บทที่ 69
สถานการณ์ในตอนนี้นั้นราวกับละครเวทีที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุกสนาน บนใบหน้าของรูลลักเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ปกเสื้อของเขากลับมีแต่กลิ่นของสายลมเย็นยะเยือก
เขาวิ่งตรงมาจากลอมบาร์เดียมาจนถึงที่นี่โดยไม่หยุดพัก เพื่อไม่ให้มาถึงสายเกินไปแม้แต่วินาทีเดียว
“สะ…เสียมารยาทอะไรเช่นนี้!”
เจ้าตระกูลอังเกนัส เฟรดริก อังเกนัสชี้นิ้วไปยังรูลลักในขณะที่ตะโกนเสียงดังปาวๆ
“ต่อให้เป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย แต่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในห้องทรงงานของฝ่าบาทเช่นนี้ มันข้ามเส้นเกินไปแล้วชัดๆ นะครับ!”
“ข้ามเส้น? เพราะงั้นตอนนี้เจ้าถึงได้มาคร่ำครวญอ้อนวอนขอแย่งกิจการของแคลอฮันจากฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ”
“ระ…รู้เรื่องนั้นได้ยังไง…”
“อังเกนัสรู้ความลับในบ้านข้า แล้วข้าจะอ่านวิธีสกปรกของอังเกนัสไม่ออกได้หรือ”
รูลลักสาวเท้าเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงปลายจมูกของเฟรดริก อังเกนัส
เงาดำของรูลลักพาดทับเหนือร่างเล็กผอมแห้งของเฟรดริก
“เมื่อครู่นี้บอกว่าข้าข้ามเส้นใช่มั้ย”
“ชะ…ใช่สิ! กล้าเข้ามาในห้องทรงงานของฝ่าบาท!”
รูลลักยกมือขึ้นข่มราวกับจะหักคอของเฟรดริก อังเกนัส ที่เอาแต่พูดคำพูดเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนนกแก้ว
“อึก!”
เฟรดริกคู้กายลงเมื่อถูกกดดันอย่างรุนแรงด้วยจิตสังหาร เขาได้แต่กัดฟันแน่นพยายามไม่ส่งเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดออกมาเมื่อต่อมาถูกแรงมหาศาลบีบเข้าที่ไหล่จนมันแทบหัก
รูลลักโน้มกายเข้าใกล้อีกฝ่าย กระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูของเฟรดริก
“ขายความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทิ้งไปแล้ว นี่ขายสมองทิ้งไปพร้อมกันด้วยหรือไร เฟรดริก?”
พูดเสียงกระซิบให้มีแต่หูของเฟรดริก อังเกนัสเท่านั้นที่ได้ยิน
“เจ้าทำได้ดีที่สุดแค่กรีดเสียงร้องไม่น่าฟังเหมือนตอนนี้เท่านั้นแหละ แต่ถ้าข้าลงมือเคลื่อนไหวขึ้นมา อังเกนัสคงจะมีสภาพเละเทะเหมือนเจ้าเลยกระมัง”
“นะ…นี่กำลังขู่ข้าอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ ข้ากำลังขู่ ฟังให้ดีล่ะ เฟรดริก อังเกนัส”
โทนเสียงของรูลลักกดลงต่ำยิ่งขึ้น
“นับตั้งแต่วินาทีที่เจ้าย่างกรายเข้ามาเหยียบพระราชวัง เพื่อขโมยกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปหลังจากที่ได้ยินข่าวอาการป่วยของลูกชายข้าเจ้าก็ข้ามเส้นแล้ว”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยริ้วรอยส่องประกายวาววับด้วยความโกรธ
“เจ้าข้ามเส้นที่รักษาอังเกนัสของเจ้าไว้จากข้าด้วยเท้าของเจ้าเองเสียแล้วละ เข้าใจมั้ย เฟรดริก?”
