เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล – ตอนที่ 63.2

ความจริงที่เจ้าชายลำดับที่สองเป็นคนมีความสามารถขนาดสามารถสร้างออร่าได้แล้ว มันแพร่กระจายไปในพระราชวังเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

แถมยังเป็นออร่าสีน้ำเงินเข้มชัดเจนอีกด้วย

ถึงแม้จะยังอายุน้อย แต่สิ่งนั้นก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันแล้วว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถเทียบเคียงอัศวินเลยทีเดียว

นั่นยังไงล่ะ

เจ้าชายลำดับที่สองก้าวถอยหลังไปสองก้าวครึ่ง ราวกับอ่านการเคลื่อนไหวถัดไปของพวกตนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

มันเป็นระยะห่างที่ต่อให้พวกอัศวินชักดาบออกมา แม้แต่ปลายดาบก็ไม่อาจสัมผัสตัวเขาได้

ราวกับประเมินออกทุกสิ่งว่าพวกนั้นจะทำอะไรกันแน่

ในระหว่างที่อัศวินกำลังลังเล จักรพรรดินีก็เริ่มด่าทอสาปแช่งไปทางเฟเรสอีกรอบ

“ข้าควรที่จะฆ่าเจ้าทิ้งเสียตั้งแต่เมื่อตอนนั้น! ควรที่จะฝังเจ้าไปพร้อมกับมารดาชั้นต่ำนั่นเสีย! ไอ้ชั้นต่ำโสโครกไร้รากเหง้า! กล้าดียังไงทำร้ายบุตรชายของข้า…”

“ไร้รากเหง้าอย่างนั้นหรือ หมายความว่ายังไงกัน จักรพรรดินี”

เสียงตะคอกของจักรพรรดินีหยุดชะงักราวกับโกหก

จักรพรรดิรอเฟเรสอยู่ในสวนวังโฟอิรัค เมื่อได้ยินเสียงดังเอะอะเขาจึงเดินออกมาดูด้านนอก

เหล่าอัศวินที่เดินเข้าไปใกล้เฟเรสรีบถอยหลังออกห่างอย่างรวดเร็ว

“แค่เจ้าชายเป็นโอรสของข้ายังไม่พอหรือไร หรือว่า…”

จักรพรรดิเอ่ยพูดโดยไม่คิดเก็บซ่อนความไม่พอใจ

“รากเหง้าที่จักรพรรดินีพูดถึงจะเป็นข้า”

“มะ…ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ…”

ราวีนี่ตื่นตระหนกไปชั่วครู่ แต่เพียงไม่นานนางก็ตั้งสติได้ กลับมาทำตัวสงบนิ่งเหมือนเคย ก่อนจะเอ่ยกลับไปท่าทางยามเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยนั่น ยังดูหยิ่งยโสมากเสียด้วย

“ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับอาสทาน่าเมื่อวานแล้วเพคะ เหตุใดจึงไม่มีใครแจ้งหม่อมฉันเลยล่ะเพคะ”

“จะให้พูดอะไรได้อีกโอรสอายุสิบสี่ปีของข้าแยกแยะดีชั่วไม่ออก ลงมือผลักบุตรสาวของแคลอฮัน สุดท้ายกระทั่งอยู่ต่อหน้าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียก็ยังพยายามที่จะลงมือทำร้ายเด็กคนนั้น จะให้ข้าพูดอะไรอีก”

โยบาเนสพูดเสียดสี

“อาสทาน่าเองก็คงจะมีเหตุผลที่ลงมือทำเช่นนั้นแน่เพคะ!”

ราวีนี่โมโหจนตะโกนเสียงแหลม

แต่จักรพรรดิกลับขมวดคิ้วแน่น ส่ายหน้า

“หากเป็นเจ้าชายของอาณาจักรนี้ ก็สมควรที่จะรู้ตัวได้แล้วนะ อย่างน้อยก็วิธีที่จะดึงตระกูลลอมบาร์เดียให้อยู่ฝ่ายตัวเอง”

คำพูดประโยคนั้นทำให้โทสะของราวีนี่ระเบิดออกจนได้

“ทำไมกัน! ทำไมถึงได้ต้องคอยเกรงใจลอมบาร์เดียอยู่เรื่อยเพคะ! เจ้าของอาณาจักรนี้คือฝ่าบาท! คือตระกูลดิวเรลลี่นะเพคะ!”

“แล้วยังไง”

“เหตุการณ์อย่างเมื่อวานพระองค์ควรที่จะเข้าข้างอาสทาน่าไม่ใช่หรือเพคะ! เด็กชั้นต่ำที่เกิดจากข้ารับใช้นั่นกล้าชี้ดาบใส่อาสทาน่า เหยียดหยามกันเช่นนั้น พระองค์ไม่ควรที่จะเข้าข้างพวกนั้น แต่ลงโทษนังเด็กตระกูลลอมบาร์เดียนั่นที่กล้าทำให้อาสทาน่าโมโหต่างหากล่ะเพคะ!”

จักรพรรดิเดาะลิ้นเสียงดังด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเอ่ยถามราวีนี่

“นี่จะสั่งให้ข้าเป็นศัตรูกับลอมบาร์เดียเพราะอาสทาน่าหรือไง”

“ฝ่าบาทเองก็มีขุนนางใต้บังคับบัญชาตั้งมากมาย แล้วทำไมจะต้องเอาแต่พึ่งพาลอมบาร์เดียด้วยล่ะเพคะ! ถ้าพวกลอมบาร์เดียมันไม่สนใจราชวงศ์ก็…”

“ให้ตระกูลอังเกนัสขึ้นมาแทนที่งั้นสิ”

“ระ…เรื่องนั้น…”

“ผลักไสลอมบาร์เดียออกไป ดึงอังเกนัสเข้ามาแทนเนี่ยนะ คิดจะทำให้ข้าเป็นจักรพรรดิผู้โง่เขลาไปถึงเมื่อไหร่กัน”

โยบาเนสแสยะยิ้ม

“จักรพรรดินี”

น้ำเสียงของจักรพรรดิที่เอ่ยเรียกนามของราวีนี่ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงต่ำคล้ายขู่คำรามในทันที

“อังเกนัสไม่มีวันขึ้นมาแทนที่ลอมบาร์เดียได้ ไม่มีความสามารถมากพอถึงเพียงนั้นหรอก เพราะฉะนั้นจงอย่าได้โลภมากนัก”

จักรพรรดินีตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ แต่จักรพรรดิกลับไม่คิดใส่ใจ

มันไม่ใช่แค่สิ่งที่พวกเขาเผยให้เห็นออกมาสู่ภายนอกเท่านั้น

ลอมบาร์เดียเป็นเสมือนเสาเข็มที่รักษาราชวงศ์และอาณาจักรนี้เอาไว้

สมัยก่อนโยบาเนสเองก็ทำใจยอมรับเรื่องนั้นได้ยาก แต่ตอนนี้เขาฉลาดขึ้นแล้ว

เขายอมรับว่า หากสู้กับลอมบาร์เดียไปก็เหมือนกับบั่นทอนอายุขัยของตัวเองเปล่าๆ ก็เหมือนอย่างที่รูลลักบอกกับเขานั่นแหละ ที่ผ่านมาเขาเองก็ต้องพึ่งพาลอมบาร์เดียมาโดยตลอด

บางครั้งก็ช่วยเสริมกำลังให้ บางครั้งก็แสร้งทำเป็นผลักไส

อย่างไรก็ตาม มันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม้แต่รูลลักที่ไวเหมือนจิ้งจอกไม่อาจให้การยอมรับได้อย่างเด็ดขาด

นั่นก็คือปัญหาเรื่องเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวพระองค์เอง

ถ้าหากเมื่อวานเฟเรสไม่ออกหน้าให้ความช่วยเหลือในทันที โยบาเนสอาจจะต้องตำหนิอาสทาน่าอย่างเปิดเผย เพื่อคลายโทสะของรูลลักก็เป็นได้

แต่เหตุผลที่เฟเรสถือดาบวิ่งเข้าไปปกป้องฟีเรนเทีย แม้แต่โยบาเนสเองก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกัน

วันนี้พระองค์ถึงได้มายังวังโฟอิรัคเพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดินีเองก็จะมาถึงวังของเฟเรสด้วยเช่นกัน

พอนึกได้ว่าอาสทาน่าคงจะแอบฟ้องมารดาของเจ้าตัวเป็นแน่ โทสะก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมา

เด็กเลี้ยงไม่เชื่อง

แล้วเขาก็พลันสังเกตเห็นเฟเรสที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จาอยู่มุมหนึ่ง

เขาจำได้ว่าตลอดเวลาที่เดินเข้างานเลี้ยง เด็กนี่ไม่อาจละสายตาห่างออกไปจากบุตรสาวของแคลอฮันได้เลย

มันทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ

โยบาเนสกล่าวกับเฟเรสทั้งๆ ที่ยังคงยืนหันหลังให้จักรพรรดินี

“เจ้าแวะไปเยี่ยมแคลอฮัน ลอมบาร์เดียแทนข้าที”

แววตาเฉยชาของเฟเรสส่องประกายวาววับขึ้นมาในทันที

“และตอนเดินทางไปก็แวะมารับสารจากข้านำไปมอบให้เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียด้วยล่ะ สารแจ้งว่าจะให้บุตรสาวของแคลอฮันเข้าวังมาเป็นสหายของเจ้า”

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

Status: Ongoing Native Language: Korean
อ่านเรื่อง เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูลเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฟีเรนเทียพบว่าเธอได้ย้อนกลับมายังอดีตในสมัยที่เธอเพิ่งจะอายุได้แค่ 7 ขวบ เพื่อช่วยตระกูลลอมบาร์เดียและชีวิตของพ่อ เธอจึงตั้งใจว่าจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset