บทที่ 4
“เตะด้วยเท้าจนล้มหลังจากนั้นก็ยังใช้หนังสือตี…”
ช่างเป็นคำพูดบ้าบอเสียจนเธออยากจะกระโดดเต้นเร่าๆ บิดเบือนความจริงอย่างชาญฉลาด แถมยังโกหกหน้าตายอีกแต่ก็น่าตกใจเหมือนกันที่อาสทัลลีอูมีสมองมากพอที่จะทำเรื่องแบบนั้นด้วย
ถึงฟีเรนเทียอยากจะกรีดเสียงร้องตะโกนออกไปอย่างที่ใจคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องโกหก แต่เธอต้องอดกลั้นเอาไว้ กลับกันเธอเลือกที่จะหันไปมองท่านปู่ด้วยนัยน์ตาโกรธเคือง แทนความหมายว่า ‘ข้ามีเรื่องจะพูดค่ะ!’
“…”
ท่านปู่เหลือบมองเธอครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปถามอาสทัลลีอูอีกครั้ง
“จะบอกว่าฟีเรนเทียลงมือตีเจ้ากับเบเลซักโดยไม่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือไง”
“ระ…เรื่องนั้น…”
น่าสมเพชที่อาสทัลลีอูไม่ได้มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีขนาดพูดโกหกได้ในทันที
ถึงแม้จะเป็นเชื้อสายตรงของลอมบาร์เดียก็เถอะ ถ้าเรื่องใช้ร่างกายเจ้าทึ่มนี่อาจจะพอใช้การอะไรได้บ้างแต่เรื่องที่ต้องใช้หัวสมองนี่ถือว่าสิ้นหวังมาก
“เดิมทีฟีเรนเทียก็เกลียดพวกเราอยู่แล้ว…”
เบเลซักรู้สึกได้ถึงวิกฤต จึงรีบพูดเสียงดังแทนอาสทัลลีอูที่เอาแต่เงอะงะ
เธอยกยิ้มมุมปากโดยไม่พูดอะไร…
“อย่าแทรกบทสนทนาของคนอื่น เบเลซัก”
เพราะเขาทำในสิ่งที่ท่านปู่เกลียดที่สุดยังไงล่ะ
เหตุผลที่เธอเอาแต่อดกลั้น ไม่กรีดเสียงร้องตะโกนด้วยความผิดหวังจนถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะเรื่องนั้นเช่นกัน
“ไปเรียนรู้มารยาทต่ำทรามเช่นนี้มาจากที่ไหน”
คำตำหนิอย่างรุนแรง ทำให้น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วเอ่อคลอขึ้นมาบนนัยน์ตาของเบเลซักอีกครั้ง แต่เบเลซักคงจะกลัวท่านปู่มากเสียจนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงสะอื้นออกมาให้ได้ยิน
“พูดต่อสิ อาสทัลลีอู”
คราวนี้อาสทัลลีอูกระวนกระวายใจมากจนถึงขีดสุดแล้ว
เด็กที่เมื่อครู่ไม่สามารถหาข้ออ้างที่เหมาะสมได้ ตอนนี้กำลังฝังใบหน้าลงบนเสื้อของพ่ออย่างลอเรนซ์ เริ่มส่งเสียงร้องไห้โฮเสียแล้ว
ก็นะ…มันเป็นปฏิกิริยาทั่วไปของเด็กๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านปู่อยู่แล้วนี่นา
คาริสม่าอันแสนยิ่งใหญ่ของรูลลัก ลอมบาร์เดีย ขนาดผู้ใหญ่ปกติยังกลัวจนตัวสั่นได้เลย พวกเด็กๆ ตระกูลลอมบาร์เดียที่เห็นท่านปู่มาตั้งแต่เล็กต่างก็พูดกันเช่นนั้น ดังนั้นคนส่วนใหญ่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาท่านด้วยซ้ำไป
“ฟีเรนเทีย”
พอท่านปู่เรียกชื่อเธอ ก็รู้สึกได้ว่าแรงจากมือของท่านพ่อที่จับไหล่ของเธออยู่เริ่มเกร็งขึ้นมา
“เจ้าลองเล่ามา”
ถึงจะถามออกมาแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าท่านปู่จะไม่ได้คาดหวังอะไรจากเธอเลย
แน่นอนอยู่แล้ว
เพราะเธอคนเดิม ฟีเรนเทียน่ะ เป็นพวกขี้กลัว ทั้งยังเป็นเด็กที่ขี้ขลาดมากทีเดียว
นิสัยที่ได้รับสืบทอดจากท่านพ่อ ยิ่งโดนพวกลูกพี่ลูกน้องนิสัยเลวทรามพวกนั้นกลั่นแกล้งก็ยิ่งเป็นหนักมากขึ้นไปอีก แต่เธอก็มองสบนัยน์ตาทั้งสองของท่านปู่ตรงๆ ในขณะที่เอ่ยพูด
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดค่ะ”
“ทำให้ลูกชายข้าเป็นแบบนี้แล้วยังจะ…! ”
“เบเจอร์! ”
สุดท้ายท่านปู่ก็ระเบิดเสียงโมโหดังลั่นออกมาจนได้
จิตสังหารรุนแรงราวกับจะกลืนเธอทั้งเป็นของเบเจอร์จึงค่อยลดลง แม้ไหล่จะยังสั่นเทาด้วยความโกรธอยู่ก็ตาม
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ได้เห็นบุตรชายของตัวเองถูกดุเพราะทำเรื่องแบบเดียวกัน ก็ยังไม่อาจเอาชนะนิสัยแย่ๆ ของตัวเองได้จนพูดแทรกแบบนั้นเนี่ย สมแล้วจริงๆ ที่เป็นพ่อลูกกัน
“พูดต่อสิ”
ท่านปู่กล่าวกับเธอเสียงน่ากลัวแต่ฟีเรนเทียรู้ดีว่าภายในนัยน์ตาเย็นชาคู่นั้นมีอะไรอย่างอื่นแอบแฝงอยู่
“ข้ากำลังรอท่านพ่ออยู่ตรงนี้ค่ะ แต่จู่ๆ เบเลซักกับอาสทัลลีอูก็โผล่มาล้อข้าว่าเป็นเลือดผสม ข้าบอกแล้วว่าอย่าเรียกแบบนั้น ก็ยังตบตีข้า”
“ตีอย่างนั้นเหรอ ใครตี?”
“เบเลซักค่ะ”
ไม่ลืมที่จะยกนิ้วชี้ไปที่เบเลซัก
“และเขายังบอกว่าข้าเป็นพวกชั้นต่ำ ให้ไสหัวกลับไปเขตสามัญชนด้วยค่ะ”
ไม่ต้องมองก็รู้ว่าสีหน้าของท่านพ่อที่ได้ฟังคำพูดของเธอตอนนี้จะมีสีหน้าแบบไหน มือของท่านที่วางบนไหล่ของเธอกำลังสั่นเทาด้วยความโกรธ
เธอจะพูดแค่คร่าวๆ ก็ได้ แต่ตอนนี้มันเป็นเวลาที่เหมาะสมจะพูดออกไปว่าเธอได้รับการปฏิบัติจากคนอื่นๆ แบบไหน
ท่านพ่อ ขอโทษนะ ช่วยอดทนอีกหน่อย
“เพราะอย่างนั้นเลยตีเบเลซักหรือ”
“เปล่าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเพราะอะไรกันล่ะ?”
“เรื่องนั้น เบเลซักน่ะ…”
เธอสูดหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เรื่องนั้นเป็นเพราะเบเลซักบอกว่า ‘เจ้าไม่ใช่ลอมบาร์เดีย’ ค่ะ”
นัยน์ตาของเธอมองสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของท่านปู่
มันอาจจะเป็นนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ดูธรรมดาทั่วไป แต่เธอรู้ว่านัยน์ตาคู่นั้นเห็นอะไรมากมาย ขนาดที่คนธรรมดาทั่วไปคงจินตนาการไม่ออก
“ข้าเป็นเลือดผสมถูกต้องแล้วค่ะ”
แม่ของเธอสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อของลอมบาร์เดีย ดังนั้นเธอเป็นพวกเลือดผสมน่ะถูกต้องแล้วเธอจึงไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธเรื่องที่ว่า
“แต่ถึงจะเป็นเลือดผสม ข้าก็เป็นลอมบาร์เดียอย่างแน่นอนค่ะ เป็นลอมบาร์เดียที่ท่านปู่ให้การยอมรับ”
ในอดีต ฟีเรนเทียคิดว่าแม่ของเธอเป็นสามัญชน ดังนั้นเธอถึงได้ไม่สมบูรณ์แบบเพราะฉะนั้นถึงได้ถูกเมินเนื่องจากตนเป็นเลือดผสม เอาแต่คิดว่าพวกลูกพี่ลูกน้องพวกนั้นได้ครอบครองอีกครึ่งหนึ่งที่เธอไม่มีวันครอบครองมันได้
ดังนั้นแม้จะถูกปฏิบัติเหมือนอย่างพวกคนรับใช้ ราวกับไม่ใช่สมาชิกคนหนึ่งของลอมบาร์เดีย เธอก็ยังยอมรับว่ามันเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว
แต่พอได้ลงมือบริหารจัดงานงานของตระกูล เธอก็ตระหนักขึ้นมาได้ถึงขั้วหัวใจ ว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสมกับชื่อของลอมบาร์เดียมากกว่าเจ้าโง่พวกนั้นที่เอาแต่เที่ยวอวดเบ่งอ้างชื่อลอมบาร์เดียเป็นร้อยเท่า
ความจริงที่เธอเองก็เป็นลอมบาร์เดียที่ดีไม่น้อยไปกว่าคนอื่น