ตั้งแต่อายุได้ประมาณเก้าขวบ เธอเองก็เคยเข้าคลาสเรียนโดยมีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบด้านการศึกษาเป็นคนสอนอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน แต่อาจารย์ในตอนนั้นไม่ใช่เครย์ลีบัน
หรือว่าภายหลังเขาจะเปลี่ยนไปรับหน้าที่อื่น
อย่างไรก็ตาม ‘คลาสเรียน’ ที่เครย์ลีบันพูดถึงก็คือ การประเมินผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเด็กตระกูลลอมบาร์เดียในรูปแบบคลาสเรียน พวกเขาจะรวบรวมเด็กในตระกูลตามตารางว่างของผู้รับผิดชอบด้านการเรียนการสอน เพื่อที่จะได้สอนหนังสือให้พร้อมกัน
หากฟังผิวเผินอาจจะคล้ายกับคลาสเรียนในครอบครัวแบบสบายๆ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังมีด้านที่โหดร้ายอยู่มากทีเดียว
อันดับแรก คลาสเรียนไม่กำจัดช่วงอายุของเหล่าเด็กๆ ที่ถูกกำหนดในการเข้าเรียน
ไม่สนใจว่าอายุเท่าไหร่ เด็กที่ได้รับการประเมินว่าเตรียมพร้อมมากพอที่จะตามคลาสเรียนได้ทัน ก็จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วม จึงกลายเป็นการแสดงให้เห็นถึงระดับปัญญาของพวกเด็กๆ ผ่านทางอายุที่เริ่มเรียนโดยอัตโนมัติ
อันดับที่สอง การเลิกเรียนเองก็ไม่มีอายุที่ถูกกำหนดไว้เช่นกัน
หากวันไหนได้ยินคำสั่งว่า ‘ไม่ต้องมาเข้าเรียนอีกต่อไปแล้วก็ได้’ ก็ถือว่าสิ้นสุดการเรียน
ตัวเธอในอดีตเองก็อยู่ในกรณีนี้
แน่นอนว่าไม่ใช่จบการศึกษา แต่เป็นการถูกริบสิทธิ์ในการเข้าร่วมชั้นเรียนหนังสือ
และอันดับสุดท้าย การประเมินตลอดระยะเวลาการเรียนการสอนจะถูกรายงานตรงต่อท่านปู่
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า เครย์ลีบัน เพลเลสจะเป็นสายตรงที่ช่วยเชื่อมต่อเธอกับท่านปู่เข้าด้วยกัน และเหตุผลที่เขามาหาเธอด้วยตัวเองเช่นนี้ก็คือ
‘ท่านปู่ส่งเขามานี่เอง’
ฟีเรนเทียพยายามอดกลั้นเสียงหัวเราะลงไป เมื่อนึกถึงใบหน้าของท่านปู่ที่นัยน์ตาส่องประกายบางอย่างยามมองเธอ
พอเขาเห็นว่าเธอเอาแต่เหม่อมองด้วยนัยน์ตากลมโตไม่มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ เครย์ลีบันก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง ก่อนวางหนังสือลงตรงหน้าเธอ พลางเอ่ยถาม
“ได้ยินว่าอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่หรือครับ”
“ค่ะ เริ่มอ่านตั้งแต่เมื่อวานค่ะ”
“อย่างนั้นหรือครับ ถ้าเช่นนั้นเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรครับ”
ดูเหมือนต้องการที่จะทดสอบว่าเธอสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้จริงหรือเปล่าสินะ
ดีมากที่เมื่อคืนเธออ่านมันไว้แล้วล่วงหน้า
เธอส่งเสียง ‘อืม’ แสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
“เพิ่งจะอ่านไปได้แค่นิดเดียว แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนมหัศจรรย์ที่รวมตัวกันอาศัยอยู่ในป่าลึกทางใต้ของอาณาจักรค่ะ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับพวกเขาเหล่านั้น”
เครย์ลีบันฟังเธอเล่าแล้วก็ตกใจเล็กน้อย ท่าทางคงจะคิดว่าเธอแค่ถือหนังสือเล่มนี้ไปไหนมาไหนเหมือนของเล่นเฉยๆ ละสิ
…ก็พอจะเข้าใจได้
เด็กอายุเจ็ดขวบที่ควรจะอ่านพวกหนังสือนิทาน กลับอ่านหนังสือที่ขนาดผู้ใหญ่อ่านยังรู้สึกเบื่อ ก็สมควรอยู่หรอกที่จะรู้สึกสงสัย
เธอยิ้มมองเครย์ลีบันด้วยท่วงท่าราวกับจะบอกว่า ‘เชิญถามมาได้ทุกเรื่องเลยค่ะ’
“ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือใครครับ”
“ตรงหน้าปกก็เขียนไว้ว่า ‘โรพิลลี่’ นี่คะ?”
“เนื้อหาหน้าแรกพูดถึงอะไรครับ”
“คนที่ชื่อโรพิลลี่เล่าว่าไปได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับผู้คนทางใต้มาได้ยังไงค่ะ”
“อืม…”
คนที่เป็นฝ่ายพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินคำตอบคล่องแคล่วของเธอกลับกลายเป็นตัวเครย์ลีบันเสียเอง เธอที่ลอบหัวเราะคิกคักอยู่ในใจเมื่อเห็นภาพนั้น จึงเอ่ยถามกลับไปด้วยใบหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด
“มาเพราะอยากอ่านหนังสือเล่มนี้เหรอคะ ให้ยืมเอามั้ยคะ”
เธอยื่นหนังสือเล่มหน้าปกสีเขียวส่งให้เครย์ลีบันพร้อมกับเอ่ยพูด
“ถึงจะอยากรู้เนื้อหาครึ่งหลังก็เถอะ แต่ไว้ข้าค่อยอ่านทีหลังก็ได้ค่ะ”
“อะแฮ่ม ไม่ใช่แบบนั้นครับ มันเป็นหนังสือที่ข้าเคยอ่านแล้ว ท่านฟีเรนเทียอ่านต่อไปก็ได้ครับ”
“อา ค่อยโล่งอกหน่อย!”
เธอยิ้มแย้มในขณะที่ดึงหนังสือกลับมากอดราวกับดีใจมากจริงๆ
เห็นนัยน์ตาของมนุษย์เลือดเย็นคนนี้สั่นไหวอย่างรุนแรงครู่หนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่าความสนุกในการกลั่นแกล้งเขามันลดลงฮวบไปเลย
ตกใจแค่แป๊บเดียวเอง
เครย์ลีบันเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเฉยชาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มถามคำถามอื่นกับเธอต่อ
“ข่าวลือที่โรพิลลี่ได้ยินมามีทั้งหมดสามเรื่องด้วยกัน เขา…”
“เดี๋ยวค่ะ ลุงเครย์ลีบัน”
“ทำไมหรือครับ”
“ผิดแล้วละค่ะ”
เธอยกมุมปากกระตุกยิ้ม
“โรพิลลี่ไม่ใช่ ‘เขา’ แต่เป็น ‘นาง’ ต่างหากล่ะคะ”
“ครับ?”
“ดูจากคำนำด้านหน้าก็มีพูดเอาไว้ค่ะ ชื่อเต็มคือ อาวาเน่ โรพิลลี่ เป็นนักวิชาการหญิงค่ะ”
“นะ…นั่นมันเรื่องอะไรกัน”
เครย์ลีบันตื่นตระหนกรีบเปิดหนังสือดู ก่อนจะอ่านคำนำ
อา สนุกดีจัง
เธอพูดต่ออีกหนึ่งประโยคไปทางเครย์ลีบันที่ไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าอับอายเอาไว้ได้
“ไหนว่าอ่านจบแล้วไง คงจะอ่านแค่คร่าวๆ สินะ”
ไหล่ของเขาสะดุ้งเฮือก ใบหูขึ้นสีแดงก่ำ
เธอถึงกับต้องกัดกระพุ้งแก้มข้างหนึ่งเอาไว้ เพื่อกลั้นเสียงไม่ให้เผลอระเบิดเสียงหัวเราะออกไป
ตุบ! เครย์ลีบันปิดหนังสือจนเกิดเสียงดัง จากนั้นก็พูดขึ้นในขณะที่มองเธอนั่งสบายอกสบายใจคล้ายกับต้องการจะขู่ให้กลัว
“แรกๆ คงจะตามเนื้อหาคลาสเรียนยากหน่อยนะครับ”
“คงจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เยอะแยะเลยสินะคะเนี่ย! ”
เธอพยักหน้าหงึกหงัก พูดอย่างร่าเริง ทำทีเป็นว่าดีใจเป็นอย่างมาก
“ถึงแม้อายุจะน้อย แต่จะไม่มีข้อยกเว้นอะไรให้เป็นพิเศษหรอกนะครับ ท่านฟีเรนเทียจะต้องเข้าร่วมเรียนด้วยกันกับลูกพี่ลูกน้องทุกท่านที่อายุมากกว่า”
“น่าสนุกดีนะคะ! ”
ต้องให้ท้องฟ้ามืดสนิทเสียก่อน ถึงจะเห็นพระจันทร์ส่องแสงสว่างชัดเจนมากขึ้น
หากอยู่ข้างเด็กพวกนั้น เธอคงจะดูฉลาดมากกว่าน่าดูเลยเชียว!
เครย์ลีบันถอนหายใจพลางมองเธอที่แกว่งขาสั้นป้อมด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างยอมแพ้
“…และก็ไม่ใช่ลุงครับ กรุณาเรียกว่าอาจารย์ด้วยครับ”
ในที่สุดก็ได้รับอนุญาตแล้ว!
เธอรีบตอบก่อนที่เครย์ลีบันจะเปลี่ยนใจ
“ค่ะ อาจารย์!”
ได้เข้า ‘คลาสเรียน’ ด้วยอายุเจ็ดขวบอย่างนั้นเหรอ!
บางทีอาจจะเร็วที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของลอมบาร์เดียเลยก็ได้
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เครย์ลีบันจะรายงานให้ท่านปู่ฟังแบบไหนกัน
พอจินตนาการดูแล้วก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมามากกว่าเดิม เธอมองเครย์ลีบัน ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา