เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล – ตอนที่ 18.2

ทางตอนใต้ของอาณาเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองขององค์จักรพรรดิโดยตรง มีเขตแดนหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกชนชั้นสูงรวมกันอยู่อย่างเนืองแน่น

 

สถานที่แห่งนี้ที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘โนเบิล ทาวน์’ มีการตกแต่งที่งดงามและดูหรูหราจนเขตพื้นที่อื่นเทียบไม่ติด

 

ย่านการค้าเซดาคิวนาร์ซึ่งเป็นถนนสายที่รวบรวมร้านค้าระดับสูงมากมาย ในวันนี้เองก็เต็มไปด้วยเหล่าชนชั้นสูงกับบรรดาพ่อค้าร่ำรวย

 

ภัตตาคาร ‘วิกตอเรียเพลส’ เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานแต่มีคนจองคิวเต็มทุกวัน ในวันนี้ทางร้านกลับไม่รับลูกค้าท่านอื่น เพื่อรองรับคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น

 

งานเลี้ยงพบปะที่ว่านั่นเป็นงานเลี้ยงที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคม ซึ่งบุตรชายคนโตของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียอย่างเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย เป็นเจ้าภาพในการจัดงานฤดูกาลละครั้ง

 

“เห็นว่าคราวนี้ตระกูลลอมบาร์เดียกับตระกูลอังเกนัสร่วมมือกันทำธุรกิจหรือครับ”

 

“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนั้นมาเหมือนกันครับ! ตั้งหน้าตั้งตารอชมเลยนะครับเนี่ย!”

 

หัวข้อแรกที่เหล่าชนชั้นสูงซึ่งรวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้กลุ่มละสามสี่คนเปิดประเด็นสนทนากันนั้น เป็นหัวข้อเดียวเหมือนกันหมดทุกกลุ่ม

 

ประเด็นที่น่าสนใจในแวดวงสังคมช่วงนี้คือการร่วมมือกันของสองตระกูลที่ไม่สนใจใครหน้าไหน อย่างตระกูลลอมบาร์เดียผู้อยู่เหนือชนชั้นสูงขึ้นไปอีกระดับได้จับมือร่วมกันทำธุรกิจกับตระกูลอังเกนัสซึ่งยึดครองตำแหน่งจักรพรรดินีมาถึงสี่สมัย

 

ถึงแม้จะยังไม่ได้ทำการประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ แต่ข่าวลือก็พูดกันไปทั่วปากต่อปากเสียแล้ว

 

“ได้ยินว่าเป็นกิจการผ้าทอ มันคืออะไรกันแน่ครับ”

 

“ไม่ใช่ว่าแค่ไปซื้อจากตะวันตกแล้วนำเข้ามาขายเฉยๆ หรอกหรือครับ”

 

“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ เดิมทีตระกูลอังเกนัสก็มีรากฐานมาจากทางตะวันตกอยู่แล้ว หากใช้กลุ่มการค้าของลอมบาร์เดีย ย่อมสามารถเดินทางระยะไกลแบบนั้นได้แน่นอน”

 

ท่ามกลางผู้คนที่คาดเดากันไปต่างๆ นานา ริมฝีปากของเบเจอร์สั่นระริก พยายามรักษารอยยิ้มให้คงไว้อยู่บนใบหน้าเพราะความโกรธแค้นเรื่องของแคลอฮัน ทำให้แต่ละคืนเขาได้แต่นอนผวาจนเพิ่งจะกลับมาเป็นปกติได้ไม่นานนัก

 

เขาปลอบใจตัวเองให้คิดเสียว่าก็แค่มอบธุรกิจให้แคลอฮันที่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยลองทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักชิ้น เพียงแค่กิจการเดียวเท่านั้นแต่พอเห็นว่าแผนธุรกิจนั่นกลับกลายเป็นประเด็นติดปากคนอื่นขนาดนี้ มันก็ทำให้รู้สึกโมโหจนเดือดพล่านอีกครั้ง

