ตอนที่ 135 ต้องดูอารมณ์ของท่านเย่พรุ่งนี้ก่อน
เย่ฉางชิงลอบคิดกับตัวเองภายในใจ ก่อนจะประสานมือตอบกลับเยี่ยนหยางเหนียน
“ท่านเยี่ยน รบกวนท่านแล้ว”
เห็นเย่ฉางชิงเกรงใจเช่นนี้
เยี่ยนหยางเหนียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะชำเลืองมองเยี่ยนเทียนซาน
“ท่านเย่ เทียบกับทุกสิ่งที่ท่านมอบให้กับพวกเรา สิ่งนี้ถือว่าเล็กน้อยยิ่งนัก”
เป็นเยี่ยนเทียนซานที่เอ่ยออกมา
ได้ยินเช่นนั้นเย่ฉางชิงก็นิ่งอึ้งไปทันที
‘มอบให้งั้นหรือ ? ’
‘ก่อนหน้านี้ข้าเพียงแค่มอบภาพอักษรพู่กันธรรมดาภาพหนึ่งให้แก่คุณหนูเยี่ยนก่อนที่นางจะจากมาก็เท่านั้น’
‘ภาพอักษรพู่กันภาพเดียวถึงกับเป็นหนี้บุญคุณใหญ่โตเพียงนี้เชียวหรือ ? ’
‘นี่มันจะมากเกินไปหน่อยกระมัง’
‘มิใช่สิ ที่นี่เป็นโลกเซียน ผู้ที่มีความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันและภาพวาดเช่นเราคงหาได้ยาก และล้ำค่าราวกับขนนกหงส์ไฟหรือเขากิเลน’
‘ประจวบเหมาะกับสิ่งล้ำค่านี้ถูกพวกเขามาพบเข้าพอดี’
‘เช่นนี้ข้าก็มีโอกาสแล้ว ตระกูลเยี่ยนชื่นชอบความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันและภาพวาดของเราถึงเพียงนี้ เช่นนั้นสหายที่พวกเขาคบค้าสมาคมด้วยก็ต้องเป็นคนเช่นนี้เหมือนกันน่ะสิ’
‘เราต้องเอาคนกลุ่มนี้มาเป็นลูกค้าให้ได้’
‘ขอเพียงหาลูกค้าเหล่านี้เจอ เขาก็จะสามารถหาเงินก้อนโต และลงหลักปักฐานที่เมืองหลวงได้แล้ว’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘เยี่ยม ! ’
‘เยี่ยมยอด ! ’
‘เยี่ยมสุด ๆ ไปเลย ! ’
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้น
จากนั้นเยี่ยนหยางเหนียนก็ได้เดินนำเย่ฉางชิงเข้าไปด้านในคฤหาสน์นามว่า จิ่งหลันหยวน ด้วยตัวเอง
คฤหาสน์แห่งนี้มิเพียงมีประตูด้านหน้าที่สูงตระหง่าน การตกแต่งภายในก็ยังพิถีพิถันอย่างมากอีกด้วย
ศาลาริมน้ำ ภูเขาจำลอง พืชพันธุ์เขียวชอุ่มนานาชนิด อาคารโบราณเรียงราย ราวกับมีหมอกล่องลอยอยู่จาง ๆ ทำให้คฤหาสน์หลังนี้ดูเงียบสงบยิ่งนัก
มีเยี่ยนหยางเหนียนเดินนำอยู่ด้านหน้า
เย่ฉางชิงที่ได้เห็นภาพตรงหน้า อดมิได้ที่จะเอ่ยชมออกมา “ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้สมกับที่กล่าวว่า พำนักในหุบเขาอันเงียบสงบ เร้นกายหลบหลีกความวุ่นวายของเมืองหลวง”
ทันทีที่ได้ยินมิว่าจะเป็นเยี่ยนหยางเหนียนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า หรือว่าพวกเยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนปิงซินที่เดินตามมาต่างก็หยุดฝีเท้าลง
‘พำนักในหุบเขาอันเงียบสงบ เร้นกายหลบหลีกความวุ่นวายของเมืองหลวง’
ทุกคนต่างก็ดื่มด่ำกับบทกลอนที่เย่ฉางชิงเอ่ยออกมาลอย ๆ
‘ช่างงดงาม ลึกซึ้งยิ่งนัก’
‘สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสเย่ มิเพียงมีตบะบารมีที่ล้ำลึก เพียงกลอนประโยคเดียวที่เอ่ยขึ้นลอย ๆ ยังมีความหมายลึกซึ้งถึงเพียงนี้’
แต่เวลานี้คนที่รู้สึกตื่นตระหนกที่สุดกลับเป็นเยี่ยนจิ่งหง
เขาเป็นคนที่ชื่นชอบกาพย์กลอนดนตรีมาแต่ไหนแต่ไร
เพียงแต่แคว้นต้าเยี่ยนสนับสนุนเรื่องการบำเพ็ญเพียร เช่นนั้นรัชทายาทเช่นเขาจึงจำต้องเก็บซ่อนความชอบนี้ไว้ในใจเท่านั้น
แต่เขาคาดมิถึงว่า บทกลอนที่ท่านเย่ผู้นี้เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ มิเพียงมีถ้อยคำที่สละสลวยแล้ว แต่ความหมายที่แฝงอยู่ยังงดงามอย่างมากอีกด้วย
‘น่าเหลือเชื่อ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก’
ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งเยี่ยนจิ่งหงก็เอ่ยกับตัวเองในใจว่า ‘ดูเหมือนก่อนหน้านี้ข้าจะประเมินท่านเย่ต่ำเกินไป คนผู้นี้มิเพียงมีตบะบารมีแก่กล้า แต่ด้านอารมณ์และความรู้สึกยังยอดเยี่ยมอย่างหาที่ติมิได้อีกด้วย’
“กลอนบทนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนักขอรับ ท่านเย่”
เยี่ยนเทียนซานเอ่ยกับเย่ฉางชิงด้วยรอยยิ้ม
เย่ฉางชิงยิ้มรับ พลางโบกมือไปมา “ที่สำคัญก็คือคฤหาสน์หลังนี้ตกแต่งได้วิจิตรงดงามอีกทั้งยามนี้ยังเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เดิมทุกสิ่งควรจะเหี่ยวเฉา แต่ที่นี่ดอกไม้ใบหญ้ากลับบานสะพรั่งและเขียวขจี ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”
เยี่ยนเทียนซานได้ยินเช่นนั้น ก็ฉีกยิ้มออกมาพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย
ขอเพียงผู้อาวุโสเย่ชื่นชอบก็พอแล้ว
สุดท้ายเยี่ยนหยางเหนียนก็เดินนำทุกคนไปยังโถงรับแขกโบราณ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์หอม
ตลอดทางที่เดินมา
เย่ฉางชิงพบว่าคฤหาสน์หลังนี้มีหลายอย่างที่ดูมิธรรมดาเลย
แม้คนรับใช้ของคฤหาสน์หลังนี้จะมีร่างกายกำยำล่ำสัน ดูเก่งกาจ ส่วนสาวใช้ทั้งหลายกลับมีผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้าสะสวย
บวกกับที่ตั้งรวมทั้งการตกแต่งของคฤหาสน์หลังนี้
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนหยางเหนียนนั้นตั้งใจเพียงใด
เช่นนั้นหลังจากมาถึงโถงรับแขก เย่ฉางชิงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คาดมิถึงว่าการมาเมืองหลวงครานี้ จะทำให้พวกท่านต้องลำบากเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก”
พวกเยี่ยนหยางเหนียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะเหลือบมองไปทางเยี่ยนเทียนซาน
เยี่ยนเทียนซานผงะเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอ่ยว่า “ท่านเย่ล้อข้าเล่นแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ ท่านเองก็ดูแลข้าอย่างดี เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สมควรแล้ว”
เย่ฉางชิงมองเยี่ยนเทียนซาน แล้วจึงยิ้มให้อย่างเข้าใจ
ขณะเดียวกันก็เอ่ยกับตัวเองในใจว่า ‘ดูท่าโลกเซียนก็มิได้โหดร้ายเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้นี่นา คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นมิตรทั้งนั้น’
เยี่ยนเทียนซานจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านเย่ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว พวกเรามิรบกวนท่านแล้วดีกว่า พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมท่านใหม่ก็แล้วกัน”
“ก็ดีเหมือนกัน”
เย่ฉางชิงชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม
ตอนนั้นเอง
“ท่านเย่ ท่านมาเมืองหลวงเป็นคราแรก เยี่ยงไรเสียข้างกายก็ควรมีคนสนิทเอาไว้สักคน”
เยี่ยนหยางเหนียนเหลือบตามองเยี่ยนเทียนซานเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับเย่ฉางชิงต่อ “ลูกชายข้าอยู่เมืองหลวงมาตั้งแต่เด็ก คุ้นเคยทุกที่ในเมืองหลวงดี อีกทั้งคฤหาสน์หลังนี้เขายังเป็นคนแนะนำด้วยตัวเอง เช่นนั้นให้เขาคอยอยู่ข้างกายท่านด้วยก็แล้วกันนะขอรับ”
‘เอ๊ะ ? ’
เยี่ยนจิ่งหงใจสั่นสะท้านขึ้นมา หลังจากได้สติแล้วจึงรีบโค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิง พลางเอ่ยอย่างสุภาพว่า “เรียนท่านเย่ คฤหาสน์หลังนี้ผู้น้อยเป็นคนคัดเลือกเพื่อท่านโดยเฉพาะขอรับ”
เขารู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่เสด็จพ่อแสวงหามาให้ เช่นนั้นเขาจึงมิกล้ารีรอใด ๆ อีก
อีกทั้งท่านบรรพบุรุษเองก็ยังให้ความเคารพท่านเย่ผู้นี้เป็นอย่างมาก หากมีสิ่งใดผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย เกรงว่ากลับไปเขาคงต้องรับผลที่ตามมาอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันเยี่ยนเทียนซานก็รู้สึกเคร่งเครียด และมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
