บทที่ 13
“จัดเตรียมแท่นรองลงจากรถม้าให้พร้อม!”
เบเจอร์รีบวิ่งเข้าไปใกล้ ตะโกนสั่งข้ารับใช้เสียงดัง ราวกับกลัวรถม้าของกลุ่มการค้าดิวรักจะจอดก่อนที่เขาจะไปถึง
เครย์ลีบันที่เดินตามหลังมาพร้อมกับรูลลักเดาะลิ้นเสียงแผ่วดังจิ๊จ๊ะ
ระหว่างที่รอกลุ่มการค้าดิวรักขนตัวอย่างสิ่งทอมา เขาได้ทำการสืบเรื่องเกี่ยวกับหัวหน้ากลุ่มการค้า
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ หัวหน้ากลุ่มการค้าเป็นคนของจักรพรรดินีพูดให้ถูกก็คือ เจ้าตระกูลอังเกนัสคนปัจจุบันมีความสัมพันธ์เป็นลุงนั่นเอง
หากจะนับลำดับญาติ คนคนนี้เป็นแค่ญาติห่างๆ จากตระกูลสายกลาง แต่เพราะเป็นบุคคลที่เติบโตมาอย่างสนิทสนมกับจักรพรรดินีมาตั้งแต่เด็ก จึงมีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ท่าทางของเบเจอร์มันโอเวอร์เกินเหตุ
อีกฝ่ายเป็นคนของจักรพรรดินีก็จริง แต่เบเจอร์เองก็เป็นถึงบุตรชายคนโตของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องแสดงท่าทางนอบน้อมถึงขนาดนั้น
ต่อให้เป็นอังเกนัสซึ่งเป็นตระกูลของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ตระกูลที่จะกล้ามาเปรียบเทียบกับลอมบาร์เดียอย่างแน่นอน
ที่เครย์ลีบันเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ รูลลักที่ยืนอยู่ข้างๆ ย่อมไม่มีทางไม่ได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีสีหน้าไม่พอใจเลยแม้แต่น้อยเขาเพียงแค่ยืนเอามือไขว้หลัง มองบุตรชายคนโตของตัวเองด้วยนัยน์ตาที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่เท่านั้น
สุดท้ายเมื่อเบเจอร์เข้าไปช่วยเปิดประตูรถม้าแทนข้ารับใช้ หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักก็ลงมาจากรถม้าด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างดี ก่อนจะโค้งศีรษะทักทายไปทางรูลลัก
อย่างน้อยคนคนนี้ก็เป็นคนที่รู้ลำดับขั้นที่เหมาะสมสินะ
เครย์ลีบันหัวเราะเยาะในใจ
“ลำบากเดินทางแล้ว มาตรวจสอบสินค้ากันก่อนเข้าไปข้างในเป็นอย่างไร”
“ได้ครับ”
หัวคิ้วของหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักขมวดลงเล็กน้อยเขานำผ้าทอมาด้วยเพราะอีกฝ่ายบอกให้เอามาดูก็จริง แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการค้าจริงๆ
เบเจอร์ซึ่งรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะหลายครั้งให้หัวหน้ากลุ่มการค้าวางใจว่ามันเป็นแค่ขั้นตอนการทำงานเท่านั้นรีบเดินเข้ามาขวางหน้ารูลลัก ก่อนจะเอ่ยพูด
“ท่านพ่อ จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นด้วยหรือครับ หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักเองก็นำสินค้ามาแสดงความจริงใจถึงที่นี่แล้ว…”
“หลบไป”
นัยน์ตาขุ่นเคืองของรูลลักมองจ้องไปยังเบเจอร์ แม้จะไม่ได้ขมวดคิ้วทำหน้านิ่วหรือจ้องเขม็งอะไรขนาดนั้น แต่เบเจอร์ที่เห็นสายตานั่นกลับกระตุกเกร็งในทันที
“ข้าเคยสอนให้ขวางหน้าเจ้าตระกูลได้หรือ”
“อา…”
ในตอนนั้นเองเบเจอร์จึงค่อยตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตน ก่อนจะรีบก้าวขาไปด้านข้างหนึ่งก้าว เพื่อหลบทางให้อย่างรวดเร็ว
“เปิดผ้าคลุมออก”
เมื่อได้ยินคำสั่งของรูลลัก เหล่าข้ารับใช้จึงเปิดผ้าคลุมรถม้าขนสัมภาระที่กลุ่มการค้าดิวรักนำติดมาด้วย
“อืม”
รูลลักยื่นมือออกไปลูบผ้าทอครางเสียงทุ้มต่ำ
เนื้อผ้าทั้งหยาบ ทั้งไม่สม่ำเสมอ
“เครย์ลีบัน”
ทันทีที่รูลลักเรียก เครย์ลีบันก็เข้ามาใกล้คล้ายกับรอคอยอยู่แล้ว
ผิดไปจากที่คิดเสียที่ไหนล่ะ พอได้ลองสัมผัสเนื้อผ้าทอ สีหน้าของเขาเองก็ไม่ดีเลยเช่นกัน
“ทำมาจากวัสดุอะไรครับ”
เครย์ลีบันเอ่ยถามหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรัก
“อา เรื่องนั้น…”
หัวหน้ากลุ่มการค้าลังเลไปชั่วครู่ ราวกับคิดอะไรไม่ออก
ขนาดดั้นด้นมาขอยืมเงินคนอื่น แต่กลับไม่สามารถตอบได้ในทันทีว่าวัสดุของสินค้าที่จะขายคืออะไรเนี่ยนะ จุดนี้แสดงให้เห็นถึงความโง่เขลาทางด้านการค้าของตระกูลอังเกนัสอย่างชัดเจน
