บทที่ 2
“…ท่านพ่อ?”
ภาพชายอายุยี่สิบปลายๆ เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลกำลังนั่งอ่านหนังสือปรากฏเข้าสู่ห้วงสายตา
“…ท่านพ่อ ไม่สิ…พ่อ?”
นัยน์ตาสีเขียวอ่อนเหมือนเธอคู่นั้นขยับหันมามองเธอ
“ทำไมเหรอ เทีย?”
น้ำเสียงที่เธอจำได้ดีทำให้ขนลุกชันทั่วแขน
อะไรกัน นี่เรื่องจริงเหรอ
จะบอกว่านี่เป็นภาพแฟลชแบ็กก่อนตาย กลิ่นหนังสือในห้องสมุดกับสัมผัสรอบกายมันก็เด่นชัดมากเกินไป
ฟีเรนเทียกะพริบตาถี่อยู่หลายครั้ง พยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เธอโดนรถม้าชนจนลอยหวืออยู่กลางอากาศ และเฝ้ารอวินาทีที่ลมหายใจจะขาดช่วงไปนั่น…ทำไมถึงได้มานั่งอยู่ในห้องสมุดของคฤหาสน์กันล่ะเนี่ย
ชั้นหนังสือทำไมถึงได้ใหญ่ขนาดนี้ แล้วโต๊ะนี่ทำไมสูงแบบนี้
“เทีย?”
นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ใครสักคนเอ่ยเรียกชื่อเธอด้วยความอบอุ่นแบบนี้
นัยน์ตาสีเขียวอันแสนคุ้นเคยที่มองมาด้วยความเป็นห่วงทำให้เธอรู้สึกร้อนที่ขอบตาราวกับน้ำตาจะไหลออกมา
ท่านพ่อยังหนุ่มเหมือนอย่างที่เธอจำได้ไม่มีผิดเพี้ยน
“เทีย เป็นอะไรหรือเปล่า”
ไม่รู้หรอกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เธอคงต้องปลีกตัวออกไปจากที่นี่เสียก่อน
“คือว่า ข้าขอตัวกลับห้องสักครู่ได้มั้ยคะ”
ท่านพ่อเอียงศีรษะด้วยความงุนงง แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มจนตาหยีคล้ายกับโล่งใจ ก่อนจะยอมพยักหน้าตกลง
“เอาสิ ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกันดีมั้ย”
มือใหญ่ลูบหัวเธอไปพลางถาม
“มะ…ไม่เป็นไรค่ะ! ข้าไปคนเดียวได้ค่ะ!”
“ฮ่าฮ่า วันนี้กล้าหาญเป็นพิเศษเชียว งั้นก็ไปดีๆ ล่ะ”
“ค่ะ เดี๋ยวมานะคะ เพราะฉะนั้นรอข้าสักครู่นะคะ! ”
ฟีเรนเทียรีบตะโกนออกไปแล้วเริ่มขยับเท้าออกตัววิ่งอย่างไร้สติ
ระหว่างที่วิ่งเธอก็เหลียวหลังกลับไปมองห้องสมุด มันยังคงมีสภาพเหมือนสมัยก่อนไม่ผิดเพี้ยน เพราะฉะนั้นก็หมายความว่ามันยังอยู่ในสภาพก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามารับตำแหน่งและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างมีประสิทธิภาพ
แปลก! แปลกจริงๆ!
เสียงฝีเท้าของเธอดังตุบ ตุบ ก้องกังวาน ส่วนบริเวณโถงทางเดินที่ทั้งคุ้นทั้งไม่คุ้นก็รอต้อนรับเธออยู่
ห้องของเธอมันอยู่ไกลมากเกินไป เธอจึงเปิดประตูบานที่อยู่ใกล้ที่สุดออก แล้ววิ่งเข้าไปด้านใน
ห้องกว้างมีเตียงนอนหนึ่งเตียงกับเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายดูแล้วคล้ายว่าเป็นห้องที่ไม่มีเจ้าของ อาจจะเป็นห้องสำหรับแขกก็ได้ แต่ตอนนี้เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ
สำหรับตระกูลใหญ่อย่างลอมบาร์เดียที่ตัวคฤหาสน์ไม่ต่างอันใดจากหมู่บ้านหนึ่งแล้ว ห้องว่างมีจำนวนนับไม่ถ้วนถือเป็นเรื่องปกติ
“กระจก! ใช่แล้ว กระจก!”
โล่งอกที่สามารถมองเห็นกระจกที่ถูกตั้งอยู่มุมห้องได้อย่างง่ายดาย
มันไม่ได้ไกลอะไรขนาดนั้นแท้ๆ แต่น่าแปลกที่ต้องก้าวเท้าเดินอยู่หลายก้าวทีเดียว
และวินาทีที่มาหยุดยืนอยู่หน้ากระจก เธอก็สามารถรู้เหตุผลได้ว่าทำไม
“ทำไมข้าถึงได้ตัวเล็กขนาดนี้เนี่ย! ?”
ขนาดตัวของเธอกินพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งในสามของกระจกที่ผลิตขึ้นโดยปรับให้เข้ากับความสูงของผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ มันเล็กมากจริงๆ
พอลองก้มดูด้านล่าง มือทั้งสองข้างก็เล็กเหมือนใบเมเปิ้ล ท้องกลมมนสมกับเป็นเด็ก และยังมองเห็นเท้าขนาดจิ๋วสองข้างอีก
“นี่ตอนนี้ข้าอายุกี่ขวบกันล่ะ”
ไม่สามารถถามใครได้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบยกชายกระโปรงที่สวมอยู่เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ตอนแปดขวบข้าล้มจนได้รับบาดเจ็บหนัก!”
เธอเคยล้มเข่ากระแทกหินอย่างแรงตอนเล่นอยู่ในสวน รอยแผลใหญ่มากขนาดยังเหลือให้เห็นบนร่างกายของเธอที่อายุยี่สิบห้าปี
“ไม่มี ไม่มีรอยแผล”
หัวเข่าเนียนโล่งไร้ซึ่งรอยแผลใดๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ายังไม่แปดขวบ…”
ฟีเรนเทียหันกลับไปมองกระจกอีกครั้ง ภาพของเธอยามเป็นเด็กก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แค่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่มีบาดแผลบนร่างกายเลยสักแผลก็น่าตกใจมากพอแล้ว แต่นี่ลืมตาขึ้นมาแล้วดันย้อนกลับมาในอดีตเนี่ยนะ
ถึงแม้เธอจะเคยมีประสบการณ์ตายแล้วเกิดใหม่ก็เถอะ แต่เรื่องนี้จะให้ยอมรับมันไม่ง่ายเลย
การย้อนกลับมาในอดีตแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรก
ขาของเธอสั่นระริกจนต้องทรุดกายนั่งลงบนเตียงที่อยู่ด้านข้าง แต่เพราะตัวเล็กเกินไปทำให้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ง่าย ส่วนสูงที่เตี้ยเกินไปนี่ ทำให้เธอมองเห็นทัศนียภาพของลอมบาร์เดียนอกหน้าต่างแทบไม่เห็นด้วยซ้ำ
“ย้อนกลับมาอดีตจริงๆ สินะ”
เธอพูดพึมพำในขณะที่เหม่อมองต้นไม้เขียวชอุ่มขนาดใหญ่ที่เติบโตสูงเด่นอยู่ในส่วนลึกของสวน
มันคือต้นไม้ที่ถูกตัดทิ้งหลังจากที่เบเจอร์ผู้เป็นลุงของเธอขึ้นเป็นเจ้าตระกูล
ถึงจะบอกว่าทำลงไปเพื่อให้พื้นที่มันดูโล่งมากขึ้นก็เถอะ แต่ที่จริงก็แค่ทำลงไปเพราะไม่อยากจะเห็นต้นไม้ที่ท่านปู่หวงแหนเท่านั้นต่างหาก
ทว่าหลังจากที่ความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมาว่าต้นไม้นั่นเป็นต้นไม้ที่ปฐมกษัตริย์พระราชทานให้ตระกูลเพื่อแสดงความยินดีในการก่อตั้งคฤหาสน์ เลยทำให้พวกเขาต้องพบกับปัญหาใหญ่พอตัว
ในฐานะบุตรชายคนโต ทั้งยังเป็นเจ้าตระกูล แต่คนแบบนี้กลับไม่ได้รู้จักต้นไม้ที่มีความหมายสำคัญต่อตระกูลเสียได้
“เจ้าโง่เบเจอร์”
ไม่รู้ว่าท่านปู่คิดอะไรอยู่กันแน่ แต่เบเจอร์ไม่ใช่คนที่เหมาะสมจะเป็นเจ้าตระกูลอย่างแน่นอน
และถึงจะพูดเช่นนั้น ลุงรองอย่างลอเรนซ์เองก็ขาดคุณสมบัติเช่นกัน
อาจจะกล่าวได้ว่าเบเจอร์เป็นพวกใจแคบและเห็นแก่ตัว ส่วนน้องชายอย่างลอเรนซ์ก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ผู้จงรักภักดีที่ทำตามคำสั่งทุกอย่างที่พี่ชายของตนสั่งเท่านั้น
คนที่พอจะเป็นต้นกล้าแตกหน่อได้ก็มีแค่แคลอฮันพ่อของเธอ
ถึงท่านจะเป็นคนคิดเยอะเกินไปและร่างกายก็อ่อนแอ แต่ท่านก็ยังเป็นนักวิชาการมากความสามารถ ที่ทางอะคาเดมีต้องการไม่ใช่หรือ
แต่ท่านพ่อจากไปเร็วเกินไป ท่านปู่ก็เลยไม่มีตัวเลือกอื่น
เดี๋ยวนะ
“ช่วยชีวิต…ท่านพ่อได้?”
ท่านพ่อจากไปด้วยโรคร้ายก่อนหน้าวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดขวบของเธอเพียงไม่นาน ช่วงเวลานั้นยังไม่มียารักษา ทำให้เธอไม่อาจทำอะไรได้เลย ได้แต่ยอมปล่อยให้ท่านจากไป หลังจากนั้นไม่กี่ปี ฟีเรนเทียจำได้อย่างแม่นยำว่าเคยได้ยินข่าวว่าหมอคนหนึ่งผลิตยารักษาขึ้นมาได้
“ข้าช่วยชีวิตท่านพ่อได้!”
ร่างกายเล็กๆ ของเด็กหญิงสั่นเทาด้วยความดีใจนัยน์ตาร้อนผ่าว หยาดน้ำตาไหลรินออกมาหยดลงจากดวงตาครั้งนี้เธอไม่ต้องเสียท่านพ่อไปอีกแล้ว เธอสามารถช่วยท่านได้แล้ว
เธอไม่ต้องเฝ้ามองท่านพ่อทรมานจนจากไปทั้งๆ ที่ยังหนุ่มยังแน่น
มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่เธอที่ย้อนกลับมาอดีตสามารถทำได้แน่นอน
และทันใดนั้นฟีเรนเทียก็ตระหนักขึ้นมาได้อีกอย่างพร้อมกัน
“ถ้าอย่างนั้น ก็ข้าสามารถรักษาลอมบาร์เดียได้ด้วยหรือเปล่า”