‘เยี่ยนหยางเหนียน เจ้าช่างบุ่มบ่ามยิ่งนัก มิบอกกล่าวข้าก่อนสักคำ หากทำให้ท่านเย่มิพอใจขึ้นมาจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ได้เลยนะ’
เยี่ยนเทียนซานคิดเช่นนั้นมือทั้งสองก็กำแน่น ก่อนปรายตามองเยี่ยนหยางเหนียนด้วยแววตาเย็นเหยียบ
ตอนนั้นเอง
“ท่านพ่อ เช่นนี้ดีหรือไม่”
เยี่ยนปิงซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากับพี่ใหญ่จะพักอยู่ที่นี่ด้วยสักพักดีหรือไม่เจ้าคะ”
“นี่มัน…”
เยี่ยนหยางเหนียนผงะไปเล็กน้อย หลังจากมองเยี่ยนปิงซินแล้ว จึงหันไปมองทางเย่ฉางชิง
เย่ฉางชิงเอ่ยยิ้ม ๆ “คฤหาสน์กว้างใหญ่เช่นนี้ มีพวกท่านสองคนพี่น้องอยู่ด้วยย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว”
ความจริงแล้วเย่ฉางชิงเองก็อยากให้พวกเขาสองคนพี่น้องอยู่ด้วยเหมือนกัน
เขามาเมืองหลวงเป็นคราแรก มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มิคุ้นเคย
การที่พวกเขาสองคนพี่น้องอยู่ที่นี่ต่อ เขาจะได้ถามไถ่เรื่องที่ต้องการทราบได้สะดวก
โดยเฉพาะคนที่คุ้นเคยกันดีอย่างเยี่ยนปิงซิน
“ยินดีเจ้าค่ะ”
ดวงตาของเยี่ยนปิงซินเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มยินดี
เยี่ยนจิ่งหงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะโค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิงอีกครั้ง
“ท่านเย่ ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะขอรับ”
เยี่ยนเทียนซานประสานมือคาราวะเย่ฉางชิง ก่อนจะหมุนตัวเดินนำพวกเยี่ยนหยางเหนียนออกไป
มินานหลังออกมาจากจิ่งหลันหยวน เยี่ยนเทียนซานก็ได้เรียกเยี่ยนหยางเหนียนให้ขึ้นรถม้าคันเดียวกัน
ในตอนแรกนั้นเยี่ยนเทียนซานมิได้เอ่ยปากแต่อย่างใด เพียงแค่มองเยี่ยนหยางเหนียนอย่างเย็นชา
จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม
รอจนรถม้าออกมาจากทางใต้ของเมืองหลวงแล้ว เยี่ยนเทียนซานที่มีสายตาเย็นชามาตลอดทางในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้นว่า
“เยี่ยนหยางเหนียน เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก ! ”
เยี่ยนหยางเหนียนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าซีดเผือดลงทันที เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามหน้าผาก ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเยี่ยนเทียนซาน
“ท่านบรรพบุรุษ ข้าสำนึกผิดแล้วขอรับ”
เยี่ยนหยางเหนียนโค้งตัวลงจนศีรษะแนบกับพื้น พลางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
เยี่ยนเทียนซานเห็นท่าทางหวาดกลัวของเยี่ยนหยางเหนียนก็มีท่าทีอ่อนลง ก่อนส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“เจ้านั่งลงเถอะ”
เยี่ยนเทียนซานเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ก่อนจะมองเยี่ยนหยางเหนียนที่เงยหน้าขึ้นมา พร้อมเอ่ยสั่งสอนอย่างจริงจัง “หยางเหนียน ข้าเข้าใจความคิดของเจ้าดี แต่เจ้าใจร้อนเกินไป”
“ผู้อาวุโสเย่มิใช่คนธรรมดา คนระดับเขามิว่าจะทำอะไรล้วนแต่คำนึงถึงเรื่องวาสนา การที่เจ้ายัดเยียดรัชทายาทไปไว้ข้างกายผู้อาวุโสเย่เช่นนี้ อาจจะทำให้มิได้รับโชคและวาสนาใด ๆ จากท่านเย่ก็ได้”
“ห๊ะ ! ”
เยี่ยนหยางเหนียนได้สติขึ้นมาทันที สีหน้าเต็มไปด้วยกังวล
“ท่านบรรพบุรุษ เรื่องนี้เป็นข้าที่คิดมิรอบคอบเอง แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วจะมีวิธีใดช่วยได้อีกหรือไม่ขอรับ ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วแน่น
“เวลานี้ คงต้องดูอารมณ์ของท่านเย่พรุ่งนี้ก่อน” เยี่ยนเทียนซานเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง