“อื้อ”
‘อื้อ’ เนี่ยนะ!
เธอเองก็พอจะรู้อยู่หรอกว่า เฟเรสเป็นพวกนิสัยเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจอะไรน่ะ!
แต่นี่มันสารจากจักรพรรดิ ย่อมแตกต่างจากสารที่เขียนกันทั่วไปอยู่แล้ว
หากจักรพรรดิออกรับสั่งอย่างเป็นทางการให้ส่งมอบสารแล้วละก็ คนคนนั้นจำต้องรีบนำสารที่ว่านั่นส่งให้ถึงมือผู้รับที่ถูกลงนามเอาไว้โดยเร็วที่สุด มันเป็นภาระที่หนักมากทีเดียว
มันเป็นสามัญสำนึกธรรมดาที่หากเป็นพลเมืองของอาณาจักร ไม่ว่าใครก็ต้องรู้กันทั้งนั้น!
เฟเรสเพียงแค่มองเธอกับลอรีลที่กำลังตื่นตกใจด้วยสีหน้าว่างเปล่าเท่านั้น
เธอรีบสำรวจซองจดหมายอย่างรวดเร็วในทันที
“รูลลัก ลอมบาร์เดีย…”
“จะ…จะรีบส่งคนไปที่ห้องทำงานนะคะ!”
ลอรีลรั้งชายกระโปรงขึ้นกำไว้ในมือแน่น นางเอ่ยพูดในขณะที่เตรียมพร้อมออกตัววิ่ง
“เดี๋ยวก่อน”
เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นห้ามลอรีลเอาไว้
“เฟเรส เจ้ารู้หรือเปล่าว่าในจดหมายมีเนื้อหาว่ายังไงบ้าง”
“สั่งให้เจ้ามาเป็นเพื่อนเล่นของข้าน่ะ”
เฟเรสไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียวที่จะเปิดเผยเนื้อหาสารของจักรพรรดิ
เธอได้แต่กุมขมับ ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“น่าปวดหัวชะมัด…”
การเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชาย มันไม่ต่างอะไรกับการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ครอบครัวหรือตระกูลของเด็กที่ถูกเลือกจะให้การสนับสนุนเจ้าชายคนนั้นในการขึ้นครองบัลลังก์
ดูจากอาสทาน่ากับเบเลซักก็รู้ได้แล้ว
หลังจากที่บอกให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองเป็นคนของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งรอบกายของเบเจอร์ก็มีคนประเภทเดียวกันมารวมตัวกันเต็มไปหมดเพราะเบเจอร์ที่ทุกคนคาดว่าจะได้ขึ้นเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนถัดไป ได้ทำการเลือกข้างเจ้าชายลำดับที่หนึ่งแล้ว ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไปตระกูลอังเกนัสเองก็ยิ่งเหิมเกริมมากกว่าเดิม
“ลำบากใจเหรอ”
เฟเรสถามเธอ
“ก็นะ ก็ไม่ได้ชอบนักหรอก”
เรื่องคราวนี้จะต้องทำให้อาสทาน่ากับจักรพรรดินีโมโหสุดๆ เป็นแน่
อีกอย่างเพราะเรื่องที่เธอกับอาสทาน่าทะเลาะกัน ทำให้ดาบของเฟเรสหันไปทางคอของอาสทาน่า ไม่ใช่ดาบของคนอื่นแต่อย่างใด
แถมเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั่น ยังทำให้ความจริงที่ว่าเฟเรสสามารถใช้ออร่าได้ แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างเสียด้วย
เจ้าชายลำดับที่สองปรากฏตัวอย่างเป็นทางการในงานเลี้ยงที่สำคัญที่สุดอย่างงานเลี้ยงประจำวันชาติของอาณาจักร และความจริงที่ว่าเฟเรสซึ่งเพิ่งจะอายุได้แค่สิบสามปีกลับใช้ออร่าได้แล้ว มันทำให้ทุกคนต่างก็ฮือฮากันไปใหญ่ว่า อัจฉริยะตัวจริงได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว
แต่การมีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับฝั่งอาสทาน่า และการกลายเป็นคนของเฟเรสโดยสมบูรณ์ มันเป็นปัญหาคนละเรื่องกัน
พูดให้ถูกต้องก็คือ นี่เป็นการประกาศว่าท่านพ่อซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สามของเจ้าตระกูลอมบาร์เดีย เลือกที่จะให้การสนับสนุนเฟเรส
เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อกิจการของท่านพ่ออย่างใหญ่หลวง
ในตอนที่เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดก็พลันสบเข้ากับนัยน์ตาของเฟเรสพอดี
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มขมวดลงเล็กน้อย เขาจ้องหน้าเธอ ก่อนจะถามคำถามออกมา
“เพราะงั้นเรื่องเป็นเพื่อนเล่นของข้า สำหรับเจ้าแล้วมันเป็นเรื่องน่าปวดหัวใช่มั้ย”
เธอพยักหน้าลงเล็กน้อย ตั้งใจจะอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง
แต่ว่า
“เจ้าทำอะไรเนี่ย!”
แควก
เฟเรสฉีกสารของจักรพรรดิออกเป็นสองส่วนอย่างแม่นยำ
เด็กนี่บ้าไปแล้วหรือไง!
