ห้องทำงานของเจ้าตระกูล
รูลลักนวดหัวคิ้วสีขาวได้รูปไปพลางมองหนังสือเล่มที่วางอยู่ตรงหน้าตน
<ผู้คนทางใต้>
เขาสั่งให้คนไปเอาหนังสือเล่มเดียวกันกับที่ฟีเรนเทียเลือกมาให้อีกเล่มหนึ่ง เพราะคิดว่าตนอาจจะจำเนื้อหาของหนังสือผิดไป
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับชนเผ่าลึกลับที่ถูกค้นพบในแถบชายแดนทางใต้ของอาณาจักรเมื่อหลายสิบปีก่อน
นักเขียนได้บรรยายเอาไว้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในป่าลึก ปลีกวิเวกจากผู้คน และมีพลังวิเศษที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’
สิ่งนั้นเป็นความสามารถที่สืบทอดต่อกันมาทางสายเลือดเท่านั้น นักเขียนยังอธิบายเพิ่มเติมอีกด้วยว่ามันเป็นพลังลึกลับที่ไม่สามารถสอนแก่คนนอกได้
รูลลักเปิดหน้าหนังสือ กวาดสายตาดูเนื้อหาด้านในแล้วก็ต้องปิดมันลง เนื้อหาพวกนั้นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ทว่าสิ่งที่รูลลักรู้สึกตงิดใจในตอนนี้คือ หนังสือวิชาการยากๆ ที่เขียนขึ้นมาเพื่อผู้ใหญ่ และยังไม่ใช่หนังสือวัฒนธรรมทั่วไปแบบนี้ ทำไมหลานสาวของเขาที่เพิ่งจะอายุได้เพียงเจ็ดขวบถึงได้อ่านมัน
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกันชายสวมแว่น รวบผมบลอนด์ยาวเอาไว้เป็นกระจุกเดินเข้ามา
เขาคือเครย์ลีบัน นักเรียนทุนที่รูลลักให้การสนับสนุนมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มจัดตั้งระบบทุนการศึกษาขึ้นมา และปัจจุบันก็รับหน้าที่สอนหนังสือให้แก่เด็กๆ ตระกูลลอมบาร์เดียควบกับหน้าที่ดูแลการเงินของคฤหาสน์
“เรียกหาข้าหรือครับ ท่านเจ้าตระกูล”
“นั่งลงสักครู่เถอะ”
พอเครย์ลีบันนั่งลงฝั่งตรงข้าม รูลลักก็เลื่อน <ผู้คนทางใต้> ในมือตนออกไปตรงหน้าของอีกฝ่าย
“นี่อะไรหรือครับ”
“หนังสือที่หลานสาวของข้าอ่านวันนี้”
“หลานสาว…หมายถึงท่านลาลาเน่หรือครับ”
ลาลาเน่คือบุตรสาวคนโตของเบเจอร์ หรือพี่สาวที่อายุมากกว่าเบเลซักสองปี
“น่าตกใจจริงๆ นะครับ อายุสิบเอ็ดแต่อ่านหนังสือเช่นนี้…”
“ไม่ใช่ลาลาเน่”
“ถ้าอย่างนั้นใครหรือครับ”
“ฟีเรนเทีย”
คำพูดของรูลลักทำให้เครย์ลีบันขมวดคิ้วแน่น ไม่แน่ใจว่านี่ท่านเจ้าตระกูลกำลังหยอกล้อตนเล่นอยู่หรืออย่างไร
“ไม่ได้ล้อเล่น”
“แต่ท่านฟีเรนเทียเพิ่งจะ…”
“เจ็ดขวบใช่มั้ยล่ะ”
เครย์ลีบันเปิดหนังสือดูเนื้อหาด้านในเหมือนอย่างที่รูลลักทำเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หรือว่าจะแค่เลือกไปอ่านเพราะถูกใจหน้าปกหนังสือเฉยๆ หรือเปล่าครับ”
หน้าปกสีเขียวเหมือนป่าลึกที่ผู้คนทางใต้อาศัยอยู่นั้นค่อนข้างงดงามพอที่จะดึงดูดความสนใจของเด็กๆ ได้อยู่เหมือนกัน
“อายุเจ็ดขวบเป็นวัยที่พอจะอ่านหนังสือนิทานได้หลายเล่มอยู่เหมือนกันครับ”
“โดยทั่วไปก็คงจะเป็นเช่นนั้น”
“หมายความว่าท่านฟีเรนเทียไม่ใช่กรณีทั่วไปหรือครับ”
“เพราะเรื่องนั้นถึงได้เรียกเจ้ามาตรวจสอบยังไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ตั้งแต่ครั้งหน้า ข้าจะให้ฟีเรนเทียร่วมเรียนหนังสือด้วยกันกับเด็กคนอื่นๆ”
เครย์ลีบันจะจัดคลาสสอนหนังสือให้แก่เด็กๆ ในตระกูลลอมบาร์เดียสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
การเรียนการสอนของตระกูลลอมบาร์เดียไม่สนใจเรื่องอายุ ขอแค่ได้รับการประเมินว่าสามารถตามคลาสเรียนได้ทันก็พอ ดังนั้นปัจจุบันเด็กที่เข้าเรียนคลาสของเขาก็มีบุตรชายหญิงสองคนของเบเจอร์ และพี่น้องฝาแฝดอายุสิบเอ็ดซึ่งเป็นลูกชายของชานาเนสที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของรูลลักเท่านั้น
“ท่านฟีเรนเทียยังเด็กเกินไปครับ เด็กอายุเจ็ดขวบอย่าว่าแต่จะเข้าใจเนื้อหาการเรียนได้เลย แค่ต้องนั่งเรียนหลายชั่วโมงก็เป็นเรื่องยากแล้วครับ”
“นั่นคือกรณีทั่วไปเหมือนกันยังไงล่ะ”
เครย์ลีบันหรี่ตาทั้งสองข้างลง เมื่ออ่านความหมายแฝงอะไรบางอย่างจากคำพูดของรูลลักได้
“ตั้งใจจะตรวจสอบเรื่องใดกันแน่ครับ ท่านเจ้าตระกูล”
“ไม่รู้สิ…”
นิ้วเรียวหนาของรูลลักเคาะลงบนโต๊ะหนังสือเสียงดัง ก๊อก ก๊อก
“มารดาของฟีเรนเทียเป็นคนเร่ร่อนที่อพยพเข้ามาในเมืองนี้ รูปลักษณ์อาจจะงดงามมาก แต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น”
ตอนนี้รูลลักเริ่มนึกใบหน้านั้นไม่ออกเสียแล้ว แต่เขาก็ยังจดจำหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวกระจ่างใสที่ยังคงทิ้งความประทับใจเอาไว้จนไม่ลืมเลือนได้ เขาเอ่ยพูดต่อ
“เพราะเหตุนั้นข้าถึงไม่ได้ให้ความสนใจอะไรในตัวฟีเรนเทียมากมายนัก แต่ได้เห็นภาพวันนี้แล้ว…”
นึกถึงใบหน้าของหลานสาวที่พูดจาชัดถ้อยชัดคำ แม้ว่าจะรับบาดเจ็บทั่วร่าง อีกทั้งผมที่ยุ่งเหยิงจนเละเทะไปหมด แต่หลานสาวตัวน้อยคนนี้ก็ยังไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
“ข้าคิดว่าบางทีนางอาจจะเป็นเด็กที่ได้รับสายเลือดของรูลลักคนนี้อย่างเข้มข้นก็เป็นได้”
พอคิดได้กระทั่งภาพเด็กคนนั้นกวัดแกว่งหนังสือเล่มหนาเหนือร่างเบเลซักที่ขนาดตัวใหญ่กว่าตัวนางอยู่หลายเท่า บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของรูลลักก็ปรากฏรอยยิ้มที่หาดูได้ยากขึ้นมา