ว่า “สนใจจะไปเรียนที่สถาบันศาสตร์นักรบไหม”
วิลเลียมยังคงถากถางชายหนุ่มอยู่ในใจว่า ‘ก็แค่ช่างโลหะฝึกหัด คงจะได้รางวัลที่ซ่อมเพลาเหล็กรถม้าลากได้ไม่กี่เหรียญเงินเท่านั้นแหละ’ และมองกายอย่างไม่เป็นมิตรแต่พอได้ยินคำพูดของหัวหน้ากองพลที่ถามกายมันก็งงไปตาม ๆ กัน
“ห๊ะ!!!” ทั้งกายและวิลเลียมหลุดอุทานออกมาพร้อมกัน
โจเซฟได้ยินก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ใช้สายตามองวิลเลียมอย่างเตือน ๆ เท่านั้น วิลเลียมรีบก้มหัวขอโทษอย่างรวดเร็ว
“ไปเรียนที่สถาบันศาสตร์นักรบที่พวกเขาทั้งสามคนจะไปใช่ไหม”
“ใช่”
“ที่ซึ่งมีการสอนศิลปะการต่อสู้ระดับสูงใช่ไหม”
“ใช่”
“ไป ตกลงข้าไป” กายไม่ต้องคิดเลยตอบตกลงไปทันที ใครจะไปคิดว่าทุกอย่างจะง่ายแบบนี้อยู่ ๆ ก็มี NPC มาเสนอให้ไปเรียนที่สถาบันศาสตร์นักรบซะงั้น ถ้าเป็นแบบที่ฮาเกนบอกหรือหัวหน้ากองพลโจเซฟบอก เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแดนสงครามอีกแล้ว
“แต่แน่นอนว่ามีเงื่อนไข” โจเซฟพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ต่อว่า “เจ้าจะต้องทำงานให้กับกองพลที่ 8 แห่งกองทัพรักษานครเป็นเวลา 5 ปี หลังจากจบการศึกษาที่สถาบันศาสตร์นักรบ ว่าไงยังจะตกลงอยู่ไหม”
โจเซฟไม่ได้เสนอเงื่อนไขแบบผูกมัดเกินไปเพราะอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเอาเปรียบช่างโลหะเกินไปไม่งั้นอาจจะมีปัญหาได้ แต่แน่นอนว่ากายไม่รู้เรื่องนี้
“ตกลง ข้ายอมรับเงื่อนไข” กายตอบตกลงเหมือนเดิมมันไม่มีอะไรเสียหายตอนนี้เขายังได้เขาไปในสถาบันศาสตร์นักรบและยังได้เข้าร่วมกองพลที่ 8 กองทัพรักษานครแล้วทำไมเขาจะไม่ยอมรับข้อตกลงนี้กัน
แม้เขาจะไม่ชอบงานเกี่ยวกับโลหะ การตีเหล็กอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่ก็ตาม เพราะในโลกจริงเขาก็ต้องไปทำงานที่โรงงานแยกชิ้นส่วนโลหะอยู่แล้ว มาในเกมยังจะต้องมาเกี่ยวข้องกับเหล็กอีก ใครมันอยากจะไปกับเหล็กทั้งวันทั้งคืนกัน
ถึงแบบนั้นเขาก็คิดว่าบางทีอาจจะต้องอ่านหนังสือ “บันทึกช่างโลหะ” เพิ่มสักหน่อย
“ดี ถ้างั้นก็ไปรับเอกสารยืนยันตัวตน พวกเจ้าทั้งสามคนก็ด้วยหวังว่าจบมาแล้วจะเลือกเข้ากองพลที่ 8 แห่งกองทัพรักษานคร”
ทั้งสี่ทำความเคารพแบบทหารจากนั้นก็ออกไปข้างนอก ส่วนกายแวะไปรับเอกสารยืนยันตัวตนก่อนจะไปร่วมตัวกับทั้งสามคน
ซึ่งตอนที่ได้รับเอกสารยืนยันตัวตนมา เขาก็เปิดมันดูข้างในมีข้อมูลของกายอย่างครบถ้วนไม่ตกหล่น ในเอกสารที่เหมือนหนังสือเล่มเล็ก ๆ หลาย ๆ หน้ามีเขียนไว้ว่า
“ชื่อ : เดวิน”
“สถานะ : ทหารฝึกหัด กองพลที่ 8 กองทัพรักษานคร”
ถูกเขียนไว้ในหน้าแรกของหนังสือยืนยันตัวตนส่วนหน้าอื่น ๆ นั้นว่างเปล่า
หลังจากนั้นกายก็บอกเจ้าหน้าที่ทหารที่นำทางว่า เขาขอตัวไปเอาสัมภาระก่อนได้หรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ทหารบอกว่าได้นำสัมภาระกายไปไว้ในรถม้าให้แล้ว กายจึงพยักหน้ารับรู้และเดินตามเจ้าหน้าที่ไปจนถึงรถม้าที่อยู่ในสภาพดูหรูหราเล็กน้อยต่างกันลิบลับกับรถม้าลากในตอนที่พวกเขาเดินทางมา
รถม้ามีหลังจากด้านในเป็นที่นั่งสองฝั่งหันหน้าเข้าหากันมีหน้าต่างผ้าม่านและเบาะนิ่ม ๆ ให้นั่งอย่างสบาย
กายขึ้นไปนั่งรวมกับทั้ง 3 คนที่มีถึงสองคนไม่ชอบขี้หน้าเขา แต่ยังดีที่ที่นั่งข้าง ๆ หญิงสาวยังคงว่างอย่างกายจึงเลือกจะนั่งข้าง ๆ เธอ
“เจ้าไม่ถามหรือว่าข้าอนุญาตให้เจ้านั่งข้าง ๆ ไหม” หญิงสาวถามกายพร้อมกับยิ้มมองดูเขาด้วยท่าทางที่เป็นมิตร
“ไม่มีมารยาท” วิลเลียมทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจ ส่วนลูคัสเหมือนจะเขียนอะไรบางอย่างอยู่เลยไม่ได้พูดอะไร
กายทำเป็นมองไม่เห็นวิลเลียมและพูดกับหญิงสาว “ถ้าข้าขอ เจ้าจะอนุญาตไหม”
“แน่นอน” หญิงสาวตอบกาย
“ถ้างั้นข้าขอนั่งได้หรือไม่”
“เชิญ”
อันที่จริงกายนั่งอยู่แล้วแต่เขาก็พยักหน้าตอบรับไป หลังจากนั่งลงรถม้าก็ออกเดินทางในตอนนั้นเองกายก็นึกอะไรขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังไม่รู้ชื่อของหญิงสาว
“ข้าเดวินจากหมู่บ้านนายพราน” กายเลือกจะใช้ชื่อของตัวละครเกมแนะนำตัว
“ข้ามีอา เวียลินเลีย”
“ยินดีที่ได้รู้จักมีอา เวียลินเลีย” กายยื่นมือไปทักทาย แต่มีอาไม่ได้ยื่นมือกลับมาจับ ดุเหมือนเธอจะยังรักษาท่าทีไว้เล็กน้อย ถึงแบบนั้นก็ยังตอบเขากลับมาว่า “เช่นกัน”
หลังจากนั้นภายในรถม้าก็กลับมาเงียบแบบแปลก ๆ กายเองก็เลือกจะเงียบเช่นกัน และแล้วทั้งสี่คนที่มาจากต่างที่กันก็เข้ามาร่วมเส้นทางเดียวกัน รถม้าเดียวกันเดินทางสู่สถาบันศาสตร์นักรบ แห่งนครดาราฟ้า
ขณะเดียวกันหัวหน้ากองพลโจเซฟ มูธาธีก็หัวเหราะอยู่ภายในห้องด้วยท่าทีอารมณ์ดี เหมือนกับพ่อค้าที่ได้ทำสัญญาการค้าครั้งใหญ่สำเร็จแล้ว