บทที่ 7
เขาคนนั้นทำไมถึงมาที่นี่ได้!
อาจจะดูหนุ่มกว่าคนที่เธอเคยรู้จัก แต่คนคนนี้คือเครย์ลีบัน เพลเลสไม่ผิดตัวแน่
ร่างกายสูงใหญ่ ท่าทางเที่ยงตรงเหมือนสายรัดที่คาดเอวไว้แน่น หางตาเชิดรั้นขึ้น
ในตระกูลลอมบาร์เดียแห่งนี้ คนที่สามารถรักษานิสัยเย่อหยิ่งเช่นนั้นเอาไว้ได้ มีอยู่ไม่มากนักหรอก
“คุณเครย์ลีบันมาถึงที่นี่ มีธุระอะไรหรือครับ”
ท่านพ่อเองก็งุนงงจนเกาศีรษะแกรกๆ
เครย์ลีบัน เพลเลส เป็นคนดูแลกิจการของตระกูลลอมบาร์เดีย เขาเป็นคนที่มีความสามารถมาก แต่ก็เป็นคนที่ยุ่งมากเช่นกัน เขาคนนั้นที่เธอรู้จักในอนาคตเป็นเช่นนั้น
หากจะถามว่ายุ่งขนาดไหน เรียกได้ว่าขนาดเธอที่ทำงานอยู่ข้างกายท่านปู่ก็ยังเห็นใบหน้าของเครย์ลีบันจำนวนนับครั้งได้ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะรายงานกิจการผ่านทางเอกสารเสียมากกว่า
“ขอเข้าไปได้มั้ยครับ”
“แน่นอนครับ เชิญเข้ามาได้เลยครับ”
ท่านพ่อเดินนำเครย์ลีบันเข้ามายังใจกลางห้องรับรองด้วยใบหน้าที่ยังคงสับสนไม่หาย ส่วนเธอก็รีบยกหนังสือขึ้น แสร้งทำเป็นว่ากำลังอ่านมันอยู่
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่ฟีเรนเทียแค่รู้ว่าเธอจำเป็นต้องทำแบบนั้น
ถึงแม้สายตาจับจ้องอยู่บนตัวหนังสือที่แน่นเต็มหน้ากระดาษ ทว่าหูกลับกระดิกตั้ง
ราวกับรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของเธอ เครย์ลีบันเหลือบมองมาทางฝั่งที่เธอนั่งอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามท่านพ่อ
“มีเรื่องอะไรหรือครับ? หรือว่าท่านพ่อมีข้อความด่วนอะไร…”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”
“ถ้าอย่างนั้น…”
ถึงแม้จะเป็นลูกจ้างของตระกูลเหมือนกัน แต่พฤติกรรมของท่านพ่อช่างแตกต่างจากที่กระทำต่อดอกเตอร์โอมัลลี่เป็นอย่างมากแค่นี้ฟีเรนเทียก็สามารถคาดเดาฐานะของเครย์ลีบันในตระกูลในปัจจุบันได้แล้ว
อย่างน้อยเธอก็มั่นใจได้ว่า เขาเป็นคนที่ขนาดบุตรชายของเจ้าตระกูลก็ยังไม่สามารถกระทำการใดๆ ต่อเขาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังได้ แต่ทำไมเขาถึงได้มาหาท่านพ่อกันล่ะ
“ธุระที่มาหาวันนี้ ไม่ใช่ท่านแคลอฮัน แต่เป็นเกี่ยวกับท่านฟีเรนเทียครับ”
หืม? เธอเหรอ
เธอพยายามเรียกความอดทนทั้งหมดในร่างกายเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้หันไปมองทางด้านนั้น
“มาหา…ฟีเรนเทียอย่างนั้นหรือครับ”
“ครับ เป็นเช่นนั้น”
แน่นอนว่าฟีเรนเทียรับรู้ได้ถึงสายตาของท่านพ่อกับเครย์ลีบันที่กำลังมองมาทางตน
ราวกับหน้าผากของเธอกำลังร้อนเป็นไฟดังนั้นเธอพลิกหน้ากระดาษหนังสือ แสร้งทำเป็นเหมือนว่ายังคงอ่านหนังสืออยู่
“ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเกี่ยวกับคลาสเรียนสินะครับ”
คลาสเรียน? คลาสเรียนอะไร
ท่านพ่อพยักหน้าต่างจากเธอที่ยังคงสับสนอยู่เหมือนเคย
“ยังไม่ได้ทำการตัดสินใจอะไรครับ วันนี้จึงมาเพราะอยากจะลองสนทนากับท่านฟีเรนเทียดูสักครู่ก่อน”
“ยะ…อย่างนั้นเหรอครับ”
ท่านพ่อดูตื่นตระหนก แตกต่างจากตอนที่เข้าใจเหตุผลที่เครย์ลีบันมาหาในวันนี้ ท่านกระแอมไอสองครั้ง ก่อนจะเรียกเธอ
“เทีย มานี่สิ”
“ค่า”