“เป็นผ้าที่ทอจากเส้นใยโคโรอีครับ”
“โคโรอีหรือครับ”
โคโรอีเป็นพืชชนิดหนึ่งคล้ายวัชพืชที่เติบโตอยู่ทั่วอาณาจักร
พอเห็นว่าเครย์ลีบันผู้รอบรู้เพิ่งเคยได้ยินเรื่องของผ้าที่ทอจากโคโรอีเป็นครั้งแรก เบเจอร์ก็แสดงท่าทางจองหองออกมาในทันที
“มันเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของทางตะวันออกน่ะครับ ท่านหัวหน้ากลุ่มการค้าเป็นผู้สั่งซื้อมาด้วยตัวเอง เสนอหน้าแสร้งทำเหมือนรู้ดี แต่ที่จริงก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรสักอย่างสินะ”
คำพูดเสียดสีของเบเจอร์ที่ว่า ‘ไม่ได้รู้เรื่องอะไรสักอย่าง’ ทำให้เครย์ลีบันรู้สึกโมโหจริงๆ แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้ง
ผ้าทอไม่ใช่เรื่องที่เขามีความรู้มากขนาดนั้น
เขารับหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของตระกูลลอมบาร์เดีย ได้ติดต่อทำการค้ามาแล้วมากมายก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีการนำโคโรอีมาใช้ทอเป็นผ้า
“ใช้กันอย่างกว้างขวางเฉพาะในแถบตะวันออกเท่านั้น มันเป็นผ้าทอที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักในเขตพื้นที่อื่น ดังนั้นจึงสามารถแพลนได้ว่าจะต้องสร้างกำไรมหาศาลอย่างแน่นอนครับ”
หัวหน้ากลุ่มการค้าเอ่ยพูดกับรูลลัก
“อย่างนั้นหรือ”
มันเป็นคำตอบรับที่แสดงความเห็นพ้อง แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของรูลลักก็ยังคงไม่ละห่างไปจากผ้าเนื้อหยาบที่วางกองอยู่เต็มรถม้าขนสัมภาระ
เขาได้รับรายงานเรื่องยอดเงินกับแรงงานคนที่กลุ่มการค้าดิวรักต้องการ ผ่านทางจดหมายที่ส่งมาแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้ว
มันเป็นยอดเงินจำนวนมหาศาลที่ถ้าหากเป็นกลุ่มการค้ากลุ่มอื่นย่อมไม่อาจรับมือด้วยตัวคนเดียวได้ แต่สำหรับตระกูลลอมบาร์เดียแล้ว มันไม่ใช่ยอดเงินที่น่าหนักใจอะไรขนาดนั้น
ต่อให้ธุรกิจจะล้มเหลว แต่เพียงแค่เดือนสองเดือน ลอมบาร์เดียก็สามารถเติมเต็มความเสียหายพวกนั้นได้อยู่ดี
แต่สิ่งที่รูลลักเป็นกังวลมันไม่ใช่เรื่องเงินทอง
นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหม่อมองเบเจอร์ที่เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างกายหัวหน้ากลุ่มการค้าไม่หยุด
จักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ราวีนี่อังเกนัส เป็นคนใจแคบ ทั้งยังมีความทะเยอทะยานสูงในขณะเดียวกันถ้าเพื่อทำให้โอรสของตนได้ขึ้นเป็นรัชทายาท ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็คงยอม
กลุ่มการค้าดิวรักที่จัดตั้งขึ้นอย่างเร่งด่วน ที่จริงแล้วมันมีสาเหตุมาจากสินบนที่ต้องตัดแบ่งมอบให้พวกสภาขุนนางมีไม่มากพอจึงได้จัดตั้งดำเนินการขึ้นเพื่อหาเงินทุนเพิ่มเติม
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าหากธุรกิจไปได้ไม่ดีและก่อให้เกิดสถานการณ์ขาดแคลนทางการเงินจนทำให้จักรพรรดินีไม่พอใจขึ้นมาละก็ เห็นได้ชัดเลยว่าความผิดนั้นจะตกลงใส่หัวใคร
เบเจอร์คงจะคิดว่าถ้าหากได้รับหน้าที่ดูแลงานครั้งนี้ ก็จะได้ใกล้ชิดกับขุมอำนาจฝ่ายจักรพรรดินีมากขึ้น ถึงได้กระสับกระส่ายขนาดนั้น
ในที่สุดรูลลักก็ตัดสินใจ
ธุรกิจสิ่งทอครั้งนี้จะไม่ใช่แค่จักรพรรดินีเท่านั้น แต่จะกลายเป็นบททดสอบของรูลลักด้วยเช่นกัน
“เบเจอร์”
“ครับ ท่านพ่อ! ”
“ธุรกิจสิ่งทอนี่…”
ก่อนหน้าเพียงเสี้ยววินาทีที่คำว่า ‘ต่อไปให้เจ้ารับผิดชอบ’ จะหลุดออกมา
พลันมีศีรษะเล็กทุยผมสีน้ำตาลโผล่ออกมาหลังล้อรถม้าขนสัมภาระ เสียงชัดถ้อยชัดคำดังขึ้น
“ว้าว ผ้าไว้ทำเสื้อผ้านี่นา!”
ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเคร่งเครียดต่างก็หันไปมองทางด้านนั้นกันอย่างพร้อมเพรียง
“ฟีเรนเทีย?”
รูลลักพึมพำด้วยความตกใจ
ฟีเรนเทียส่งยิ้มกว้างไปทางท่านปู่ที่กำลังตื่นตระหนก ก่อนจะพูดเสียงดัง
“พ่อของข้าทราบเรื่องพวกนี้ดีเลยนะ!”