 

“เบเจอร์”

 

มือข้างหนึ่งลูบลงบนไหล่แข็งเกร็งของเบเจอร์ นางคือเซรัล ผู้เป็นภริยาของเขา

 

“คนอื่นๆ มองอยู่นะคะ ที่รัก”

 

เซรัลฉีกยิ้มพลางกระซิบคำพูดเสียงหวานอ่อนโยน แต่เสียงหวานๆ นั่นกลับทำให้เบเจอร์ตั้งสติขึ้นมาได้

 

จริงเสียด้วย เหล่าชนชั้นสูงที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องกิจการผ้าทอ ต่างก็เหลือบสายตามองมาที่เบเจอร์กันอยู่

 

พวกคนที่ไวต่อข่าวลือ ย่อมไม่มีทางไม่รู้ว่าธุรกิจที่ลอมบาร์เดียกับอังเกนัสร่วมมือกันนั้น ที่จริงแล้วเป็นกิจการที่เขาเป็นหัวเรือผลักดันเมื่อตอนแรก

 

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องราวกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่คนพวกนั้นก็ยังพูดคุยเรื่องกิจการผ้าทอต่อหน้าต่อตาเบเจอร์ ทำราวกับมันเป็นเรื่องใหญ่โต

 

ที่นี่คือสนามรบ

 

เบเจอร์ยกแก้วในมือขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว เพื่อเก็บซ่อนสีหน้าของตน

 

ผู้คนมากมายเฝ้ารอดูเบเจอร์ระเบิดอารมณ์โมโหออกมาเหมือนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ แต่เมื่อเห็นเขายังคงสงบนิ่ง ก็ไม่อาจซ่อนความผิดหวังเอาไว้ได้เลย

 

ใบหน้าพวกนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าคงจะอดรับชมเรื่องสนุกเสียแล้ว

 

“พวกเราออกไปรับลมกันหน่อยมั้ยคะ”

 

เซรัลเอ่ยพูดทำให้เบเจอร์ต้องลุกขึ้นจากโต๊ะ นางเดินมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ไม่ค่อยมีคนนักด้วยท่วงท่าสง่างาม

 

เซรัลสำรวจดูรอบๆ อีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ แล้วจึงเอ่ยพูด

 

“ท่านแคลอฮันเองก็ถึงเวลาหาเงินหาทองบ้างแล้วสินะ ว่ามั้ยคะ”

 

เซรัลตบไหล่ของสามีเบาๆ เสียงดังปุ ปุ พลางเอ่ยพูด

 

“คงงั้นแหละมันก็เป็นแค่กิจการที่ได้แตะเสื้อผ้านิดหน่อยเท่านั้นเอง ต่อให้ไปได้ดีแล้วจะไปได้ไกลขนาดไหนเชียว”

 

“แน่นอนอยู่แล้วละค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าไปใส่ใจเลยนะคะ”

 

เซรัลเข้าใจความอึดอัดใจของเบเจอร์เป็นอย่างดี

 

เขาอาจจะเป็นบุตรชายคนโตของรูลลัก แต่ก็เป็นคนที่ยังด้อยความสามารถอยู่มาก

 

เธอเองก็เป็นคนที่รู้จักประเมินสามีของตัวเองในมุมมองของคนที่สามเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงได้เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

 

“ท่านแคลอฮันน่ะ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่น้องเล็กที่ว่างงานไปวันๆ เท่านั้นเองลองหันไปมองรอบตัวสิคะ ในแวดวงสังคม ลอมบาร์เดียยังเป็นชื่อของคุณอยู่นะคะ”

 

มันเป็นเพียงแค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆ แต่ใบหน้าของเบเจอร์ที่หันไปมองรอบตัวตามคำพูดของภริยากลับสดใสขึ้นมาก

 

เซรัลทราบดีว่าเขาอ่อนไหวง่ายกับเรื่องใด เขาคิดให้ความสำคัญกับเรื่องใด เธอจึงสามารถพูดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย

 

“เบเลซัก มานี่สิ”

 

เซรัลเอ่ยเรียกเบเลซักที่กลั่นแกล้งผีเสื้ออยู่ไม่ไกลนัก

 

“วันนี้ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าต้องไปเล่นกับบุตรตระกูลใด”

 

“อืมตระกูลเมมเบรท กับตระกูลเบลเลทีโรนครับ แต่ท่านแม่”

 

เบเลซักทำหน้านิ่วบิดตัวไปมาในขณะที่เอ่ยพูด

 

“พวกนั้นมันน่าเบื่อสุดๆ เลย ข้าเล่นคนเดียวไม่ได้หรือครับ แบบนั้นน่าจะสนุกกว่านะครับ”

 

สำหรับเบเลซักแล้ว บุตรชายคนที่สองของเมมเบรท กับบุตรชายคนที่สามของเบลเลทีโรน เป็นเพียงแค่พวกขี้ขลาดไม่รู้จักวิธีการเล่นสนุก

 

“เบเลซัก ข้าบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตให้สมกับเป็นชนชั้นสูงคืออะไร”

 

เบเลซักเบ้ปาก เมื่อนึกถึงคำพูดที่ได้ยินทุกครั้งที่โดนมารดาดุจนแก้วหูแทบทะลุ

 

“คอนเน็กชั่นครับ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใครกันที่เหมาะสม”

 

“ใช่ ถูกต้องแล้ว ดังนั้นไปทักทายคุณชายเมมเบรทกับคุณชายเบลเลทีโรนเสีย อย่าลืมยิ้มดีใจที่ได้พบหน้ากันด้วยล่ะ เข้าใจมั้ย”

 

“คร้าบ”

 

สุดท้ายเบเลซักก็ไหล่ลู่ เดินออกไปตามที่มารดาสั่ง เพื่อแสร้งทำตัวราวกับสนิทสนมกันเป็นอย่างดี

 

“คุณเองก็ตั้งสติได้แล้วค่ะ ท่านแคลอฮันน่ะอย่างไรก็ไม่มีทางยุ่งไปได้ตลอดอยู่แล้ว”

 

เซรัลไม่คิดว่าแคลอฮันที่เพิ่งเคยลงมือเป็นผู้นำธุรกิจครั้งแรกจะสามารถดำเนินการจนได้ผลลัพธ์ออกมาดีอยู่แล้ว

 

ดังนั้นเธอจึงตั้งใจว่าจะรอโอกาสพูดคุยกับตระกูลอังเกนัส เพื่อชักชวนให้พวกเขาตัดสินใจเริ่มธุรกิจใหม่ด้วยกันกับเบเจอร์

 

ไม่นานหลังจากนั้น สองสามีภรรยาก็ควงแขนกันอย่างรักใคร่กลับเข้าไปที่โต๊ะราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พวกเขาดำเนินงานเลี้ยงพบปะต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

 

“ท่านปู่ สวัสดีค่ะ! ”

 

เธอเดินเข้ามาในห้องทำงาน ประสานมือไว้ที่หน้าท้อง โค้งศีรษะลงทักทาย

 

“ฟีเรนเทียมาแล้วหรือ ให้คนนำน้ำผลไม้กับคุกกี้มาไว้เผื่อเจ้าแล้ว กินเยอะๆ ล่ะ”

 

“ค่ะ ท่านปู่! ว้าว!”

 

กำลังหิวอยู่พอดี เยี่ยมมาก

 

เธอส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจเหมือนเด็กๆ วิ่งไปยังโซฟาหน้าโต๊ะที่มีของกินวางอยู่เต็มไปหมด

 

“ท่านพ่อ ข้าเองก็มาด้วยครับ”

 

“อืม”

 

หืมอารมณ์ของท่านปู่แตกต่างมากเอาเรื่อง

 

ตอนมองเธอยังยิ้มอยู่เลย แต่พอท่านพ่อเอ่ยทักทาย ท่านปู่ก็เปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง

 

เธอเคี้ยวคุกกี้ง่ำๆ ด้วยท่าทางมีความสุขที่สุดในโลกเมื่อได้กินของหวานพลางเอียงหูลอบฟังบทสนทนาของท่านปู่กับท่านพ่อ

 

“คงเพราะเป็นผ้าทอที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อ ปริมาณคำสั่งซื้อถึงไม่ค่อยน่าพอใจนักครับ”

 

“ปริมาณผ้าที่ทอเสร็จเรียบร้อยแล้วมีประมาณเท่าไหร่”

 

“ปริมาณมากพอที่จะส่งให้ห้องเสื้อเซเดคิวนาร์ทั้งหมดได้ในทันทีครับ กำลังทำการปรับเปลี่ยนปริมาณการผลิตให้เข้ากับปริมาณคำสั่งซื้อทีละน้อย แต่อย่างไรก็คงไม่อาจลดจำนวนคนงานลงไปได้มากกว่านี้”

 

“ถ้าทำอย่างนั้นหากมีคำสั่งซื้อจำนวนมากเข้ามา กำลังการผลิตก็จะไม่พอสินะ”

 

“ครับ เพราะฉะนั้น…”

 

ไปได้ไม่ดีอย่างนั้นเหรอ

 

ทั้งท่านพ่อ ทั้งท่านปู่ ต่างก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่

 

ทำเอาเธอรู้สึกกังวลไปด้วย

 

กิจการผ้าทอครั้งนี้จะต้องเป็นฐานอันแข็งแกร่งให้แก่ท่านพ่อ

 

เธอลดเสียงเคี้ยวคุกกี้ลง ตั้งสมาธิอยู่กับบทสนทนาที่แอบลอบฟัง

 

“ลองปรึกษากับเครย์ลีบันดูหรือยัง”

 

ท่านปู่ครุ่นคิดไปพลางเคาะที่วางแขนเก้าอี้เสียงดังก๊อก ก๊อก ก่อนจะเอ่ยถามท่านพ่อ

 

“ลองปรึกษาดูแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลยครับ”

 

“เช่นนั้นก็คงจะได้แต่รอสินะ”

 

“ครับ ท่านพ่อ”

 

ถึงแม้ภายนอกจะพยายามไม่แสดงออก แต่ใบหน้าของท่านพ่อกำลังแสดงให้เห็นว่าลำบากใจ และกังวลเป็นอย่างมาก หากเป็นเธอก็คงจะเป็นเหมือนกัน

 

เพราะต่อให้เป็นคำสั่งของท่านปู่ แต่อย่างไรก็ดันกลายเป็นว่าแย่งแผนธุรกิจที่เบเจอร์ผู้เป็นพี่ชายเป็นคนคิดมารับผิดชอบแทนอยู่ดี แถมธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบนั่น ยังเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวพันกับเชื้อพระวงศ์อีกด้วย

 

เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว

 

“มาลองดูเนื้อผ้ากันหน่อยเถอะ”

 

“นี่ครับ”

 

ท่านพ่อยื่นผ้าฝ้ายโคโรอีที่ถูกตัดแบ่งเป็นผืนใหญ่ออกไป เมื่อได้ยินคำพูดของท่านปู่

 

“ออกมานุ่มและเบากว่าที่คิดอีกครับ ง่ายต่อการย้อมสีได้หลากสีสัน ทั้งยังระบายอากาศได้ดี เมื่อถึงฤดูร้อนคงจะนำไปปรับใช้ได้อย่างหลากหลายมากทีเดียวครับ”

 

“แต่ยังเหลืออีกหลายเดือนกว่าจะถึงฤดูร้อน”

 

ดูเหมือนว่าปัญหาคือ ไม่สามารถหาหนทางขายผ้าทอที่ผลิตเสร็จได้ในทันที

 

ยังเหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มทำการวางจำหน่ายอย่างเต็มตัว

 

เป็นช่วงเวลาที่จะต้องเริ่มกำหนดคำสั่งซื้อที่ต้องจัดส่งสินค้าที่แน่นอนได้แล้ว

 

เธอวางคุกกี้ลงด้วยใจที่อึดอัด แล้วเดินเข้าไปหาท่านพ่อ

 

“พ่อ! ข้าดูบ้างสิคะ! ข้าด้วย!”

 

ท่านพ่อยิ้มก่อนจะส่งผ้าขนาดใหญ่เหมือนกับที่ส่งให้ท่านปู่มาให้เธออย่างช่วยไม่ได้

 

“ว้าว…”

 

ที่ท่านพ่อบอกถูกแล้ว

 

ผ้าฝ้ายโคโรอีมันนุ่มมากเสียจนผ้าที่ทอจากโคโรอีเพียงอย่างเดียวเทียบไม่ติดเนื้อผ้าหนาพอประมาณ แต่มันเบามากเสียจนแทบไม่ทิ้งความรู้สึกยามสัมผัสผิวกาย ไม่รู้สึกระคายเคืองเลยแม้แต่น้อยด้วย

 

พอลองลูบไล้ด้วยปลายนิ้ว ก็แน่ใจได้แล้วว่าทั้งความสามารถในการระบายอากาศและความสามารถในการดูดซับน้ำต่างก็ดีกันทั้งคู่

 

อีกอย่างเพราะผสมฝ้ายลงไป ทำให้ไม่ต้องย้อมสีก็ให้เนื้อสัมผัสที่เรียบลื่น และยังดูหรูหราอีกด้วย

 

“ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นรอดูกระแสตอบรับของห้องเสื้อในย่านการค้าเซดาคิวนาร์ ที่ตอบตกลงซื้อขายกับทางเราครับ”

 

ท่านพ่อพูดราวกับตัดสินใจแล้ว

 

“ในเมื่อสินค้าดีพอ หากรอเสียหน่อย จะต้องมีกระแสตอบกลับมาแน่ครับ”

 

แต่ท่านปู่ยังคงครุ่นคิดหาวิธีการอื่นจึงไม่ตอบอะไร

 

ฟีเรนเทียเองก็คิดเหมือนกันกับท่านปู่

 

การวางมือเอาแต่เฝ้ารอทั้งๆ ที่ผลิตสินค้าดีขนาดนี้ขึ้นมา มันไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุด

 

หากปัญหาไม่ได้หนักหนาอะไร ต่อให้ต้องเพิ่มเงินลงทุกสักเล็กน้อย การประกาศแจ้งให้ผู้คนได้รู้จักก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญแค่ได้ชื่อว่าเป็นสินค้าที่เกิดจากการร่วมมือระหว่างลอมบาร์เดียกับอังเกนัส พวกชนชั้นสูงก็ให้ความสนใจกันมากพอสมควรอยู่แล้ว

 

ท่านพ่อก็แค่ต้องการแรงกระตุ้นเท่านั้น

 

ของที่ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกินไป พกพาได้สะดวก และเป็นการโฆษณาไปในตัว ของกระตุ้นพวกนั้น

 

‘ไม่มีบ้างเลยเหรอ’

 

นัยน์ตาของเธอกวาดไปมองรอบๆ ก่อนจะเหลือบเห็นแก้วชาที่วางอยู่ตรงหน้าท่านพ่อ

Related

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล

Status: Ongoing Native Language: Korean
อ่านเรื่อง เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูลเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฟีเรนเทียพบว่าเธอได้ย้อนกลับมายังอดีตในสมัยที่เธอเพิ่งจะอายุได้แค่ 7 ขวบ เพื่อช่วยตระกูลลอมบาร์เดียและชีวิตของพ่อ เธอจึงตั้งใจว่าจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset