ตอนที่ 136 ท่านเทพหาใช่เป็นคนง่าย ๆ เช่นที่พวกเจ้าคิดไม่
เวลาพลบค่ำ
หลังกลับมาถึงวังหลวง เยี่ยนหยางเหนียนก็ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเพื่อตรวจฎีกาที่ค้างอยู่
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
ขันทีเฒ่าเหยาอี่ก็เดินเข้ามาที่ห้องทรงอักษรอย่างรีบร้อน
“ฝ่าบาท จางเฉินแห่งสำนักศึกษาตงหลันขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
เหยาอี่โค้งคำนับพลางรายงานให้เยี่ยนหยางเหนียนทราบ
“จางเฉิน ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามเหยาอี่ว่า “ตาเฒ่านั่นมาที่นี่เพราะเหตุใดกัน ? ”
เหยาอี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกราบทูลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เรียนฝ่าบาท บ่ายวันนี้ ร่างทองของเทพที่สำนักศึกษาตงหลันสักการะ รวมทั้งร่างทองนักปราชญ์ของสำนักศึกษาตงหลันทั้งหกท่านเกิดแตกออกพร้อม ๆ กันพะยะค่ะ”
“ได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนิมิตที่เกิดขึ้นที่อารามฉางชิง แต่มิทราบด้วยเหตุใด ท่านจางผู้นี้จู่ ๆ ก็มีสัญญาณเข้าสู่วิถี แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายก็มิอาจเข้าสู่วิถีได้สำเร็จพะยะค่ะ”
เยี่ยนหยางเหนียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแค่นเสียงออกมา “ตาเฒ่าจอมดื้อรั้นผู้นี้มาที่นี่เวลานี้ หากข้าเดามิผิดคงจะมาอ้อนวอนและสืบข่าวที่มาที่ไปของผู้อาวุโสเย่เป็นแน่”
เหยาอี่เงยหน้าขึ้นถามด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท เช่นนั้นจะให้ท่านจางเข้าเฝ้าหรือไม่พะยะค่ะ ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนถอนหายใจ และลุกขึ้นพร้อมกล่าวว่า “เยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นถึงบัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลัน เป็นที่นับหน้าถือตาของแคว้นต้าเยี่ยนของเรา ข้าย่อมต้องไปต้อนรับด้วยตนเอง มิเช่นนั้นอาจจะถูกครหาเอาได้”
เหยาอี่ยิ้มรับอย่างเข้าใจ
มินาน เยี่ยนหยางเหนียนและเหยาอี่ก็เดินออกมาจากห้องทรงอักษรอย่างรีบร้อน
ขณะที่ทั้งสองปรากฏตัวขึ้น ณ ท้องพระโรง
ก็ได้พบกับจางเฉินที่อยู่ในชุดบัณฑิต ผมและหนวดขาวโพลน ด้านหลังมีชายวัยกลางคนใบหน้าเรียบนิ่งสองคนยืนอยู่ด้วย
“ท่านจาง”
เยี่ยนหยางเหนียนกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มทันทีที่เห็นจางเฉิน ก่อนจะเดินลงไปด้านล่างอย่างรีบร้อน
“กระหม่อมจางเฉิน ถวายบังคมฝ่าบาทพะยะค่ะ”
กลุ่มของจางเฉินทั้งสามคนคุกเข่าลงกับพื้นและเอ่ยด้วยความเคารพ
“ท่านจางรีบลุกขึ้นเถิด ข้าเคยบอกท่านแล้วเวลามาพบข้ามิจำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้หรอก”
เยี่ยนหยางเหนียนรีบเดินเข้ามาประคองจางเฉินให้ลุกขึ้น
จางเฉินจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งครึมว่า “หากไร้ซึ่งกฎระเบียบก็มิอาจทำสิ่งใดให้สำเร็จได้ กระหม่อมมิใช่ขุนนาง เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ทั้งเบื้องหลังยังมีศิษย์สำนักศึกษาตงหลันหลายพันคนเฝ้ามองอยู่ จึงมิอาจมิรักษากฎระเบียบได้พะยะค่ะ”
เอ่ยจบ จางเฉินก็โค้งคารวะอีกครั้ง แล้วค่อย ๆ ยืดตัวขึ้น
เยี่ยนหยางเหนียนส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญ “ท่านจางเชิญตามข้าไปคุยในห้องทรงอักษรดีกว่า”
จางเฉินพยักหน้ารับเบา ๆ
“ท่านจาง มาหาข้าดึกดื่นป่านนี้ มิทราบมีเรื่องอันใดงั้นหรือ ? ”
“ฝ่าบาท เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักเฉียนเซียนของสำนักศึกษาตงหลันวันนี้ คิดว่าท่านคงได้ยินมาบ้างแล้ว ? ”
“ข้าได้ยินแล้ว อีกทั้งยังได้ยินมาว่าท่านมีสัญญาณเข้าสู่วิถีด้วย ช่างน่ายินดียิ่งนัก”
“แม้จะมีสัญญาณเข้าสู่วิถี แต่สุดท้ายก็ยังมิอาจสมปรารถนาได้ หากบัณฑิตเช่นข้าอยากเข้าสู่วิถี จังหวะเวลา สถานที่ และตัวคนต้องเป็นหนึ่ง ห้ามขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเด็ดขาด เรื่องนี้คิดว่าฝ่าบาทคงพอจะทราบดี”
“ท่านจางเป็นนักปราชญ์แห่งแคว้นต้าเยี่ยนของเรา ชี้แนะสั่งสอนผู้คนมาทั้งชีวิต ในเมื่อมีสัญญาณเข้าสู่วิถีแล้ว เช่นนั้นย่อมเข้าสู่วิถีได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”
“ฝ่าบาทกล่าวเกินไปแล้ว ความจริงที่กระหม่อมมาวันนี้ เพราะต้องการจะทูลถามฝ่าบาทเกี่ยวกับท่านเทพองค์หนึ่งพะยะค่ะ”
“ท่านเทพหรือ ? ”
“ใช่แล้วพะยะค่ะ ท่านเทพที่อารามฉางชิงสักการะอยู่พะยะค่ะ”
“ท่านจางหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“เรียนฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลตามตรง หากกระหม่อมเดามิผิด บัดนี้ท่านเทพองค์นี้คงจะอยู่ที่เมืองหลวงของเรา หรืออยู่มิไกลจากเมืองหลวงมากนัก และการที่ฝ่าบาทสร้างอารามฉางชิงที่เขาตะวันออกโดยมิสนคำคัดค้านใดๆ แสดงว่าคงเคยพบท่านเทพมาแล้วใช่หรือไม่พะยะค่ะ ? ”
“นี่มัน…”
เยี่ยนหยางเหนียนพูดคุยกับจางเฉินไปพลาง ขณะเดินกลับไปยังห้องทรงอักษร
จากนั้นทั้งสองก็ได้สนทนากันต่อในห้องทรงอักษรเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม จางเฉินจึงได้จากไปอย่างสมปรารถนา
หลังจากพวกจางเฉินกลับไปแล้ว
เยี่ยนหยางเหนียนและเหยาอี่กลับยังคงยืนที่หน้าประตูท้องพระโรงอยู่นาน มิได้ขยับเขยื้อนไปไหน
เหยาอี่ทูลถามเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาท ดูเหมือนบัณฑิตจางท่านนี้ต้องการจะพบท่านเทพเย่ให้ได้นะพะยะค่ะ”
เยี่ยนหยางเหนียนเอามือไพล่หลัง สายตาทอดมองออกไป เอ่ยคล้ายเย้ยหยันว่า “จะได้พบผู้อาวุโสเย่หรือไม่ มิใช่สิ่งที่ข้าจะตัดสินได้ ต้องให้ผู้อาวุโสเย่ตอบตกลงเสียก่อน”
เยี่ยนหยางเหนียนจึงเอ่ยต่ออีกว่า “แต่จากการสังเกตเมื่อครู่ ท่านจางมีสัญญาณเข้าสู่วิถีจริง ๆ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด เป็นไปได้สูงว่าเขาจะกลายเป็นเทพแห่งการศึกษาคนแรกของแคว้นต้าเยี่ยนในรอบพันปีที่เข้าสู่วิถีได้สำเร็จ สมกับที่ได้รับการขนานนามจริง ๆ ”
ดวงตาของเหยาอี่ฉายประกายบางอย่างออกมา พลางทูลถามด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท เช่นนั้นท่านอยากให้ท่านจางได้พบกับท่านเทพเย่หรือไม่พะยะค่ะ ? ”
“หืม ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมาก่อนจะปรายตามองเหยาอี่
เยี่ยนหยางเหนียนไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ข้าย่อมมีความคิดเช่นนั้นอยู่แล้ว ผู้อาวุโสเย่ประทานโชคมากมายเช่นนี้ให้แก่แคว้นต้าเยี่ยนของเรา ข้าเชื่อว่าอีกมินาน แคว้นต้าเยี่ยนของเราจะต้องแข็งแกร่งกว่าอีกสามแคว้นอย่างแน่นอน”
“หากเป็นไปได้ ภายภาคหน้าแคว้นต้าเยี่ยนคงสามารถรวบรวมแผ่นดินจงหยวนให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ส่วนข้าก็จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ และถูกเล่าขานไปหลายชั่วอายุคนอย่างแน่นอน อีกทั้งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มิว่าแคว้นใด ฮ่องเต้สมัยไหนก็มิมีใครมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน”
เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยอย่างลำพองใจ แทบจะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้มิอยู่
แต่มินานท่าทีของเขาก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“น่าเสียดาย จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกน่าขันยิ่งนัก ต่อให้ข้าจะสามารถรวบรวมแผ่นดินจงหยวนได้ แต่สุดท้ายข้าก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น”
เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าโศกเศร้า
‘หมากงั้นหรือ ? ’
เหยาอี่ได้สติขึ้นมา พลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘ใช่แล้ว ! ’
‘มิว่าจะเป็นบัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลัน หรือแม้แต่ทั้งแคว้นต้าเยี่ยน ก็ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับท่านเทพเย่ทั้งสิ้น’
‘ต่อให้บัณฑิตจางสามารถเข้าสู่วิถีได้’
‘ต่อให้แคว้นต้าเยี่ยนสามารถรวบรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่งได้’
‘แต่เมื่อดูในภาพรวมแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นเพียงหมากกระดานหนึ่งเท่านั้น ส่วนท่านเทพเย่ก็คือผู้ที่ควบคุมหมากกระดานนี้ ! ’
เหยาอี่คิดได้เช่นนั้นจึงเอ่ยหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาท ท่านมองได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ แล้วจุดประสงค์ที่ท่านเทพเย่ทำเช่นนี้เพื่ออันใดหรือพะยะค่ะ ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนมุมปากหยักโค้งขึ้น หมุนตัวไปเอ่ยกับเหยาอี่ด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “ในสายตาของเขา พวกเราก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น แม้ข้าจะเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยน แต่ในสายตาของเขาจะต่างอะไรกับพวกขอทานตามท้องถนนกันเล่า ? ”
“เช่นนั้นเจ้ามิอาจคาดเดาความคิดของเขาได้หรอก ข้าเองก็มิอาจคาดเดาจิตใจที่ล้ำลึกของเขาได้เช่นกัน”
เหยาอี่ตะลึงงัน ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
สุดท้ายเยี่ยนหยางเหนียนก็เงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวที่พร่างพราวอยู่บนท้องนภา พลางเอ่ยกับตัวเองในใจว่า ‘แม้จะมิพอใจที่ต้องเป็นเพียงหมากของผู้อื่น แต่หากสามารถช่วยให้แคว้นต้าเยี่ยนรวมจงหยวนเป็นปึกแผ่นได้ ข้าก็พอใจแล้ว’
อีกด้านหนึ่ง
จางเฉินและศิษย์เอกสองคนของเขากำลังนั่งอยู่ภายในรถม้า ค่อย ๆ มุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาตงหลัน
“อาจารย์ คำพูดของท่านเมื่อครู่ตรงเกินไปหรือไม่ขอรับ ? ”
บุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้าซูบผอมคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
จางเฉินมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เขาเพียงลูบที่หนวดพร้อมกับเอ่ยว่า “พวกเจ้าดูถูกฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเกินไปแล้ว มิว่าจะเป็นจิตใจหรือปณิธาน พวกเจ้าล้วนแต่คาดมิถึงอย่างแน่นอน”
“ส่วนท่านเทพเย่ท่านนั้น เป็นเทพองค์เดียวของยุคนี้ที่มาท่องโลกมนุษย์ จะทำตามความปรารถนาของเขาได้เยี่ยงไรกัน ก่อนหน้านี้หากเขายอมรับปากข้าง่าย ๆ ข้าก็คงอดคิดมิได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างเป็นแน่”
จางเฉินเอ่ยอย่างจริงจังอีกว่า “พวกเจ้าสองคนจงจำเอาไว้ ท่านเทพหาใช่เป็นคนง่าย ๆ เช่นที่พวกเจ้าคิดไม่”