ตอนที่ 19 เสียงทะเลาะในบ้านยามเช้า
กายลุกขึ้นจากเตียง เช้านี้หมอกลงหนาเป็นพิเศษ เขาลงไปตักน้ำมาล้างหน้า และนั่งทบทวนเรื่องที่อ่านเมื่อคืนที่ผ่านมา
“ข้าคงต้องสร้างดาบสักเล่มเพื่อทดลองดูว่าจะได้ผลหรือเปล่า และมันต้องเป็นดาบที่ดีด้วย” กายคิดว่าต้องสร้างดาบของตัวเองเท่านั้น ถึงจะพัฒนาศิลปะการต่อสู้ได้เร็วที่สุด
ไม่รอช้าเขาหยิบหนังสือ “บันทึกช่างโลหะ” ออกมาจากนั้นก็จากนั้นก็ด้านพลิกไปด้านหลังหนังสือเปิดดูอีกครั้งเพื่อหาพิมพ์เขียวดาบ เพราะก่อนหน้าตอนเขาตีมีดทำครัวมันก็มีพิมพ์เขียวมีดทำครัวอยู่ในหนังสือด้านหลัง และยังมีพิมพ์เขียวอีกหลายแผ่นที่เขาก็ยังไม่ได้เปิดดู
กายเจอพิมพ์เขียวมากมาย บางอันซับซ้อนมากขนาดเชื่อวัตถุดิบยังแปลกประหลาด ชื่อแร่บางตัวก็ยากจะอ่านได้ สีหน้าของเขามีแต่ความตกใจ ดูเหมือนหนังสือเล่มนี้จะเป็นของช่างตีเหล็กในตำนานคนใดคนหนึ่งเป็นแน่
และในที่สุดกายเจอกับสิ่งที่เขาต้องการ พิมพ์เขียวดาบ ซึ่งดูไม่ซับซ้อนและสร้างง่าย แน่นอนว่ามันมีเขียนบอกไว้ในส่วนท้ายของพิมพ์เขียว ว่าเหมาะกับช่างโลหะมือใหม่
เพราะวัตถุดิบที่ใช้ก็มีแค่เหล็กทั่ว ๆ ไป แต่ปริมาณแร่เหล็กที่ถลุงแล้วมันกับใช้เยอะมากถึง 25 กิโลกรัม และแร่อื่น ๆ อีกสองสามตัว
กายอ่านแบบพิมพ์เขียวจึงเข้าใจ ว่าทำไมถึงต้องใช้เหล็กดิบมากขนาดนี้ในหนังสือบันทึกข้อมูลไว้ละเอียด
“ดาบที่จะสร้างต้องให้เหล็กบริสุทธิ์มาก ๆ นั้นหมายความว่าข้าต้องจัดการเหล็กดิบที่ถลุงแล้ว 25 กิโลกรัมให้เหลือแค่ 2.5 กรัม หรือก็คือบริสุทธิ์ 10 เท่าหลอมเป็นเหล็กกล้า”
กายรู้สึกได้ถึงความยากที่เขาจะต้องได้เจอจึงเข้มขึงเล็กน้อย คิดจะหาของอย่างอื่น ๆ แต่ดูท่าแล้วมันกลับไม่มีพิมพ์เขียวไหนที่เหมาะสมเท่ากับอันนี้อีกแล้ว
ทำให้กายต้องจำใจเลือกอันนี้พิมพ์เขียวนี้มาสร้างดาบ
“ลองเสี่ยงดุสักครั้ง”
เขาปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยชุดสีเทาปักสัญญาลักษณ์ดาวหกแฉกที่แทนดวงดาวและหมู่เมฆที่แทนท้องฟ้าของนครดาราฟ้า
“ข้าก็ดูดีเหมือนเดิม” กายมองตัวเองจากเงาในอ่างล้างหน้าจากนั้นก็รีบออกไปต้องไปฟังการสอนศิลปะการต่อสู้ ฟัน ขั้น 1 และ 2
วันนี้เป็นการฟังครั้งที่สอง เพราะสามวันที่ผ่านมาเขาติดเรียนกับอาจารย์คาร์เตอร์ เซนลิน
หลังจากฟังจบข้อความจากระบบก็เด้งขึ้นมาตามเคย
“ฟังการสอนครบ 3 ชั่วโมง เพื่อเริ่มเรียนรู้ [ศิลปะการต่อสู้ ฟัน 0 /2 (1.26%) ] ”
แต่ไม่มีเวลาให้เขาชื่นชมมากนัก กายต้องไปที่โรงตีเหล็กจัดการงานของตัวเองเสร็จก็เย็นพอดี แต่ดูเหมือนเขาจะใช้เวลาน้อยลงและทำได้เร็วขึ้นเพราะการตีเหล็กแท่งซ้ำ ๆ แบบเดิม มันทำให้เขาเริ่มชินและรู้ว่าต้องตีตรงไหนบ้างเหล็กถึงจะขึ้นรูปได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
กายส่งงานเหล็กแท่งทั้ง 50 ชิ้นและก็แวะไปสอบถามกับอาจารย์ช่างโลหะจอห์น
“ท่านอาจารย์จอห์นที่โรงตีเหล็กไร้เวลามีแร่เหล็กให้ช่างโลหะฝึกหัดใช้งานหรือไม่” แน่นอนกายขอฟรี
“มี แต่ไม่ฟรี” อาจารย์จอห์นให้คำตอบกับกายสั้น ๆ แต่ชัดเจน
“ถ้าเจ้าอยากได้แร่ต้องซื้อ เพราะของทุกอย่างที่มาถึงโรงตีเหล็กไร้เวลาต้องใช้เหรียญทองทั้งนั้น” อาจารย์จอห์นอธิบายให้ฟัง แต่ก็เหมือนบอกมันไม่มีของฟรีในโลก
กายทำท่าจนใจควักเหรียญทองออกมา ซื้อแร่เหล็กมา 85 กิโลกรัมมาด้วยราคากันเองแบบน่าเลือดของอาจารย์จอห์น นั้นคือ กิโลกรัมละ 5 เหรียญเงิน เขาต้องเสียเงินถึง 42 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน ทำให้เงินที่สะสมมาเหลืออยู่ 21 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน
“เฮ้อ…” เขามองดูเงินที่มองดูเงินที่หายไปครึ่งก็ต้องถอนหายใจ ถึงจะบอกว่าแค่ในเกม แต่มันก็คือเงินจริง ๆ ไม่สิทองมันคือเหรียญทองตั้งหาก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ว่าความจนมันช่างน่ากลัวนัก
กายเดินไปที่เตาหลอมที่ประจำของเขา ซึ่งสามารถใช้ได้ฟรีเพียงแค่ไปตักลิกไนต์ (ถ่านหิน) ที่อยู่ในคลังของโรงตีเหล็กเท่านั้น ในระหว่างรอแร่เหล็กมาส่งให้กายก็นั่งพักผ่อนไปในตัวอยู่หน้าเตา
หลังไฟเริ่มร้อนแรง คนดูแลคลังของโรงตีเหล็กไร้เวลาก็ขนแร่เหล็กมาให้กาย
ก็ทำงานตามพิมพ์เขียวที่ลอกแบบออกมา ที่เขาเลือกจะคัดแบบออกมาเพราะมันสะดวกกว่ามานั่งเปิดหนังสือและอีกอย่างก็เพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็นหนังสือ “บันทึกช่างโลหะ” และนำอันตรายมาสู่ตนเองโดยไม่จำเป็นได้
“มาลุยกัน”
กายเริ่มจากการถลุงแร่ก่อน จากนั้นก็หล่อเหล็กดิบตามขั้นตอนที่เขาคุ้นเคยอย่างชำนาญ ส่วนต่อมาคือการทำให้แร่เหล็กบริสุทธิ์ตามที่ต้องการ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
หลังจากนั้นวันทั้งวันกายก็ไม่ได้ออกไปไหน จนหมดเวลาในเกมเขาก็ยังคงอยู่ในโรงตีเหล็กไร้เวลา
“เอ๊ะ หมดเวลาในเกมแล้วเหรอ” กายมาโผล่อยู่ที่หน้าประตูโลกราชัน เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าการตั้งใจทำอะไรสักอย่างเวลามันจะผ่านไปเร็วขนาดนี้
“ล๊อกเอ้า” เขาออกจากเกม
กายลุกขึ้นจากแคปซูลเกมนวดคอไปมาด้วยความเมื่อยและหันไปทักทายเจ้ซาเรีย
“อรุณสวัสดิ์ครับเจ้ซาเรีย”
“อืม” ซาเรียตอบด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
กายเห็นแบบนั้นก็ถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง เพราะถึงอย่างไรตัวเขาและเจ้ซาเรียก็เป็นหุ้นส่วนกัน
“เกิดอะไรขึ้น เจ้ซาเรียเป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่สบาย”
ซาเรียไม่ได้ตอบ แต่เอโบกมือไล่กายไปหาอะไรทำ
‘ดูเหมือนเธออยากจะอยู่คนเดียว’ เขาจึงไปหาอะไรกินตามเดิมก่อนจะกลับบ้านไปนอนตามปกติเหมือนกับทุก ๆ วัน
ด้านนอกตอนตีสามกว่า ๆ มันดูเงียบมากพอสมควร กายจึงเดินด้วยท่าทีระวังตัวพอสมควร เพราะในเขต 7 อาชญากรรมสูงมากพอสมควร กายไม่อยากที่จะเดินอยู่ ๆ ก็มีคนเอามีดมาจี้จากทางด้านหลัง
ขณะที่เปิดประตูเข้าไปป้ามิแรนด้าก็มาดักกายเพื่อเอาเงินที่ออกของWeek นี้ (week = 15 วัน) ในหนึ่งเดือนเงินจะออกสองครั้ง
และเหมือนกันทุก ๆ ครั้งป้ามิแรนด้าจะมาดักเอาเงินแบบนี้ ซึ่งก็เหมือนทุกทีกายยิ้มเจื่อน ๆ และโอนให้ไปเกือบทั้งหมด
ป้ามิแรนด้ามีรอยยิ้มแห่งความโลภเมื่อเห็นตัวเลขในบัญชีเพิ่มขึ้น และพูดออกมาว่า “ฉันเลี้ยงแกมาดี ก็ต้องตอบแทนแบบนี้จึงจะถูก”
“ครับป้า” กายตอบไปแต่น้ำเสียงไม่น่าฟังมากนัก
รอยยิ้มของป้ามิแรนด้าทำให้กายคิดถึงเรื่องในอดีต เมื่อป้ามิแรนด้าทำเรื่องรับเขามาเลี้ยงก็ยิ้มแบบนี้ ตอนนี้เขายังเล็กมากจึงไม่รู้อะไรมากนักและคิดว่าป้าดีใจที่รับเขามาเลี้ยงดูได้สำเร็จ แต่พอโตขึ้นเขาก็พอจะรู้ถึงรอยยิ้มนั้นมันไม่ใช่เพราะเขา
แต่เป็นเพราะค่าเลี้ยงดูและเงินประกันของพ่อกับแม่เขา ซึ่งเงินนั้นก็ได้กลายมาเป็นบ้านหลังนี้
ป้ามิแรนด้าไม่สนใจกายที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เธอมองตัวเลขและเดินหาวกลับเข้าไปในห้องนอนชั้นแรกด้วยความอารมณ์ดี
“วันนี้ฉันใจดี ในตู้มีกับข้าวที่ทำเหลือไว้อยู่” เสียงของป้ามิแรนด้าลอยมาปลุกกายจากภวังค์
“อย่างน้อยป้าก็ยังทำของกินไว้ให้”
กายเปิดตู้เย็น ด้วยความหวัง แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง เพราะมันมีเนื้อตุ๋น ที่แทบจะไม่สามารถเรียกว่าเนื้อได้เลย
“เนื้อสังเคราะห์ เกรดคัดทิ้ง กับแป้งเหลว 1 ถ้วย ก็ยังดี” ถึงจะบอกแบบนั้นกายก็กลับมันกลับเข้าที่เดิมและเดินขึ้นห้องใต้หลังคาไป
“วันนี้คือวันเสาร์ ถ้างั้นก็ตื่นสาย ๆ แล้วกัน” วันเสาร์คือวันหยุดของโรงงานแยกชิ้นส่วนโลหะ ทำให้ตอนเช้ากายไม่ต้องไปทำงาน เขาจึงตั้งนาฬิกาปลุกไปปลุกตอนเที่ยงวันแทน
กลางคืนหนาวแต่ช่วงเช้าและกลางวันเริ่มร้อนขึ้น กายรู้สึกร้อนมากแต่เรื่องแค่นี้เขายังพอทนได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถจะทนได้นั้นก็คือเสียงทะเลาะระหว่างสองพี่น้องอันยากับอานน
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้เอาไป”
“จะเป็นไปได้ยังไง เธอต้องเป็นคนเอาไปอย่างแน่นอน เพราะเมื่อวานมันยังอยู่เลย”
“พี่กล้าใส่ร้ายฉันงั้นเหรอ”
“หึ น้องสาวตัวแสบอย่างเธอมันขี้ขโมยอยู่แล้ว ทำไมฉันจะไม่กล้า หรือว่าเธอกับไอ้เด็กกำพร้านั้นจะรวมหัวกันขโมยของ ๆ ฉัน”
“พี่ชาย นายมันเลวกล้าเอาฉันไปเทียบกับมันได้ยังไง” อันยาพูดจบก็วิ่งเข้าไปทุบอานนทันที
แต่อานนก็จับแขนของเธอไวได้ทันจากนั้นก็ผลักกลับไป ด้วยแรงของผู้ชายอันยาไม่มีทางสู้ได้จึงล้มลงเสียงดังทำให้ป้ามิแรนด้าวิ่งเข้ามาห้ามตามประสาคนเป็นแม่อย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าข้างอานนลูกชายสุดที่รักมากกว่าลูกสาว
เพราะเมื่อลูกสาวแต่งงานออกไปก็จะไปอยู่บ้านคนอื่นแต่ลูกชายต่างกัน เธอคิดจะพึ่งพาลูกชายในยามแก่เฒ่าดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเอาใจลูกชายมากกว่าลูกสาว
แต่ถึงแบบนั้นเธอก็รักลูกทั้งสองคนมากไม่แพ้กัน
“อันยา ลูกได้หยิบของในห้องพี่ชายติดมือไปหรือเปล่า ลองกลับไปหาแล้วเอามาคืนพี่ชายเร็วสิ” ป้ามิแรนด้าเข้าไปช่วยอันยาลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วงเหมือนกัน แต่การพูดแบบนั้นกับทำให้อันยารู้สึกน้อยใจ
“แม่!” อันยาพูดพร้อมกับกระทืบเท้าไม่พอใจ
“พอได้แล้ว! ทั้งสองคนเลยหยุด! โตกันขนาดนี้แล้วยังมาเถียงกันเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ได้” เสียงของแฟรงค์ดังขึ้น ทั้งอันยาและอานนจึงสงบลง
“ไอ้แก่! แกกล้าว่าลูกของฉันงั้นเหรอ หรืออยากนอนนอกบ้านหุบปากไป…” ป้ามิแรนด้าหันขวับไปหาลุงแฟรงค์และด่าไม่หยุดราวกับจะมีไฟพ่นออกมาจากปาก เล่นเอาลุงแฟรงค์ปวดกระบาลเบือนหน้าหนีและขี้เกียจจะไปยุ่งเรื่องของสามแม่ลูกอีก
ป้ามิแรนด้าหลังจากด่าลุงแฟรงค์พอใจแล้วก็หันมาพูดกับอานนว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวลูกเอาเงินไปซื้อใหม่ก็ได้ เดี๋ยวแม่โอนให้”
“จริงนะแม่” อานนยิ้มออกมาทันทีด้วยสายตาที่เป็นประกาย เข้าไปกอดแม่ของตัวเองด้วยท่าทีออดอ้อน
“หนูบอกแล้วว่าหนูไม่ได้เอาไป แม่โอนเงินให้พี่ชายแบบนั้น…ขี้โกง” ในจังหวะนั้นเธอก็เหลือบมองไปที่ประตูทางขึ้นห้องใต้หลังคาจึงรีบพูดออกมาว่า “กาย ใช่แล้วต้องเป็นกายแน่ ๆ เดี๋ยวนี้มันกลับบ้านดึกอาจจะไปติดยาก็ได้จึงต้องการเงิน และมาขโมยของพี่ชายไป”
ป้ามิแรนด้าได้ยินแบบนั้นก็เหมือนจะเชื่อลูกสาว ส่วนอานนนั้นก็มองไปทางห้องใต้หลังคาแบบไม่พอใจ
“เฮ้อแม้แต่หน้าฉันก็ยังไม่เห็น แต่กับใส่ร้ายกันได้อีก แสบจริง ๆ” กายพึมพำอย่างสมเพชตัวเองก่อนจะหาหมอนมาปิดหูและนอนต่อ เพราะต่อให้เขาไปเถียงแก้ต่างยังไงก็โดนด่าอยู่ดี สู้เขาอยู่เฉย ๆ ยังจะดีซะกว่า
ปัง!
เสียงรองเท้าป้ามิแรนด้าปาใส่ประตูกาย พร้อมกับเสียงบ่น หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมงในที่สุดป้ามิแรนด้าก็เหนื่อยจึงหยุดบ่นไป
“ดี ถ้าแก้ไม่ยอมออกมางั้นวันนี้ก็ไม่ต้องกินข้าว” ป้ามิแรนด้าพูดทิ้งท้ายไว้
ส่วนกายตอนนี้หลับไปอีกครั้งแล้วด้วยความเพลีย และก็รู้สึกช่างแม่งมัน ไม่กินก็ไม่กิน และก็เป็นเพียงความคิดในใจที่เขาไม่ได้พูดออกไป