ตอนที่ 9 ฮาเกน
“เดวินสินะ ข้าคือ บาเรน เอาไว้ตอนเช้าข้าค่อยเพิ่มชื่อของเจ้าในเอกสารแล้วกัน เจ้าไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน” บาเรนบอกกับกายจบก็ไปหาที่พักนั่งคุยกับเพื่อนทหารคนอื่น ๆ ระหว่างรอให้อาหารสุก
กายเดินกลับมาที่ของตัวเองในตอนนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นว่าพวกเขาใส่เนื้อแห้งลงไปต้มในน้ำพร้อมกับเครื่องเทศและธัญาพืชบากชนิด เพื่อทำเป็นซุปเนื้อกิน หลังจากเคี่ยวไปสักพัก ซุปเนื้อก็ส่งกลิ่นหอมลอยมาตามลมทำให้ท้องของกายถึงกลับร้อง กายกลืนน้ำลายรีบล้มตัวลงนอน เพื่อไม่ให้คนพวกนั้นเห็นท่าทีของเขา
ในระหว่างนอนดมกลิ่นซุปเนื้อ กายก็ยื่นมือไปจับถุงเนื้อแห้งของตัวเอง “พวกนี้ทำอาหารได้น่ากินชะมัด” แต่ในตอนนั้นเองหัวของเขาก็เหมือนโดนฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง! นึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีเนื้อแห้งนี่หว่าแล้วทำไม่เอามาต้มก่อนที่จะกิน ถ้าเขาทำแบบ NPC เหล่านี้คงไม่ต้องทนกินเนื้อแข็ง ๆ มาตั้งหลายวัน
กายด่าตัวเองหลายครั้งและหลับไปทั้งอย่างนั้นโดยที่ในมือเขามีมีดทำครัวซุกไว้ในผ้าห่ม
……
เช้าวันต่อมากายตื่นก่อนคน ๆ ด้วยความคุ้นเคย ซึ่งทำให้เขาตื่นมาทันเห็นแสงของอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นสาดส่องผ่านหมอกตกลงบนน้ำค้างบนยอดหญ้าเป็นประกายวิบวับ
กายจามออกมาสองสามครั้ง เพราะเมื่อคืนหนาวมาก ไม่รู้ฝืนในกองไฟของเขามอดดับไปตอนไหน หลังจากขยี้ตาสองสามทีก็เดินไปล้างหน้าที่หนองน้ำที่เย็นมากเป็นพิเศษ
“ฟู่” กายรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก หลังจากล้างหน้าแล้วเด็กหนุ่มก็เดินไปเก็บของสัมภาระของตัวเองลงถุงผ้าเก่า ๆ คนอื่น ๆ ก็ทยอยตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน จะยกเว้นก็แต่ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้ายามช่วงเช้ามืดคนหนึ่งที่ตื่นอยู่ก่อนแล้ว
หลังจากพวกเขาทำอาหารเช้ากันเสร็จและกินรอบเช้ากายก็ได้ไปร่วมกินเนื้อแห้งกับพวกเขาด้วยหลังจากที่เขาไปกรอกข้อมูลลงเองสารที่ หัวหน้าบาเรนบอกเมื่อวานเสร็จแล้ว
“ทุกคนเตรียมตัวเก็บข้าวของของตัวเอง เราจะออกเดินทางในอีกไม่ช้า”
เด็กหนุ่มทุกคนต่างพากันเดินขึ้นรถม้าที่ประจำของตัวเอง หลังจากนั้นก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน กายที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วก็เดินไปขึ้นรถม้า แต่พอมาถึงรถม้าคันที่สอง เด็กหนุ่มที่กายสันนิษฐานว่ามาจากตระกูลผู้ดีก็มองดูเขาอย่างดูถูก สายตาไม่เป็นมิตรเอาซะเลยจนกายรู้สึกอึดอัด
ว่ากันว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากดังนั้นกายจึงเดินไปรถม้าคันหลัง ๆ ที่มีเด็กคนอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งกายมาถึงก็ต้องขอถอนคำพูดที่ว่าคับที่แล้วอยู่ได้ ดังนั้นเขาจึงไปเลือกคันหลังสุดที่มีเด็กหนุ่มที่เขาเห็นเมื่อวานที่ไม่ค่อยมีคนไปคุยกับเขา
กายจับมุมหนึ่งของรถม้าลากกระโดดขึ้นไปด้วยความยากสักเล็กน้อย เพราะรถม้าลากสูงพอสมควร แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับรูปร่างที่สูงของกาย
ในขณะที่เขาวางของลงมุมหนึ่งของรถม้าลาก เด็กหนุ่มคนนั้นก็ทักทายกายด้วยท่าทางเป็นมิตร พร้อมกับยืนมืออกมาทักทายเขา
“สวัสดี ข้าฮาเกน”
กายมองดูเขาในระยะใกล้ ๆ ทำให้รู้ว่า รูปร่างของเขาสูงใหญ่ หน้าตาซื่อ ๆ แม้เสื้อเขาสมองดูเก่าและขาดอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มีร่องรอยของความสกปรกอะไร กลับกันมันดูสะอาดจนน่าแปลกใจ
กายไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรฮาเกน เขายืนมือออกไปทักทายและบอกชื่อไป “ข้ากาย”
ฮาเกนที่เห็นกายตอบกลับตนด้วยความจริงใจก็ยิ้มออกมา นี่อาจจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านเหมืองหินมา ฮาเกนพยายามพูดคุยกับคนอื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่พอรู้ว่าเขาคือฮาเกนที่มาจากหมู่บ้านเหมืองหินก็พากันถอยห่าง
ฮาเกนไม่ได้บอกว่าเพราะอะไร
กายที่ได้ยินเรื่องของฮาเกนก็ดูจะสงสารขึ้นมาอีกอย่างฮาเกนดูจะมีบุคลิกคล้าย ๆ กับไทเลอร์อยู่บ้าง เขาจึงหยิบชุดของตัวเองที่คิดว่าใหญ่ที่สุดออกมาส่งให้กับฮาเกน
“นี่คือ?” ฮาเกนถามด้วยความสงสัย
“ข้าให้ ชุดของเจ้าขาดจนดูไม่ได้แล้ว”
ฮาเกนรีบส่ายหัวทันทีด้วยความเกรงใจ กายจึงบอกว่าเจ้าอยากเป็นเพื่อนกับข้าก็รับชุดไว้ซะ นั้นจึงทำให้ฮาเกนรับด้วยความยินดีที่กายยอมเป็นเพื่อนกับเขา
ฮาเกนรีบเปลี่ยนชุดเก่าออกและใส่ชุดที่กายให้ทันที แต่มันกลับดูตลกมาก เพราะชุดมันดูจะเล็กไปหน่อย
กายเห็นดังนั้นก็ยิ้ม ๆ และรู้สึกถูกชะตากับ NPC คนนี้ขึ้นมามากกว่าเก่า
ฮาเดนที่รู้ว่าตัวเองดูตลกเล็กน้อยก็หัวเราะออกมาด้วยความซื่อ ๆ นั้นทำให้กายหัวเราะออกมาเช่นกัน
ขณะที่ขบวนรถม้าลากออกเดินทางอย่าง กายก็ถามเรื่องของโลกราชันกับฮาเกน แน่นอนว่าฮาเกนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง เพราะแม้ฮาเกนจะไม่ได้ออกไปนอกหมู่บ้าน แต่ก็มักจะมีพ่อค้ามาที่นั่นบ่อย ๆ จากเหมืองหินทำให้ ฮาเกนได้ฟังเรื่องรราวมามากมาย
กายนั่งฟังฮาเกนมาสักพักก็พอจะรู้นิสัยของ NPC คนนี้บ้างแล้ว ดูเหมือนเขาจะเป็นคนช่างพูด ซื่อ ๆ ถามอะไรถ้ารู้ก็จะบอกเขาหมด แต่ถ้าไม่รู้ก็จะหัวเราะกลบเกลื่อนและพูดหัวข้ออื่นทันที
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ หมอนี่มันเป็นพวกเจ้าระเบียบ กายสังเกตจากชุดที่ฮาเกนถอดออกถูกพับไว้อย่างดี ของอย่างอื่นของฮาเกนก็ถูกเรียงไว้เป็นระเบียบมาก
“ที่นี่นะเรียกว่าโลกราชัน ถูกเรียกแบบนี้มาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่ว่าที่นี่ไม่มีกษัตริย์หรอกนะ เห็นพวกพ่อค้าเรียกว่าคนที่ปกครองว่า ผู้ครองนคร หรือเจ้านครเนี่ยล่ะ”
“พวกเราชาวนครดาราฟ้านะมีคำพูดที่ยึดถืออยู่ว่า “เสรีภาพคืออำนาจของทุกคน”
ฟังฮาเกนพูดอย่างตั้งใจบางครั้งเขาก็จะถามแทรกขึ้นมาบ้าง เช่น
“ที่นี่ปกครองด้วยนคร แล้วมีกี่นครกัน”
ฮาเกนคิดสักพักก็บอกว่า “เออ ข้าไม่เคยไปที่อื่น ๆ จึงเรียกไม่ถูก เอาเป็นว่าหลัก ๆ รอบนครดาราฟ้ามีนครแสงเทวา เป็นพวกนักบวชละมั้งอยู่ทางตะวันออกของโลกราชัน ส่วนทางตะวันตกพวกนี้คือ นครพยัคฆ์ทมิฬ เป็นพวกป่าเถื่อนบ้าสงคราม ที่จริงพวกเราทำสงครามกับพวกนี้มานานมากแล้ว แต่พอคิดว่าถ้าเป็นทหารอาจจะต้องไปประจำการอยู่ที่นั่นข้าก็กลัวขึ้นมาทันที เห็นพวกผู้อาวุโสในหมู่บ้านข้าบอกชาวพยัคฆ์ทมิฬจะฆ่าคนแล้วดื่มเลือดคนที่ฆ่า เพราะเชื่อว่าสามารถเพิ่มพลังได้…” ฮาเกนอธิบายให้กายฟัง
ทั้งสองห้อยขาคุยกันขณะที่รถม้าลากเคลื่อนที่ไปช้า ๆ เวลาเที่ยงมาถึงแล้วแต่รถม้าไม่ได้หยุดลง พวกเขาหยิบอาหารแห้งที่เตรียมมาออกมากินกันและเดินทางไปด้วย
กายหยิบเนื้อแห้งออกมากิน เมื่อเห็นว่าฮาเกนมองเนื้อในมือของเขาและกลืนน้ำลาย เขาจึงหยิบออกมาอีกชิ้นแบ่งส่งให้ฮาเกน
แม้เนื้อแห้งจะมีน้อย แต่ไม่เป็นไรเพราะพวกทหารมีเสบียงสำรองมาจำนวนมากพอให้ทุกคนกินในระหว่างทาง ซึ่งถูกเก็บไว้ที่รถม้าลากคันแรก ถ้าเกิดของเขาหมดเดี๋ยวค่อยไปขอก็ได้
กายยังคงถามเรื่องต่าง ๆ กับฮาเกนอยู่ขณะที่นั่งอยู่บนรถม้าลากพร้อมกับที่ทั้งสองหาผ้ามาคุมหัวไว้เนื่องจากแดดที่ร้อนแรงในตอนเที่ยง แต่พวกเขาก็ยังโชคที่ที่ระหว่างทางมีต้นไม้ตามริมทางมากขึ้น ซึ่งก็ช่วยเป็นร่มเงาได้เป็นอย่างดี
ส่วนที่ว่ามีต้นไม้มากขึ้นก็เพราะว่าตอนนี้พวกเขาเข้าใกล้หมู่บ้านหมู่บ้านเลี้ยงสัตว์แห่งแรกแล้ว
กายมองบ้านที่สร้างมาจากหินและไม้ดิน รูปทรงเหมือนบ้านทั่ว ๆ ไป ในหมู่บ้านยังมีโรงแรมสองชั้นสำหรับแขกเข้าพักและไกล ๆ ออกไปกายเห็นบ้านที่เหมือนจะสร้างจากปูนและหินส่วยงามและดูหรูหราแม้จะมองจากภายนอก
ตอนแรกเขาคิดว่าหมู่บ้านจะมีบ้านเพียงไม่กี่หลังเท่านั้น แต่กลับผิดมันมีขนาดเท่ากับเมืองเล็ก ๆ เลยก็ว่าได้ มีคนหลายพันคนการแต่งตัวก็มีทุกระดับที่นี่ยังมีหัวหน้าหมู่บ้านที่คอยดูแลและขึ้นตรงต่อนครดาราฟ้าด้วย
กายได้ฟังจากฮาเกนว่าพวกเขาถูกเรียกว่า “เจ้าพนักงาน” คอยดูแลและบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ส่วนกองทัพหรือทหารเป็นกำลังรบที่คอยทำหน้าที่ป้องกันและต่อสู้
หลังจาออกจากหมู่บ้านนี้ก็มีชายหนุ่มเพิ่มอีกมา 10 คน
ทั้งหมดยังคงนั่งอยู่รถม้าลากคันที่สามและสี่ทำให้กายและฮาเกนมีที่นอนเหยียดแขนขาได้สบาย
หลังจากนั้นพวกเขาก็ผ่านอีกหลายหมู่บ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ คนก็มากขึ้นเกือบ 40 คนแล้ว หลังจากผ่านหมู่บ้านสุดท้ายได้รับหญิงสาวมาคนหนึ่ง
กายถามฮาเกนอย่างแปลกใจว่าพวกผู้หญิงสามารถเป็นทหารได้ด้วยเหรอ เพราะที่ผ่านมาเธอเป็นผู้หญิงเข้ามาร่วมในขบวนเป็นคนแรก หญิงสาวเดินขึ้นไปนั่งที่รถม้าคันที่สองกลับอีกสองคน
ฮาเกนส่ายหัวนั้นคือเขาไม่รู้ แต่ก็พูดต่อว่า “อาจจะมีละมั้ง ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่เคยเห็นทหารหญิงมาที่หมู่บ้านเหมืองหินมาก่อนเหมือนกัน แต่สามคนนี้ไม่เหมือนพวกเรา พวกนั้นคือลูกหลานของเจ้าพนักงานที่ ได้รับเลือกไปฝึกฝนที่สถาบันศาสตร์นักรบ ส่วนเจ้ากับข้าที่ต้องไปเกณฑ์เข้ากองทัพ ฝึกไปก็ได้เป็นแค่พลทหารธรรมดาเท่านั้น”
“ถ้าข้ากับเจ้าเป็นพลทหาร แล้วพวกเขาละ?” กายชี้ไปที่ทั้งสามคนในรถม้าคันที่สอง
ฮาเกนตอบ “พวกเขาคือคนที่จะเป็นหัวหน้าเรา เห็นว่าจะได้เรียนศิลปะการต่อสู้ระดับสูงด้วย”
“ทหารธรรมดาไม่ได้เรียนงั้นหรือ”
ฮาเกมทำท่าทางและบอกว่า “ไม่รู้สิ ได้เรียนมั้ง เพราะฉันไม่เคยเป็นทหารมาก่อน นายอยากรู้ไหม”
“อยากสิ” กายตอบโดยไม่ต้องคิด
ฮาเกนชี้ไปที่หัวหน้าทหารบาเรน กายยังคงไม่เข้าใจที่ฮาเกนต้องการจะสื่อ
“ไปถามพวกนั้นสิ” ฮาเกนบอกไปตรง ๆ
หลังได้ยินแบบนั้นกายเลือกจะไม่ไปถามอะไรโง่ ๆ อย่างแน่นอน แต่หยิบเนื้อในมือของฮาเกนคืนมา
ฮาเกนเห็นแบบนั้นก็ตกใจ ทำทียิ้มขอโทษแล้วก็แย่งเนื้อแห้งจากมือกายมา จากนั้นก็เลียมันจนชุ่มน้ำลาย เพราะกลัวกายจะแย่งกลับไปอีก
ชายหนุ่มถึงกับอยากถีบฮาเกนตกรถ แต่ก็คร้านจะไปสนใจอีก
หลังจากเดินทางมาทั้งวันก็ถึงเวลาที่ขบวนหยุดพักก่อนที่จะถึงนครในอีกวัน
ตกเย็นขณะที่ซุปเนื้อถูกต้มจนหอมด้วยหม้อขนาดใหญ่ที่พอจะแบ่งให้กับทุกคนได้กิน กายและฮาเกนก็เดินเข้าไปต่อแถวเพื่อรับส่วนแบ่งของตัวเองและกำลังเดินกลับไปกินที่รถม้าลากคันหลังสุด
แต่ตอนนั้นเองชายหนุ่มผู้หยิ่งทะนงหนึ่งในสามคนที่ฮาเกนเคยบอกว่าเป็นลูกหลานของเจ้าพนักงานก็เดินเข้ามาหยุดขวางทางฮาเกนไว้