เฟรดริกอังเกนัสกลืนน้ำลายเสียงดังอึก
เขาทราบดีอยู่แล้วว่าหากเป็นเรื่องของสายเลือดตัวเอง รูลลักเป็นพวกไร้ความเมตตาใดๆ
ถึงแม้เขาเคลื่อนไหวโดยคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่าเรื่องราวอาจจะดำเนินไปในทิศทางนี้ก็ได้
ไม่รู้ทำไมเฟรดริกอังเกนัสถึงได้แต่ครุ่นคิดอย่างหดหู่ว่าบางทีเขาอาจจะข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามไปแล้วอย่างที่รูลลักพูดจริงๆ ก็ได้
ความรู้สึกเสียใจทีหลังมันเผยออกมาจากในใจของเฟรดริก
ราวกับอ่านความคิดในใจของเขาออก บนใบหน้าของรูลลักที่เปี่ยมไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาเผยรอยยิ้มน่าขนลุก พร้อมกับเอ่ยพูดขึ้น
“ใช่แล้ว ต่อไปเจ้าจะต้องคิดเช่นนั้นอีกนับครั้งไม่ถ้วน เสียใจแล้วเสียใจอีก ว่า ‘ตอนนั้นไม่น่ายื่นมือเข้าไปยุ่งกับแคลอฮันเลย’ ยังไงล่ะ”
รูลลักบีบไหล่ของเฟรดริก อังเกนัสอย่างแรง จนอีกฝ่ายส่งเสียงร้องเฮือกออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเบือนหน้าหนี
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรัก”
“ขะ…ขออภัยครับ…”
โครอีธาน อังเกนัสกล่าวขอโทษขอโพยออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่สิ ไม่ อย่าได้ขอโทษตอนนี้ เพราะในอนาคตยังมีเรื่องให้เจ้าต้องขอโทษอีกมากทีเดียว”
รูลลักเอ่ยพูดยิ้มๆ แต่ใบหน้าของหัวหน้ากลุ่มการค้ากลับยิ่งซีดลงมากกว่าเดิม
เฟรดริก อังเกนัสเหลือบมองจักรพรรดิโยบาเนสด้วยใบหน้าต้องการขอความช่วยเหลือ แต่จักรพรรดิกลับทำเพียงแค่จิบเหล้ารับชมเรื่องที่เกิดขึ้นในฐานะคนนอกเท่านั้น
“แล้วนี่แคลอฮันเป็นโรคเทรนด์บลูจริงๆ หรือ ข่าวลือเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิเอ่ยถามรูลลัก
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็น่าหนักใจอยู่”
“ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“แต่ถ้าเป็นโรคเทรนด์บลู ฤดูกาลถัดไปก็คงจะ…”
โยบาเนสละคำพูดเอาไว้ในขณะที่ลอบสังเกตท่าทางของรูลลักไปด้วย
แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากพูดเรื่องที่พระองค์ตั้งใจจะสื่อออกไปแล้วอยู่ดี
“ตอนนี้แคลอฮันกำลังรับการรักษาอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“รักษา? แต่โรคเทรนด์บลูมันไม่มียารักษาไม่ใช่หรือ”
“จนถึงตอนนี้เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า”
รูลลักเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“พวกเราค้นพบยารักษาตัวใหม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ก็กำลังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วทีเดียว ดังนั้นแคลอฮันจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ระ…เรื่องแบบนั้น!”
เสียงตะโกนด้วยความตื่นตระหนกดังออกมาจากเฟรดริก อังเกนัส
ยารักษาโรคเทรนด์บลูอย่างนั้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้
แคลอฮัน ลอมบาร์เดียจะอาการดีขึ้น?
เขาลงมือเคลื่อนไหวทั้งๆ ที่รู้ว่ารูลลักจะต้องโกรธเคืองเป็นแน่ แต่ถ้าหากฉวยเอากิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาไว้ในมือได้สำเร็จละก็ เขาคำนวณแล้วว่าตนสามารถรับมือกับเรื่องความเสียหายพวกนั้นได้
แต่ถ้าหากแคลอฮันรอดไปได้จริงๆ ละก็
หยาดเหงื่อเย็นเฉียบไหลอาบท่วมแผ่นหลัง
“ถ้าหากแคลอฮันไม่อาจฟื้นตัวได้ล่ะ ถึงตอนนั้นคิดจะทำเช่นไร”
โยบาเนสมองรูลลักด้วยนัยน์ตาดั่งอสรพิษ
“ถึงตอนนั้นลอมบาร์เดียจะเป็นคนรับผิดชอบสานต่อกิจการเองพ่ะย่ะค่ะทว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แคลอฮันจะต้องหายดีจนสามารถลุกขึ้นมาทำงานได้พ่ะย่ะค่ะ”
รูลลักเหลือทิ้งไว้เพียงแค่คำพูดนั้น ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทรงงานโดยไม่ลืมที่จะจ้องเฟรดริก อังเกนัสเป็นการทิ้งท้าย
“ถ้างั้นก็รอดูกันต่อไปแล้วกัน แคลอฮันอาจจะเป็นปกติดี ไม่ตายก็ได้”
โยบาเนสเขย่าแก้วเหล้าเล็กน้อย ท่าทางยามเอ่ยพูดประโยคนั้นดูสบายใจไม่คิดอะไรมาก
เฟรดริก อังเกนัสได้แต่กลืนน้ำลายขมปร่ากลับลงไปในลำคอ