ตอนที่ 144 จริงหรือขอรับ ?
‘เขียนให้ตัวหนึ่ง ? ’
ทันทีที่เย่ฉางชิงเอ่ยออกมา
“สูด ! ”
ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้งไป ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น
‘เจ้าเด็กคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ ? ’
‘เขาต้องการที่จะแสดงฝีมือสั่งสอนบัณฑิตหวางว่าควรเขียนอักษรพู่กันเช่นไรเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เกินไป ! ’
‘เจ้าเด็กคนนี้จะมากเกินไปแล้วนะ!’
‘นี่เท่ากับเป็นการเหยียดหยามบัณฑิตหวางต่อหน้าผู้คนเลยก็ว่าได้ ! ’
ขณะเดียวกันหลิวหรูอี้และหวางม่อที่ยืนตระหง่านอยู่บนเวที กลับอดมิได้ที่จะแสดงสีหน้าตกใจออกมา
‘ต้องยอมรับว่าแม้คนผู้นี้จะอายุยังน้อย แต่ความรู้ในด้านอักษรพู่กันนับว่าสูงส่งยิ่งนัก’
‘แต่อักษรพู่กันมิใช่เพียงหลักปฏิบัติเท่านั้น ต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจ มิใช่เรื่องที่จะทำได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ’
เห็นได้ชัดว่าเวลานี้ทุกคนในที่นั้นนอกจากเยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนปิงซินแล้ว แม้แต่เยี่ยนจิ่งหงก็ยังมีท่าทีเคลือบแคลงสงสัยในตัวเย่ฉางชิงเช่นกัน
“ท่านบรรพบุรุษ ท่านเย่เขา…”
เยี่ยนจิ่งหงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปเอ่ยกับท่านบรรพบุรุษเยี่ยนเทียนซาน
“หืม ? ”
เยี่ยนเทียนซานเหลือบมองเยี่ยนจิ่งหง มุมปากค่อย ๆ ยกขึ้น
ประการแรก ในสายตาของเขา ผู้อาวุโสเย่ผู้นี้มิได้อ่อนเยาว์ดังที่เห็นภายนอก
ประการต่อมา การที่ผู้อาวุโสเย่สามารถนำพลังเต๋ามากมาย ถ่ายทอดไว้ในอักษรพู่กันได้
ทำให้รู้ว่า มิเพียงแต่ผู้อาวุโสเย่จะมีตบะบารมีที่ลึกล้ำ ทว่ายังมีความแตกฉานในอักษรพู่กันอย่างมากอีกด้วย
ส่วนหวางม่อ แม้จะกล่าวได้ว่าพอมีตบะบารมีอยู่บ้าง แต่เยี่ยงไรเสียในสายตาของผู้อาวุโสเย่ก็เปรียบเสมือนเด็กน้อยเพียงเท่านั้น
การที่ผู้อาวุโสเย่ตัดสินใจแสดงฝีมือเวลานี้ เท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังหวางม่อชัด ๆ
“เจ้าชอบอักษรพู่กันมิใช่หรือ ? ”
เยี่ยนเทียนซานปรายตามองเยี่ยนจิ่งหงอย่างมิใส่ใจมากนัก ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านเย่กำลังจะแสดงฝีมือแล้ว เจ้าจับตาดูให้ดีมิแน่อาจจะเป็นวาสนาของเจ้าก็เป็นได้”
‘วาสนา ? ’
เยี่ยนจิ่งหงกะพริบตาด้วยความงุนงง
ในที่สุดเย่ฉางชิงก็เริ่มขยับกาย
บุรุษหนุ่มในชุดอาภรณ์สีขาว อุ้มถูสือซานที่อยู่ในร่างเดิมเอาไว้แนบอก ก่อนก้าวย่างไปทางเวทีอย่างสง่าผ่าเผย
ทันทีที่เย่ฉางชิงก้าวเดินไป ผู้คนต่างสบตากันก่อนจะหลีกทางให้เย่ฉางชิง
มินานเย่ฉางชิงก็ได้เดินขึ้นไปบนเวที
เขาหันไปพยักหน้าที่ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มให้แก่หวางม่อและหลิวหรูอี้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อาจจะมิสวยเท่าไหร่ แต่ข้าจะทำให้ดีที่สุดละกัน”
หลิวหรูอี้อึ้งไปเล็กน้อย เมื่อได้สติอีกครั้งจึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน “คุณชาย เชิญเจ้าค่ะ”
สีหน้าของหวางม่อดูย่ำแย่ลงในพริบตา พลางกวาดตามองเย่ฉางชิงด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะแค่นเสียงออกมาเบา ๆ
หลิวหรูอี้จึงส่งสัญญาณ ก่อนสาวใช้ที่อยู่คนละฝั่งของโต๊ะตัวยาวจะเข้ามาเก็บภาพอักษรพู่กันของหวางม่อลงไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบกระดาษซวนแผ่นใหม่มากางออกอย่างระวัง
หลิวหรูอี้เดินมาหยุดด้านข้างของเย่ฉางชิงแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ข้าน้อยช่วยฝนหมึกให้นะเจ้าคะ”
เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ “ขอบใจ”
หลิวหรูอี้จึงเดินอ้อมโต๊ะตัวยาวมายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเย่ฉางชิง แล้วหยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝนเบา ๆ
ขณะเดียวกันก็พิจารณาเย่ฉางชิงไปพลางอย่างเงียบ ๆ
ความจริงแล้วการที่หลิวหรูอี้ได้เป็นถึงผู้ดูแลของหอสายลมจันทรา ย่อมต้องมีประสบการณ์มามิน้อย
แต่มิรู้ด้วยเหตุใดบุรุษหนุ่มตรงหน้า กลับให้ความรู้สึกที่ยากจะคาดเดายิ่งนัก
อีกทั้งท่าทางของเขาที่แสดงออกมา กลับมีแรงดึงดูดที่ยากจะต้านทานอีกด้วย
โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ แม้แต่ตัวนางเองก็อดมิได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหว
‘คนผู้นี้มิธรรมดาจริง ๆ ! ’
หลิวหรูอี้ค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้า พยายามระงับอารมณ์ของตนให้เป็นปกติ หลังจากลอบประเมินชายที่อยู่ตรงหน้า
ในตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้เพ่งสมาธิ ก่อนจะหยิบพู่กันโบราณที่นักพรตฉางเสวียนมอบให้เขาออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
หลังจากพู่กันโบราณได้รับการดูแลจากเย่ฉางชิง จึงทำให้บัดนี้ตรงด้ามจับของพู่กันนั้นเกลี้ยงเกลาดุจหยก และมีการสลักลวดลายอันงดงามลงไปด้วย
ขณะเดียวกันขนของพู่กันยังเปล่งแสงออกมาจาง ๆ ดูแล้วช่างพิเศษเหลือคณา
แน่นอนว่าขนพู่กันด้ามนี้เย่ฉางชิงได้ทำขึ้นใหม่จากขนของเสือดำตัวนั้นนั่นเอง
เพียงแต่สิ่งที่เขามิรู้ก็คือ เสือดำตัวนั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงจ้าวปีศาจที่มีชีวิตมานับแสนปี
เช่นนั้นเพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าขนของพู่กันด้ามนี้พิเศษเพียงใด !
หวางม่อและหลิวหรูอี้ที่บังเอิญเหลือบเห็นพู่กันที่เย่ฉางชิงนำออกมา ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปแทบจะทันที ก่อนจะสบตากันอย่างมิได้นัดหมาย
‘คนผู้นี้มิใช่คนธรรมดาจริง ๆ ด้วย ! ’
‘เพียงแค่พู่กันด้ามนี้ด้ามเดียวคงจะล้ำค่ามากทีเดียว ! ’
‘เปิดหู เปิดตา ! ’
‘ครานี้นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริง ๆ ! ’
ขณะที่หลิวหรูอี้และหวางม่อกำลังตื่นตระหนกกับพู่กันโบราณในมือของเย่ฉางชิงอยู่นั้น
เย่ฉางชิงก็ได้ยกพู่กันจุ่มลงไปบนหมึก ขณะเดียวกันก็กวาดตามองกระดาษซวนบนโต๊ะตัวยาวคร่าว ๆ
มินานเย่ฉางชิงก็จรดพู่กันลงไป ขณะที่ถูกหลิวหรูอี้และหวางม่อจับจ้องอยู่
เห็นได้ชัดว่าเขาจรดพู่กันลงไปอย่างสบาย ๆ
แต่มิรู้ด้วยเหตุใดพู่กันที่จรดลงไป กลับให้ความรู้สึกถึงปัญญาอันล้ำลึก
จากนั้นปลายพู่กันก็เคลื่อนที่ราวกับสายน้ำไหล เหมือนมีพลังปราณที่ไร้รูปร่างลอยอยู่จาง ๆ ทำให้ใจสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามมิได้
เวลามิถึงชั่วอึดใจอักษรโบราณตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ
‘สงบ’
ขณะเดียวกันระหว่างที่เย่ฉางชิงจับพู่กันอยู่นั้น ก็เกิดสายลมพัดไปทั่วทั้งห้องโถงภายในพริบตา ให้ความรู้สึกสบายราวกับสายลมยามวสันตฤดู
‘ลึกลับ ! ’
‘ช่างลึกลับยิ่งนัก ! ’
วินาทีต่อมาหลิวหรูอี้และหวางม่อต่างก็นิ่งงัน สายตาจ้องเขม็งไปบนตัวอักษรที่เย่ฉางชิงเขียนขึ้นมา
ตัวอักษรลื่นไหวราวกับสายน้ำ มีพลังราวกับภูผา ไร้ซึ่งจุดบกพร่องใด ๆ ช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
ที่สำคัญที่สุดก็คือทันทีที่พวกเขาทั้งสองคนมองเห็นอักษรตัวนี้ มิรู้ด้วยเหตุใดภายในใจก็เกิดสงบขึ้นมาอย่างบอกมิถูก จนมิมีสิ่งใดมาสั่นคลอนได้
เย่ฉางชิงมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก เขาทำความสะอาดพู่กันอย่างลวก ๆ ก่อนจะเพ่งสมาธิและเก็บพู่กันลงไปภายในแหวนเก็บสมบัติอีกครั้ง แล้วจึงหมุนตัวก้าวลงไปด้านล่าง
ส่วนทุกคนที่อยู่ด้านล่างต่างก็จับจ้องไปยังเย่ฉางชิง ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
เห็นได้ชัดว่าเวลานี้พวกเขาอยากรู้เป็นอย่างมากว่า บุรุษหนุ่มผู้นี้มอบตัวอักษรคำไหนให้แก่บัณฑิตหวางกันแน่ ?
ความแตกฉานในอักษรพู่กันเป็นเช่นไรบ้าง ?
หลังจากที่เย่ฉางชิงเดินลงมา ทุกคนที่มองอย่างพิจารณาก็หลีกทางให้เขาทันที
“ท่านเยี่ยน คุณหนูเยี่ยน พวกเราขึ้นไปดูชั้นอื่นกันเถิด”
เย่ฉางชิงเดินมาหาพร้อมกับรอยยิ้ม
เยี่ยนเทียนซานเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านเย่ เชิญ”
เยี่ยนปิงซินยิ้มพรายออกมา ก่อนจะเดินนำขึ้นไป
แต่ขณะที่พวกเย่ฉางชิงเดินไปจนถึงมุมบันได
ก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดังขึ้น
“คุณชายท่านนั้น ได้โปรดช้าก่อน”
หวางม่อเดินมายังด้านข้างเวทีอย่างรีบร้อน ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา สายตาจับจ้องไปยังเย่ฉางชิง
“ตัวอักษรที่ข้ามอบให้ท่านมีจุดบกพร่องอันใดงั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
หวางม่อได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไป แต่ในระหว่างที่เย่ฉางชิงเตรียมที่จะจากไปนั้น
“ตึ้ง ! ”
หวางม่อคุกเข่าลง !
ถูกแล้ว
บัณฑิตที่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ เป็นนักเขียนพู่กันที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงผู้นี้คุกเข่าลง
อีกทั้งยังคุกเข่าให้แก่บุรุษหนุ่มลึกลับผู้นี้ต่อหน้าของทุกคนอีกด้วย
“สูด ! ”
หลังจากทุกคนได้เห็นภาพตรงหน้า ต่างก็อ้าปากค้างราวกับมีเสียงวิ๊งดังขึ้นในโสตประสาท สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พร้อมกับสูดหายใจอย่างรุนแรง
‘คาดมิถึงจริง ๆ ว่าหวางม่อจะยอมคุกเข่าให้กับเด็กคนหนึ่งต่อหน้าผู้คนเช่นนี้’
‘หมายความว่าความแตกฉานในอักษรพู่กันของเด็กคนนี้อยู่เหนือกว่าหวางม่อน่ะสิ มิเช่นนั้นเขาจะย่อมคุกเข่าต่อหน้าทุกคนได้เยี่ยงไรกัน ? ’
‘แล้วเมื่อครู่เด็กคนนี้เขียนตัวอักษรใดกันเล่า ? ’
ระหว่างที่สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตกใจอยู่นั้น
หวางม่อก็ได้ก้มหน้าลงกับพื้น เสียงแหบแห้งสั่นเครือเบา ๆ “ผู้น้อยหวางม่ออยากคารวะท่านเป็นอาจารย์ขอรับ”
“การที่ท่านเข้าใจได้เช่นนี้ นับว่าท่านนั้นมีความแตกฉานมิเลวเลย”
เย่ฉางชิงยังคงมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ เท่านั้น “ส่วนเรื่องคารวะเป็นอาจารย์มิต้องหรอก หากท่านต้องการคำชี้แนะ หากมีเวลาก็สามารถมาแลกเปลี่ยนความรู้กับข้าได้”
“จริงหรือขอรับ ? ”
หวางม่อตัวสั่นน้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา
เย่ฉางชิงจึงพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม