ตอนที่ 159 เผ่ามนุษย์ก็มีจักรพรรดิ
เพราะการฟื้นขึ้นมาของจักรพรรดิฝ่ายมาร ณ แดนรกร้างทางเหนือครานี้ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ขึ้น
มิเพียงฝ่ายปีศาจแดนใต้เท่านั้นที่รับรู้ได้ แม้แต่ผู้พิทักษ์ราตรีที่ลาดตะเวนทางทิศเหนือของจงหยวนก็รับรู้ได้เช่นกัน
ณ ส่วนลึกของดินแดนทางใต้
หลังจากที่จักรพรรดิฝ่ายมารฟื้นขึ้นมา มินานก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ทุกเผ่าจงฟังคำสั่ง จักรพรรดิฝ่ายมารได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่การจะปลดผนึกอย่างสมบูรณ์ และออกมาจากหุบเหวได้ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ หากข้าเดามิผิดภายในสิบปี ฝ่ายมารจะต้องบุกเข้าโจมตีทางเหนือของจงหยวนอย่างแน่นอน”
“ก่อนจะถึงตอนนั้นพวกเจ้าจงตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่แต่ในเผ่าของตนเอง หากเกิดเรื่องขึ้นทางแดนเหนือของจงหยวนเมื่อใด พวกเราก็จะบุกโจมตีจากทางแดนใต้เช่นกัน ! ”
หลังจากที่เสียงนี้ดังออกมาจากส่วนลึกของราชาขุนเขาสือว่านซาน ก็ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแดนใต้ทันที
“ก่อนหน้านี้ท่านชิวหลงบอกเองมิใช่หรือ ว่าอีกเป็นร้อยปีกว่าจักรพรรดิฝ่ายมารจะฟื้นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจักรพรรดิฝ่ายมารถึงได้ฟื้นขึ้นมาก่อนกำหนดเช่นนี้เล่า ? ”
“เจ้าจะสนใจเรื่องนั้นทำไมกัน ขอเพียงจักรพรรดิฝ่ายมารสามารถปลดผนึกได้ ถึงเวลาฝ่ายมารก็จะบุกโจมตีทางเหนือของจงหยวน ตอนนั้นเหล่าผู้แข็งแกร่งของพวกมนุษย์ก็จะไปทางเหนือกันหมด ส่วนพวกเราก็จะอาศัยโอกาสนี้เข้าโจมตีทางใต้ของจงหยวนเสีย”
“ใช่แล้ว แต่เพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ ระหว่างนี้พวกเราทุกเผ่าห้ามละเมิดข้อตกลงกับจงหยวนอีกเป็นอันขาด มิเช่นนั้นอาจทำให้พวกมนุษย์เกิดความสงสัยขึ้นได้”
“เรื่องแค่นี้สบายมาก เผ่าของข้าจงฟังก่อนจะถึงการโจมตีแดนใต้ ทุกคนในเผ่าห้ามไปที่จงหยวนเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกลงโทษตามกฎของเผ่าทันที ! ”
“…….”
ขณะเดียวกัน
ภายในตำหนักหินโบราณหลังหนึ่งในหุบเขามังกรหลับใหล
นอกจากท่านชิวหลงที่มีร่างกายกำยำแล้ว ยังมีชายชราหลังค่อมรูปร่างผอมบาง และชายวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตคนหนึ่ง พร้อมกับหญิงวัยกลางคนอีกสองคน
“น้องชิวหลง แม้เทือกเขาแดนใต้ของเราและฝ่ายมารเคยทำข้อตกลงกันเอาไว้ ว่าหากฝ่ายมารโจมตีทางเหนือของจงหยวน พวกเราก็จะโจมตีขนาบทางใต้ ถึงตอนนั้นก็จะสามารถบุกเข้าไปในจงหยวนได้อย่างง่ายดาย”
ชายชราหลังค่อมหัวคิ้วขมวดมุ่น พลางกวาดสายตามองทุกคนแล้วเอ่ยต่อ “แต่พวกเจ้าเองก็คงจะทราบดีว่า ก่อนหน้าที่พวกมนุษย์จะผงาดขึ้นมานั้น เผ่าปีศาจของเราและฝ่ายมารมีความขัดแย้งระหว่างกันมายาวนาน ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันบ่อยครั้ง ทำให้พวกมนุษย์แข็งแกร่งขึ้นอย่างเงียบ ๆ และมิมีผู้ใดทันสังเกต”
“เช่นนั้น ข้าจึงคิดว่าต่อให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันบุกโจมตีจงหยวน แต่หลังจากยึดครองจงหยวนได้แล้ว ทั้งสองฝ่ายจะเปิดศึกอีกคราหรือไม่ พวกเจ้าจงรับรู้ไว้ว่าจักรพรรดิฝ่ายมารท่านนั้น นับตั้งแต่สมัยบรรพกาลเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่น่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง”
คนที่เหลือได้ยินเช่นนั้นต่างก็สบตากัน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
ต้องยอมรับว่านี่คือเรื่องจริงที่ต้องตระหนัก !
การที่ฝ่ายมารมีจักรพรรดิเช่นนี้ ส่วนผู้แข็งแกร่งจริง ๆ ของฝ่ายปีศาจของพวกเขา ตั้งแต่สมัยบรรพกาลบ้างก็บรรลุเป็นเซียน บ้างก็ล้มตายไปในสงครามใหญ่ครานั้น
บัดนี้จึงไร้ซึ่งคนที่สามารถเทียบเคียงกับจักรพรรดิมารท่านนั้นได้
ถ้าเช่นนั้น ต่อให้พวกเขาจะร่วมมือกับฝ่ายมารโจมตีดินแดนจงหยวน แต่หากหลังจากนั้น ฝ่ายมารกลับคำขึ้นมา แล้วขับไล่พวกเขาออกจากจงหยวน ฝ่ายปีศาจของพวกเขาก็กลายเป็นตัวตลกน่ะสิ ?
“เรื่องนี้คงต้องวางแผนกันให้ดีจริง ๆ ”
สตรีวัยกลางคนหน้าตาค่อนข้างสะสวยในมือถือลูกประคำเอาไว้ เมื่อเงียบมาพักหนึ่งก็ได้เอ่ยขึ้นอย่างใช้ความคิดว่า “แม้ว่าปีศาจทุกเผ่าจะอยากกลับไปจงหยวนเต็มแก่ และอยากจะยึดส่วนหนึ่งของจงหยวนเอาไว้”
“แต่หากไร้ซึ่งคนที่จะสามารถต่อกรกับจักรพรรดิมารท่านนั้นได้ เช่นนั้นต่อให้เราร่วมมือกับฝ่ายมารเอาชนะพวกมนุษย์ได้ แต่ฝ่ายปีศาจของเราก็ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นอยู่ดี และอาจถูกขับไล่ออกจากจงหยวนได้ทุกเมื่อด้วย”
ตอนนั้นเองท่านชิวหลงที่มีร่างกายกำยำก็ยกมุมปากโค้งขึ้น ก่อนเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจว่า “ที่พวกท่านกล่าวมานั้น ก่อนหน้านี้ข้าเองได้ไตร่ตรองมาหมดแล้ว แต่ต้องบอกว่าต่อให้พวกเราร่วมมือกัน ก็มิอาจต้านทานจักรพรรดิมารแบบซึ่ง ๆ หน้าได้”
“แต่หากข้าเดามิผิดล่ะก็ เผ่ามนุษย์คงมียอดบุรุษท่านหนึ่ง ที่จะสามารถต่อกรกับจักรพรรดิมารได้”
‘ห๊ะ ! ’
‘เผ่ามนุษย์มีผู้ที่น่าเกรงขามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ’
พลันทุกคนที่ได้ยินต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ชิวหลง ไหนลองบอกสิ่งที่เจ้าคิดมาสิ”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตขมวดคิ้วขึ้น แล้วเอ่ยถามกับชิวหลง
ตอนนั้นเองคนอื่น ๆ ต่างก็หันไปมองชิวหลงที่ยังคงมีท่าทางสงบนิ่งเป็นตาเดียว
ชิวหลงจึงหัวเราะขึ้น ก่อนถามกลับว่า “พักนี้พวกท่านเคยได้ยินเรื่องที่จ้าวปีศาจของเผ่าพยัคฆ์ดำ ตายอยู่ในเขตแดนจงหยวนหรือไม่ ? ”
หญิงวัยกลางคนที่มีดวงตาสีแดงเพลิงพยักหน้า “เผ่าพยัคฆ์ดำมีความเกี่ยวข้องกับข้า เรื่องนี้ข้าจึงพอได้ยินมาบ้าง”
ได้ยินเช่นนั้นคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้ารับเช่นกัน
ชิวหลงจึงถามต่ออีกว่า “พวกท่านคงจะทราบเพียงว่าจ้าวปีศาจของเผ่าพยัคฆ์ดำตายอยู่ในเขตแดนจงหยวน แต่หารู้ไม่ว่า ยังมีจ้าวปีศาจท่านหนึ่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณได้เข้าไปยังดินแดนจงหยวนด้วย ใช่หรือไม่ ? ”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย อดมิได้ที่จะหันไปมองทางชิวหลง
“อีกทั้งจ้าวปีศาจของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณท่านนี้ยังมีชีวิตรอดกลับมาจากจงหยวนอีกด้วย หลังจากนั้นมินาน โชควาสนาของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณยังถูกช่วงชิงไปอีกด้วย”
เอ่ยถึงตรงนี้ ชิวหลงก็มีท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยต่อว่า “ข้าจึงใช้วิธีลับทำนายว่าผู้แข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ท่านนี้ แท้จริงแล้วเก่งกาจเพียงใด แต่สุดท้ายข้ากลับถูกครอบงำเสียเอง”
“เช่นนั้นหากข้าเดามิผิด ผู้แข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ท่านนี้คงเป็นจักรพรรดิท่านหนึ่งด้วยเช่นกัน”
ทันใดนั้นดวงตาของชายชราหลังค่อมพลันเปล่งประกายขึ้นแล้วพึมพำว่า “ชิวหลง เจ้าหมายความว่าหากฝ่ายมารบุกเข้าโจมตีทางเหนือของจงหยวนเมื่อใด ยอดบุรุษของเผ่ามนุษย์ท่านนี้และจักรพรรดิของฝ่ายมารจะต้องทำสงครามครั้งใหญ่ต่อกันเยี่ยงนั้นหรือ”
“หากทั้งสองบอบช้ำด้วยกันทั้งคู่ พวกเราค่อยอาศัยโอกาสนี้บุกเข้าจงหยวน มิแน่อาจยึดดินแดนบางส่วนเอาไว้ได้ ? ”
ชิวหลงส่ายหน้าไปมา พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อมินานมานี้ ในที่สุดข้าก็สามารถทำนายได้ว่า จักรพรรดิท่านหนึ่งของฝ่ายปีศาจของเราได้ทิ้งแดนลับเอาไว้ ก่อนจะขึ้นไปยังสวรรค์ ขอเพียงแดนลับแห่งนี้ได้รับวาสนาจนค่ายกลเพลิงแปดแดนของเราสมบูรณ์ เมื่อนั้นต่อให้เจอกับจักรพรรดิจริง ๆ ก็คงจะต่อกรได้สบาย ! ”
“น้องชิวหลง เจ้าทำนายที่ตั้งของแดนลับที่บันทึกในตำราโบราณได้แล้วจริงหรือ ? ”
ชายชราหลังค่อมเอ่ยถามด้วยสีหน้าปิติยินดี
ชิวหลงจึงพยักหน้าน้อย ๆ
คนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้น ต่างก็เผยสีหน้ายินดีออกมาเช่นกัน
หากเป็นเช่นนั้นขอเพียงสามารถทำให้ค่ายกลเพลิงแปดแดนสมบูรณ์ พวกเขาก็มั่นใจว่าสามารถต่อสู้กับจักรพรรดิได้
ถึงตอนนั้นต่อให้เผ่ามนุษย์หรือฝ่ายมารที่ล้วนมีจักรพรรดิอยู่ แต่ดินแดนจงหยวนก็ต้องถูกแบ่งเป็นสามส่วนอยู่ดี
อีกด้านหนึ่ง
ทางเหนือของจงหยวน
กำแพงเมืองสูงตระหง่านนับร้อยจั้ง ชั้นนอกของกำแพงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
เมื่อทอดสายตามองออกไป ราวกับมังกรน้ำแข็งตัวใหญ่นอนขวางอยู่บนดินแดนทางเหนือ เพื่อขวางกั้นฝ่ายมารแห่งแดนรกร้างทางเหนือเอาไว้
เวลานี้ เมฆดำทมึนปกคลุม สายลมหนาวเหน็บพัดมา
ชายชรารูปร่างเพรียวบางผู้หนึ่ง กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนกำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน
หูของเขาได้ยินแต่เสียงลมที่พัดกระหน่ำ ผมสีขาวโพลนปลิดปลิวยุ่งเหยิง ดวงตาหรี่ลง ขณะมองไปยังดินแดนทางเหนือที่ไร้จุดสิ้นสุด
‘ส่วนลึกของแดนรกร้างทางเหนือส่งเสียงดังกึกก้องเช่นนี้ อีกทั้งไอพลังยังน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด จักรพรรดิฝ่ายมารที่ถูกผนึกเอาไว้ในส่วนลึกของแดนรกร้างทางเหนือคงจะฟื้นขึ้นมาแล้วสินะ’
ชายชราถึงกับขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเข้มขึ้น ท่าทางเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
เขานิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถอดถอนใจออกมา ‘เมื่อใดที่จักรพรรดิของฝ่ายมารผู้นี้สามารถทำลายผนึกบนกายได้อย่างสมบูรณ์ ฝ่ายมารจะต้องบุกเข้าโจมตีดินแดนจงหยวนอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเหล่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียร ผู้ใดจะสามารถปกป้องแดนเหนือยับยั้งการรุกรานของฝ่ายมารได้กัน ? ’
ชายชราคิดได้เช่นนั้น ก็เพ่งสมาธิหยิบยันต์หยกชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ จากนั้นก็เริ่มส่งข่าวนี้ให้แก่คนในจงหยวน
จากนั้นมินานเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วทั้งจงหยวนก็เกิดความโกลาหลขึ้น…