ตอนที่ 40 สัญญาเงินสด
วันที่ 22 เมษายน ปีที่ 70 เวลา 00.00 น.
เช้าวันนี้กายไม่ต้องไปเรียน เขาจึงเอาดาบจำนวน 8 เล่มที่พึ่งสร้างเสร็จได้ไปขายกับที่ร้านต้นไม้เงินเหมือนอย่างเคย มี 2 เล่มเป็นระดับ 4 และ 6 เล่มเป็นระดับสามสุดยอด
แอชเชอร์มองกายด้วยความตะลึง เขาไม่คิดว่ากายจะกลับมาขายดาบได้เร็วขนาดนี้ แถมยังมากกว่าครั้งก่อนอีกด้วย ทางด้านของนักประเมินเชสก็ไม่ต่างกัน แต่ชายชรายังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เขาทำการประเมินราคาอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่กายเปิดดูค่าสถานะของดาบ
ต้องบอกก่อนว่าพวกNPC นั้นไม่สามารถเปิดดูค่าสถานะได้พวกเขาจึงมีนักประเมินคอยตรวจสอบ ต่างกับผู้เล่นที่สามารถเปิดดูต่างสถานะสิ่งของที่ครอบครองได้ เขารู้สึกว่าระบบสร้างความได้เปรียบกับผู้เล่นสูงมากแต่นั่นยิ่งทำให้ผู้เล่นและ NPC แบ่งแยกมากขึ้น สักวันคงเกิดสงครามระหว่างผู้เล่นและ NPC
ถ้าเกิดขึ้นจริงเขาควรจะอยู่ข้างไหนดี แต่พอคิดถึงตรงนี้กายก็คิดว่ามันง่ายมาก เขาก้อยู่ข้างตัวเองนี่แหละจะเอาชีวิตไปเสี่ยงตายให้ผู้เล่นหรือ NPC ทำไม
กายเสนอราคาออกไป ดาบระดับ 4 ทั้งสอง มี 1 เล่มที่สามารถรองรับจิตวิญญาณได้ อีกอย่างดาบชุดนี้ กายปรับให้มันดูดีและมีประสิทธิภาพในระดับของมันมากขึ้น อาจจะเพราะเขาสร้างพวกมันเป็นครั้งที่สองจึงเห็นความผิดพลาดหลาย ๆ อย่าง
“ดาบจะขายราคาเดิม ดาบระดับ 3 ราคา 350 เหรียญทองและขายดาบระดับ 4 ที่ 900 เหรียญทองส่วนเล่มที่บรรจุจิตวิญญาณได้มันราคา 1800 ไม่ขาดไม่เกิน” กายบอกราคาของเขาไปตรง ๆ
อันที่จริงกายรู้ว่าเจ้าของร้านต้องเอาไปขายได้ราคาที่สูงกว่าอย่างแน่นอน แต่กายก็ไม่ได้เพิ่มราคามากขึ้นไปอีก บางครั้งการพึ่งพาอาศัยกันก้เป็นสิ่งจำเป็น
เขาชอบแบบนี้ ขายเงียบ ๆ ไม่โดดเด่นเกินไป
“ท่านเป็นอาจารย์ช่างโลหะใช่หรือไม่ขอรับ” แอชเชอร์ถามกายเรื่องนี้อีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สองที่ถามแล้ว กายไม่คิดจะตอบกลับไปทันที เขาเพียงถามกลับไป “ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
เขาอยากรู้ เพราะบางที่การกระทำของเขาโดดเด่นเกินไปอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าช่างโลหะคนอื่น ๆ ก็เอาดาบมาขายกันไม่ใช่หรือไง?
“ปกติดาบที่บรรจุจิตวิญญาณได้จะถูกตีขึ้นมาโดยอาจารย์จิตวิญญาณ และไม่ใช่จะตีกันง่าย ๆ แล้วก็อาจารย์ช่างโลหะส่วนใหญ่จะทำเรื่องซื้อขายกันโดยตรง ท่านคงไม่ได้ขโมยพวกมันมาอยู่แล้วจริงไหม”
แต่สิ่งที่แอชเชอร์บอกมานั้นทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมเขาถึงสงสัยว่ากายเป็นอาจารย์ช่างโลหะ ดูเหมือนว่าเรื่องของอาจารย์ช่างโลหะจะมีหลายอย่างที่เขาไม่รู้ แต่แม้แอชเชอร์จะรู้ว่าดาบนี่เป็นเขาสร้างขึ้นมา แอชเชอร์ก็ไม่รู้ว่าตัวเขานั้นเป็นใคร กายจึงเลือกบอกไปอย่างอ้อม ๆ แทน
“งั้นก็คงจะอย่างนั้นแหละ”
แอชเชอร์ได้ยินแบบนั้นก็คิดว่าตัวเองนั้นคิดถูกแล้ว เขายังถามต่อ “ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่”
“แล้วแต่จะเรียก ข้าไม่ยึดติดกับชื่อ” แม้เขาจะพูดไปแบบนั้น แต่ในใจก็คิดว่าช่วยเรียกชื่อที่มันเท่ ๆ หน่อยก็แล้วกัน เขายังไม่อยากเปิดเผยชื่อในตอนนี้ มันอาจจะนำเรื่องยุ่ง ๆ มาได้
แอชเชอร์ไม่ได้ถามอะไรอีก ในเมื่ออาจารย์ช่างโลหะลึกลับคนนี้ปิดบังตัวตนตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็คงจะมีเหตุผลของตัวเอง
“ว่าแต่ท่านต้องการเงินเป็นอะไร?”
กายที่กำลังทำท่าทางลึกลับอยู่ก็งงเป็นไก่ตาแตก เงินมันมีรูปแบบอื่นด้วยเหรอวะ แต่เขาก็ยังเงียบอยู่
แอชเชอร์คิดว่ากายคงให้เขาหัดคิดเอาเองบ้าง ก็ทำท่าทีขออภัยก่อนจะกล่าวว่า “ข้าขอโทษด้วยเหรียญทองทั้ง 4800 เหรียญมันจะหนักเกินไปจริง ๆ ถ้างั้นเดี๋ยวข้าจะจ่ายให้ท่าเป็นสัญญาเงินสดแทน”
สัญญาเงินสดเป็นสิ่งที่ใช้แทนเหรียญทองได้ เพราะการพกเหรียญทองจำนวนมากมันไม่สะดวก อีกทั้งการปรับใช้สัญญาเงินสดยังช่วยแก้ปัญหาหลาย ๆ ในเรื่องการเงินได้เป็นอย่างดี มันจึงเป็นที่นิยมมาก
โดยสัญญาเงินสด 1 ใบมีมูลค่า 1000 เหรียญทอง ตัวกระดาษของสัญญาสร้างมาจากวัสดุที่เป็นความลับ มันมีความพิเศษตรงที่ไม่ไหม้ไฟไม่ขาดยุ่ยเมื่อเจอน้ำ ง่าย ๆ ก็คือมันทนน้ำทนไฟ ฉีกขาดได้ยาก แถมในแทบทุกนครก็ยอมรับค่าของมัน ซึ่งเหตุผลแท้จริงนั้นยังไม่มีใครรู้
“สัญญาเงินสด 4 ใบกับอีก 800 เหรียญทอง ถ้าท่านมีดาบอีกสามารถมาขายให้กับข้าได้” แอชเชอร์พูดด้วยใบหน้าที่รอยยิ้มประดับอยู่ เขาคิดว่าหลังจากนี้จะทำเงินจากดาบทั้ง 8 เล่มได้แต่ไหนกันก็มีความสุขแล้ว
กายไม่ได้กล่าวอะไร เพียงหยิบเงินทั้งหมดแล้วเดินออกมาทันที
เขาเดินวนไปมาอยู่สามสี่รอบก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับไปที่สถาบันศาสตร์นักรบ เพื่อไม่ให้ใครติดตามมาได้ แม้ว่าแอชเชอร์จะไม่ส่งใครมาก็ตาม แต่กายไม่คิดจะประมาทในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ใครจะไปรู้อาจจะมีโจรคอยดักปล้นคนอื่น ๆ ก็ได้
หลังจากกลับมาแล้ว เขาก็คิดว่าจะไปหาอาจารย์ช่างโลหะจอห์น เพื่อเช่าห้องตีเหล็กส่วนตัว ซึ่งอาจารย์ช่างโลหะมักจะใช้พวกมันกัน เนื่องจากมันเป็นส่วนตัว เตาหลอมและเครื่องมือก็มีคุณภาพที่ดีกว่า
หลายวันมานี้คนในโรงตีเหล็กไร้เวลาเริ่มสังเกตพฤติกรรมของายมากขึ้น ซึ่งกายไม่ชอบสักเท่าไหร่ การที่อยู่ ๆ คนคนหนึ่งเก่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย แม้แต่เด็กน้อยก็คิดได้ว่าเขาต้องมีสมบัติอะไรบางอย่าง ถ้าไม่นับหนังสือบันทึกช่างโลหะ เรื่องที่เขาเป็นผู้เล่นก็ไม่ควรให้ใครรู้
กายไม่รู้ว่า NPC สามารถรับรู้เรื่องการมีอยู่ของผู้เล่นได้ไหม แต่เขาคิดว่า ได้! เพราะอย่างในตอนผู้เล่นที่อาละวาดลูกไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งมันเด่นซะจน NPC ต่างก็พากันตกใจพูดเรื่องนี้ไปหลาย
มองไปรอบ ๆ ก็เห็นอาจารย์ช่างโลหะจอห์นกำลังนั่งหลับอยู่ กายไม่รอช้าเดินตรงเข้าไปหาทันที
“อาจารย์ช่างโลหะจอห์น ท่านว่างอยู่หรือไม่”
จอห์นที่ตอนนี้นอนหลับอย่างสบายใจ แต่แล้วก็มีคนมาปลุกเขาแล้วถามเขาว่างอยู่หรือไม่ จะให้เขาตอบไปว่ายังไง ข้าว่างเลยมาแอบนอนกลางวันอย่างนั้นเหรอ
จอห์นมองกายด้วยความโมโห เมื่อเห็นว่ามันคือเด็กหนุ่มที่เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าคนเดิมที่ชอบปลุกเขาตอนนอนหลับ มันก็เหมือนกับเครากำลังลุกไหม้เป็นไฟ นั้นยิ่งทำให้จอห์นมองกายอย่างไม่สบอารมณ์มากขึ้น
“เจ้าต้องการอะไร!” จอห์นพูดออกมาด้วยท่าทางเมาเล็กน้อย
“อะแฮ่ม” กายแกล้งไอแล้วทำท่าจริงจังก่อนจะพูดด้วยความนอบน้อมว่า “ข้าอยากจะมาถามเรื่องห้องส่วนตัวของโรงตีเหล็กไร้เวลายังพอมีว่างอยู่หรือไม่ขอรับ ข้าจะขอ…”
“ไม่มี” จอห์นตอบอย่างไม่ไยดี เล่นเอากายไม่รู้จะพูดคำไหน
เขาคิดว่าตัวเองไม่ได้ไปยั่วโมโหอาจารย์ช่างโลหะจอห์นเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมเขาถึงมีท่าทีไม่พอใจกัน
“ข้าสามารถเช่ามัน…”
“เจ้าเป็นแค่ช่างโลหะฝึกหัด ยังไม่มีสิทธิ์ใช้”
“แล้วใครมีสิทธิ์”
“อาจารย์ช่างโลหะเท่านั้นที่ใช้ได้” จอห์นใช้คำตอบที่กายไม่สามารถทำอะไรได้ แน่จริงเจ้าก็เป็นช่างโลหะสิ ข้าจะให้เจ้าเข้าไปใช้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวัง ซึ่งนี่คือวิธีที่จอห์นจะใช้แกล้งเจ้าเด็กนี่ เขาคือคนคุมที่นี่ ใครจะมาว่าอะไรเขาได้
กายได้ยินก็รู้ว่าต่อให้ยกเหตุผลมาพูดตาลุงเครายาวเจ้าคิดเจ้าแค้นนี่ก็ไม่ให้เขาเข้าไปใช้ในห้องส่วนตัวอย่างแน่นอน แค่ตอนนั้นเขาแค่แกล้งจะใช้เหล็กร้อนจี๋เผาเคราก็เท่านั้น ทำไมถึงต้องโกรธกันขนาดนี้
จอห์นไม่รอใช้กายพูดอะไรอีกชิงนอนหลับไปแล้ว
เขาเดินคอออกมา เขาคิดว่าตัวเองควรจะเปิดเผยเรื่องความสามารถออกมาหรือไม่ แต่พอคิดดูแล้วเขาว่ายังไม่ใชเวลาที่เหมาะ ถ้าเกิดกองทัพรู้เรื่องคงดึงตัวเขาออกจากสถาบันศาสตร์นักรบและพาไปอยู่แต่ในโรงตีเหล็กทั้งวัน ต้องค่อยทำงานเหมือนเครื่องจักรไร้ชีวิต
ซึ่งนี่คือความคิดในมุมมองของกาย ถ้าโจเซฟได้รู้ว่ากายคิดแบบนี้คงจับเขาไปทุบตีสักสองสามรอบ
…………….
กายเดินออกมาจากโรงตีเหล็กไร้เวลาพร้อมกับคิดหาวิธีไปด้วย ในเมื่อเขาไม่สามารถใช้ห้องส่วนตัวที่โรงตีเหล็กไร้เวลาได้ มันก็น่าจะมีทางอื่น
“ไปขอเช่าเตาหลอมที่อื่นดีไหม ไม่สิเดียวก่อนในเมื่อไปเช่าเขา ทำไมไม่ซื้อโรงตีเหล็กข้างนอกสถาบันศาสตร์นักรบเลยละ”
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ่งตื่นเต้น ในโลกความจริงเขาหาเช่าบ้านของตัว ในเกมเขาก็ควรจะมีด้วย ต้องเป็นโรงตีเหล็กที่สามารถพักอาศัยได้ ในนครดาราฟ้ามีอยู่ไม่กี่แห่ง บังเอิญเขาเคยเห็นอยู่ที่หนึ่ง
กายรีบเดินทางไปที่นั่นในทันที โรงตีเหล็กที่ขายกิจการ หลังจากเดินหาทางอยู่สักพัก เพราะเขาหลงทางที่นี่ถนนและตอกซอกซอยเยอะพอสมควร ยังดีที่มันเป็นระเบียบ เพราะนครแห่งนี้มีผังเมืองที่ดีมาก
แม้ในบางมุมของนครก็ยังมีสลัมอยู่บ้าง
กายจำได้ว่าตอนที่เขาปลอมตัวไปขาบดาบ ก็หลบออกมาโดยเดินวนไปมาสองสามรอบ จึงทำให้มาเห็นร้านแห่งนี้เข้า
ก่อนจะเข้าไปเขาลองถามคนแถว ๆ นี้ดูแล้ว ร้านนี้เป็นร้านที่ช่างโลหะทั่วไปคนหนึ่ง มันเปิดมานานกว่า 60 ปีแล้ว ซึ่งอาจจะเรียกว่าร้านเก่าแก่ของถนนเส้นนี้เลยก็ว่า
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ช่างโลหะทั่วไปผู้นั้นเสียด้วยโรคชรา ลูกชายที่เป็นเพียงช่างโลหะฝึกหัดก็ไม่สามารถตีอาวุธอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมา แถมนิสัยยังเป็นคนติดเหล้าและการพนัน ทำให้สร้างหนี้สินไว้จำนวนมาก ของในร้านหลายอย่างถูกขายไปใช้หนี้หมดแล้ว จะเหลือก็แต่ร้านเปล่า ๆ และโรงตีเหล็กหลังร้านที่ยังคงรักษาไว้
อันที่จริงไม่ใช่เพราะลูกชายคนนี้ทำตามคำสั่งเสียหรืออะไร เพียงแต่เพราะรู้ว่าถ้าขายอุปกรณ์ในโรงตีเหล็กไปละก็ การจะขายร้านก็ยากขึ้นเพราะใครจะมาโง่ซื้อโรงจีเหล็กที่ไม่มีอุปกรณ์และเตาหลอมกัน
กายเดินเข้ามาที่ร้าน มันมีป้ายเขียนติดไว้อยู่ว่า “ขายมันด่วน”