แต่เฟเรสกลับยืนยันหนักแน่น
“ถ้ามันทำให้เจ้าลำบากใจ ก็ไม่จำเป็นต้องทำหรอก”
“ถะ…ถึงยังไงก็เถอะ!”
นี่มันสารของจักรพรรดินะ!
เธอเหม่อลอยก้มมองจดหมายในมือที่ถูกฉีกเป็นสองส่วน
“ข้าคิดน้อยไปเอง”
เฟเรสพูดเสียงราบเรียบ
“ข้านึกว่าได้เป็นเพื่อนเล่นกันน่าจะดีเสียอีก”
“เฮ้ โมโหทำไมเนี่ย”
คิดดูแล้วก็สมควรที่จะอารมณ์เสียอยู่หรอก
เธอถามอย่างระมัดระวัง แต่เฟเรสกลับเอาแต่ส่ายหน้า
“ไม่ ข้าพูดจริง ลืมเรื่องสารนั่นไปเถอะ ข้าจะจัดการเอง”
นายคิดจะทำอะไรอีก!
ถ้าเฟเรสโดนจักรพรรดิเพ่งเล็งเข้าคงได้เกิดเรื่องใหญ่จริงๆ แน่
“ไม่หรอก เอาเป็นว่าติดมันกลับแล้วลองเอาไปให้ท่านปู่อ่านดูก่อนก็แล้วกัน”
เพราะชื่อผู้รับที่ถูกเขียนไว้ในจดหมายคือท่านปู่ ไม่ใช่เธอ
“พูดถึงสารอะไรกันเหรอ”
“พะ…พ่อ…”
ท่านพ่อยืนพิงกรอบประตูห้องนอนที่ถูกเปิดออก
“ท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย”
เฟเรสรีบกล่าวทักทายท่านพ่อ
“พูดถึงเรื่องสารอะไรกันหรือพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”
เฟเรสเหลือบมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยื่นจดหมายของจักรพรรดิที่ถูกฉีกเป็นสองส่วนให้ท่านพ่อ
“อืม…”
ท่านพ่อครุ่นคิดด้วยสีหน้าราวกับจะบอกว่า ท่านควรจะทำยังไงกับเด็กพวกนี้ดี ก่อนจะเอ่ยถามพวกเรา
“เท่าที่ได้ยิน เหมือนจะเป็นสารแจ้งให้เทียเข้าวังไปเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายสินะพ่ะย่ะค่ะ”
“ครับ เป็นเช่นนั้น”
“ในที่สุดฝ่าบาทก็…”
ใบหน้าของท่านพ่อดูเหมือนพอจะคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าสักวันเรื่องทำนองนี้อาจจะเกิดขึ้น
หรือว่าพวกผู้ใหญ่มีพูดกันไว้ก่อนแล้ว แต่เธอไม่รู้
ท่านพ่อมองเฟเรสด้วยนัยน์ตาแปลกพิลึกอยู่ครู่หนึ่ง
ใบหน้าน่ากลัวแบบนั้น ไม่สมกับเป็นท่านพ่อที่มักจะอ่อนโยนและอบอุ่นอยู่เสมอเลย
เธอเห็นไหล่ของเฟเรสผวาเล็กน้อย ทั้งยังกระตุกเกร็งเมื่อได้สบตากับท่านพ่อที่จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
ทั้งสองคนนิ่งไม่ขยับตัว ราวกับกำลังแข่งจ้องตากันอยู่
“คือว่า…”
และในตอนที่เธอทนดูต่อไปไม่ไหว จึงเอ่ยพูดออกไปเพื่อขัดจังหวะพวกเขา
ท่านพ่อที่ยืนพิงประตูอย่างยากลำบากส่งเสียงคราง ‘ฮึ่ม’ ก่อนที่จะหยิบเอาอะไรบางอย่างออกมาจากข้างหลังประตูบานนั้น
มันคือไม้ค้ำที่ดอกเตอร์โอมัลลี่นำมาให้เมื่อตอนเช้า
“สารของฝ่าบาทก็ต้องนำไปส่งมอบในทันทีสิ ไปห้องทำงานของท่านปู่กันเถอะ”
“ข้าไปเองค่ะ! พ่อขายัง…”
“พ่อยังเดินไหว”
ท่านพ่อยิ้มตอบอย่างหนักแน่น
“พ่อใช้ไม้ค้ำเดินได้ เรื่องของลูกสาวทั้งที พ่อก็ต้องช่วยด้วยสิ”
ภาพท่านพ่อใช้ไม้ค้ำช่วยพยุงก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว มันดูไม่มั่นคงเอาเสียเลย
ขนาดตอนเดินบนโถงทางเดินราบเรียบยังไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ ตอนที่ก้าวลงบันไดยิ่งแย่กว่านั้นอีก
เธอกับลอรีลเอ่ยปากว่าจะช่วยพยุงไป แต่ท่านพ่อก็ปฏิเสธ
“ข้าไปเองได้”
ชั่วขณะ เธอรู้สึกเหมือนเห็นความดื้อรั้นเหมือนท่านปู่สะท้อนออกมาจากตัวของท่านพ่อแต่ในขณะเดียวกันแผ่นหลังของท่านพ่อก็ดูกว้างใหญ่เหลือเกิน ตลอดระยะเวลาที่เดินไปยังห้องทำงาน ต่อให้มีเรื่องใดเกิดขึ้นในโลก เธอก็ไม่หวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว