ความจริงที่เจ้าชายลำดับที่สองเป็นคนมีความสามารถขนาดสามารถสร้างออร่าได้แล้ว มันแพร่กระจายไปในพระราชวังเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว
แถมยังเป็นออร่าสีน้ำเงินเข้มชัดเจนอีกด้วย
ถึงแม้จะยังอายุน้อย แต่สิ่งนั้นก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันแล้วว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถเทียบเคียงอัศวินเลยทีเดียว
นั่นยังไงล่ะ
เจ้าชายลำดับที่สองก้าวถอยหลังไปสองก้าวครึ่ง ราวกับอ่านการเคลื่อนไหวถัดไปของพวกตนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
มันเป็นระยะห่างที่ต่อให้พวกอัศวินชักดาบออกมา แม้แต่ปลายดาบก็ไม่อาจสัมผัสตัวเขาได้
ราวกับประเมินออกทุกสิ่งว่าพวกนั้นจะทำอะไรกันแน่
ในระหว่างที่อัศวินกำลังลังเล จักรพรรดินีก็เริ่มด่าทอสาปแช่งไปทางเฟเรสอีกรอบ
“ข้าควรที่จะฆ่าเจ้าทิ้งเสียตั้งแต่เมื่อตอนนั้น! ควรที่จะฝังเจ้าไปพร้อมกับมารดาชั้นต่ำนั่นเสีย! ไอ้ชั้นต่ำโสโครกไร้รากเหง้า! กล้าดียังไงทำร้ายบุตรชายของข้า…”
“ไร้รากเหง้าอย่างนั้นหรือ หมายความว่ายังไงกัน จักรพรรดินี”
เสียงตะคอกของจักรพรรดินีหยุดชะงักราวกับโกหก
จักรพรรดิรอเฟเรสอยู่ในสวนวังโฟอิรัค เมื่อได้ยินเสียงดังเอะอะเขาจึงเดินออกมาดูด้านนอก
เหล่าอัศวินที่เดินเข้าไปใกล้เฟเรสรีบถอยหลังออกห่างอย่างรวดเร็ว
“แค่เจ้าชายเป็นโอรสของข้ายังไม่พอหรือไร หรือว่า…”
จักรพรรดิเอ่ยพูดโดยไม่คิดเก็บซ่อนความไม่พอใจ
“รากเหง้าที่จักรพรรดินีพูดถึงจะเป็นข้า”
“มะ…ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ…”
ราวีนี่ตื่นตระหนกไปชั่วครู่ แต่เพียงไม่นานนางก็ตั้งสติได้ กลับมาทำตัวสงบนิ่งเหมือนเคย ก่อนจะเอ่ยกลับไปท่าทางยามเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยนั่น ยังดูหยิ่งยโสมากเสียด้วย
“ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับอาสทาน่าเมื่อวานแล้วเพคะ เหตุใดจึงไม่มีใครแจ้งหม่อมฉันเลยล่ะเพคะ”
“จะให้พูดอะไรได้อีกโอรสอายุสิบสี่ปีของข้าแยกแยะดีชั่วไม่ออก ลงมือผลักบุตรสาวของแคลอฮัน สุดท้ายกระทั่งอยู่ต่อหน้าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียก็ยังพยายามที่จะลงมือทำร้ายเด็กคนนั้น จะให้ข้าพูดอะไรอีก”
โยบาเนสพูดเสียดสี
“อาสทาน่าเองก็คงจะมีเหตุผลที่ลงมือทำเช่นนั้นแน่เพคะ!”
ราวีนี่โมโหจนตะโกนเสียงแหลม
แต่จักรพรรดิกลับขมวดคิ้วแน่น ส่ายหน้า
“หากเป็นเจ้าชายของอาณาจักรนี้ ก็สมควรที่จะรู้ตัวได้แล้วนะ อย่างน้อยก็วิธีที่จะดึงตระกูลลอมบาร์เดียให้อยู่ฝ่ายตัวเอง”
คำพูดประโยคนั้นทำให้โทสะของราวีนี่ระเบิดออกจนได้
“ทำไมกัน! ทำไมถึงได้ต้องคอยเกรงใจลอมบาร์เดียอยู่เรื่อยเพคะ! เจ้าของอาณาจักรนี้คือฝ่าบาท! คือตระกูลดิวเรลลี่นะเพคะ!”
“แล้วยังไง”
“เหตุการณ์อย่างเมื่อวานพระองค์ควรที่จะเข้าข้างอาสทาน่าไม่ใช่หรือเพคะ! เด็กชั้นต่ำที่เกิดจากข้ารับใช้นั่นกล้าชี้ดาบใส่อาสทาน่า เหยียดหยามกันเช่นนั้น พระองค์ไม่ควรที่จะเข้าข้างพวกนั้น แต่ลงโทษนังเด็กตระกูลลอมบาร์เดียนั่นที่กล้าทำให้อาสทาน่าโมโหต่างหากล่ะเพคะ!”
จักรพรรดิเดาะลิ้นเสียงดังด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเอ่ยถามราวีนี่
“นี่จะสั่งให้ข้าเป็นศัตรูกับลอมบาร์เดียเพราะอาสทาน่าหรือไง”
“ฝ่าบาทเองก็มีขุนนางใต้บังคับบัญชาตั้งมากมาย แล้วทำไมจะต้องเอาแต่พึ่งพาลอมบาร์เดียด้วยล่ะเพคะ! ถ้าพวกลอมบาร์เดียมันไม่สนใจราชวงศ์ก็…”
“ให้ตระกูลอังเกนัสขึ้นมาแทนที่งั้นสิ”
“ระ…เรื่องนั้น…”
“ผลักไสลอมบาร์เดียออกไป ดึงอังเกนัสเข้ามาแทนเนี่ยนะ คิดจะทำให้ข้าเป็นจักรพรรดิผู้โง่เขลาไปถึงเมื่อไหร่กัน”
โยบาเนสแสยะยิ้ม
“จักรพรรดินี”
น้ำเสียงของจักรพรรดิที่เอ่ยเรียกนามของราวีนี่ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงต่ำคล้ายขู่คำรามในทันที
“อังเกนัสไม่มีวันขึ้นมาแทนที่ลอมบาร์เดียได้ ไม่มีความสามารถมากพอถึงเพียงนั้นหรอก เพราะฉะนั้นจงอย่าได้โลภมากนัก”
จักรพรรดินีตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ แต่จักรพรรดิกลับไม่คิดใส่ใจ
มันไม่ใช่แค่สิ่งที่พวกเขาเผยให้เห็นออกมาสู่ภายนอกเท่านั้น
ลอมบาร์เดียเป็นเสมือนเสาเข็มที่รักษาราชวงศ์และอาณาจักรนี้เอาไว้
สมัยก่อนโยบาเนสเองก็ทำใจยอมรับเรื่องนั้นได้ยาก แต่ตอนนี้เขาฉลาดขึ้นแล้ว
เขายอมรับว่า หากสู้กับลอมบาร์เดียไปก็เหมือนกับบั่นทอนอายุขัยของตัวเองเปล่าๆ ก็เหมือนอย่างที่รูลลักบอกกับเขานั่นแหละ ที่ผ่านมาเขาเองก็ต้องพึ่งพาลอมบาร์เดียมาโดยตลอด
บางครั้งก็ช่วยเสริมกำลังให้ บางครั้งก็แสร้งทำเป็นผลักไส
อย่างไรก็ตาม มันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม้แต่รูลลักที่ไวเหมือนจิ้งจอกไม่อาจให้การยอมรับได้อย่างเด็ดขาด
นั่นก็คือปัญหาเรื่องเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวพระองค์เอง
ถ้าหากเมื่อวานเฟเรสไม่ออกหน้าให้ความช่วยเหลือในทันที โยบาเนสอาจจะต้องตำหนิอาสทาน่าอย่างเปิดเผย เพื่อคลายโทสะของรูลลักก็เป็นได้
แต่เหตุผลที่เฟเรสถือดาบวิ่งเข้าไปปกป้องฟีเรนเทีย แม้แต่โยบาเนสเองก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกัน
วันนี้พระองค์ถึงได้มายังวังโฟอิรัคเพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดินีเองก็จะมาถึงวังของเฟเรสด้วยเช่นกัน
พอนึกได้ว่าอาสทาน่าคงจะแอบฟ้องมารดาของเจ้าตัวเป็นแน่ โทสะก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมา
เด็กเลี้ยงไม่เชื่อง
แล้วเขาก็พลันสังเกตเห็นเฟเรสที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จาอยู่มุมหนึ่ง
เขาจำได้ว่าตลอดเวลาที่เดินเข้างานเลี้ยง เด็กนี่ไม่อาจละสายตาห่างออกไปจากบุตรสาวของแคลอฮันได้เลย
มันทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
โยบาเนสกล่าวกับเฟเรสทั้งๆ ที่ยังคงยืนหันหลังให้จักรพรรดินี
“เจ้าแวะไปเยี่ยมแคลอฮัน ลอมบาร์เดียแทนข้าที”
แววตาเฉยชาของเฟเรสส่องประกายวาววับขึ้นมาในทันที
“และตอนเดินทางไปก็แวะมารับสารจากข้านำไปมอบให้เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียด้วยล่ะ สารแจ้งว่าจะให้บุตรสาวของแคลอฮันเข้าวังมาเป็นสหายของเจ้า”