เธอเดินเข้าไปหาด้วยใบหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เหมือนกับเด็กที่เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ มาโดยตลอด
หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะนั่งตรงไหนดี ก็เลือกที่จะนั่งลงบนตักของท่านพ่อ ยังไงตอนนี้เธอก็เป็นแค่เด็กอายุเจ็ดขวบอยู่แล้วนี่นะ
ถ้าเป็นเด็กอายุเจ็ดขวบ เมื่อต้องพบเจอคนแปลกหน้า ก็มักจะพยายามเกาะติดกับพ่อของตัวเองให้ได้มากที่สุดเป็นเรื่องธรรมดา ท่านพ่อเองก็ดูเหมือนจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว ถึงได้อุ้มเธอขึ้นมานั่งบนตัก และหลังจากนั้นความเงียบก็กลืนกินอยู่ครู่หนึ่ง
พูดให้ถูกก็คือ เธอกับเครย์ลีบันนั่งมองหน้ากันและกันโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เธอทำเพียงแค่นั่งจ้องหน้าเครย์ลีบันที่บอกว่ามาเพื่อคุยกับเธอ แต่ดันเงียบไม่พูดไม่จา เพราะเธอจำไม่ได้ว่าเธอในตอนที่อายุเจ็ดขวบเคยพบเขาหรือเปล่า จึงไม่สามารถสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองก่อนได้
“…สุดท้ายก็”
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็มองเธอด้วยนัยน์ตาดุร้ายพลางพึมพำอะไรบางอย่างที่จับใจความไม่ได้ ก่อนจะโค้งศีรษะให้เล็กน้อยเป็นการทักทายทั้งๆ ที่ยังคงนั่งอยู่
“ยินดีที่ได้พบกันครั้งแรกครับ ท่านฟีเรนเทีย ข้าเครย์ลีบันเพลเลสครับ”
โล่งอกไปที ไม่เคยพบหน้ากันนี่เอง
เธอลอบถอนหายใจในใจ โค้งศีรษะลง
“สวัสดีค่ะ ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียค่ะ”
ร่างกายของเธอโงนเงนเพราะโค้งศีรษะมากเกินไป เพื่อที่จะทักทายด้วยความสุภาพให้ผู้ทรงอิทธิพลของตระกูลในอนาคตได้เห็นอย่างชัดเจน
ร่างกายของเด็กตัวเล็กหัวโตนี่มันช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย
“ท่านแคลอฮัน ขอข้าสนทนากับท่านฟีเรนเทียแค่สองคนได้มั้ยครับ”
รูปแบบอาจจะเป็นประโยคคำถาม แต่เขาไม่คิดที่จะขอความเห็นของท่านพ่อจริงๆ หรอก พูดง่ายๆ ก็คือสั่งให้ออกไปรอข้างนอกนั่นแหละ
“เทีย ดูเหมือนว่าคุณเครย์ลีบันจะมีเรื่องอยากถามเจ้าหลายข้อ พ่อจะออกไปนอกห้องครู่หนึ่งนะ ต้องตอบอย่างสุภาพล่ะ เข้าใจมั้ย”
ท่านพ่อลูบผมเธอด้วยความรักใคร่พลางช่วยอธิบาย
“…ค่ะ”
ถึงจะคาดการณ์เอาไว้บ้างแล้วก็จริง แต่พอต้องสนทนาสองต่อสองกับเครย์ลีบันจริงๆ ฟีเรนเทียก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย
สายตาคมกริบที่มองราวกับจะฉีกทึ้งหัว อก ท้องของเธอนั่นก็ทำเอาหนักใจมากด้วย ความรู้สึกเหมือนกับขึ้นไปนั่งบนแท่นประหารเลย
พอท่านพ่อปิดประตูห้อง เครย์ลีบันก็ลุกขึ้นพรวด หยิบอะไรบางอย่างมาจากอีกด้าน มันคือหนังสือ <ผู้คนทางใต้> ที่เธออ่านอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้
“ทราบหรือเปล่าครับว่าข้าทำงานอะไรในตระกูลลอมบาร์เดีย?”
ถ้ารู้เรื่องนั้นก็คงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้หรอก
เครย์ลีบัน เพลเลส ‘คนนั้น’ เมื่อสมัยยังหนุ่มเขารับผิดชอบหน้าที่อะไรกันนะ
เธอส่ายหน้ารัว
“ข้ารับหน้าที่สอนหนังสือให้แก่เหล่าผู้สืบทอดเด็กของตระกูลที่จะกลายมาเป็นผู้นำของตระกูลลอมบาร์เดียในอนาคตครับ”
อ๊า! คลาสเรียน!
ในตอนนั้นเองถึงได้เข้าใจบทสนทนาที่เครย์ลีบันกับท่านพ่อคุยกัน