ตอนที่ 16 อาจารย์หมายความว่าเยี่ยงไร ?
คำพูดของหลี่ฉางหมิง ทำให้นักพรตฉางเสวียนถึงกับชะงัก
‘เป็นถึงผู้สืบทอด แต่จะมิฝึกคัมภีร์ขั้นสูงของดินแดนไท่เสวียน กลับจะเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งกระบี่แทนเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะมิถูกนักพรตสายเดียวกันหัวเราะเยาะเอาหรอกหรือ ? ’
คิดถึงตรงนี้แววตาของนักพรตฉางเสวียนที่มองหลี่ฉางหมิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
‘ปากก็บอกว่ามิได้กังวลเรื่องที่แต่งตั้งลู่อู๋ซวงเป็นผู้สืบทอดหญิง แต่ตอนนี้กลับจะเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งกระบี่ แล้วเยี่ยงนี้ยังจะบอกว่ามิเป็นกังวลอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ดูท่าเรื่องนี้คงจะกระทบจิตใจของฉางหมิงมิน้อยเลย’
คิดแล้วนักพรตฉางเสวียนก็อดมองศิษย์ที่เห็นมาตั้งแต่เล็กด้วยความรู้สึกผิดมิได้
“ฉางหมิง เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย ความคิดของเจ้าอาจารย์นั้นเข้าใจดี”
นักพรตฉางเสวียนตบไหล่ของหลี่ฉางหมิงเบา ๆ พลางเอ่ยชี้แนะว่า “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว อาจารย์ก็จะมิปิดบังเจ้าอีก”
“อาจารย์…”
หลี่ฉางหมิงขมวดคิ้วมุ่น เขากำลังจะเอ่ยปากแต่กลับถูกนักพรตฉางเสวียนเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “ฉางหมิง เจ้าคงยังมิรู้ว่าผู้อาวุโสที่เร้นกายอยู่ในเมืองเสี่ยวฉือนั้น ได้รับปากอู๋ซวงว่าจะยอมชี้แนะการบำเพ็ญเพียรให้แก่อู๋ซวงด้วย”
“ไม่แน่ว่าผู้อาวุโสท่านนั้นอาจมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อดินแดนไท่เสวียนของเรา หากเป็นไปตามที่ข้าคิดล่ะก็ ทุกการกระทำของดินแดนไท่เสวียนล้วนแต่อยู่ในสายตาของผู้อาวุโสท่านนั้น เช่นนั้นอาจารย์จึงจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้”
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจความลำบากของอาจารย์แล้วหรือไม่ ? ”
นักพรตฉางเสวียนมองหลี่ฉางหมิงด้วยท่าทางเสียใจยิ่งนัก
หลี่ฉางหมิงจับจ้องไปยังนักพรตฉางเสวียนที่ดูแลเขาราวกับบิดาผู้ให้กำเนิด จู่ ๆ น้ำตาก็คลอขึ้นมาโดยมิรู้ตัว
ใบหน้าที่อบอุ่นของนักพรตฉางเสวียนปรากฏรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “ฉางหมิงเจ้าวางใจเถอะ เจ้ามีรากวิญญาณคู่และธาตุคู่ชั้นยอด ฐานะผู้สืบทอดของเจ้าไม่ว่าใครก็มิอาจสั่นคลอนได้ ต่อไปมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะได้เป็นเจ้าสำนักของดินแดนไท่เสวียน ! ”
หลี่ฉางหมิงหยักหน้าแรง ๆ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “อาจารย์ ความจริงแล้ววันนี้… ศิษย์ไปพบผู้อาวุโสท่านนั้นที่เมืองเสี่ยวฉือมาขอรับ…”
“อะไรนะ ? ! ”
นักพรตฉางเสวียนสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีหลังจากได้ยินประโยคนี้ พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย “ฉางหมิง เจ้าบอกว่าเจ้าไปพบผู้อาวุโสท่านนั้นตามลำพังมาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลี่ฉางหมิงพยักหน้ายอมรับ
“เจ้า ! ”
นักพรตฉางเสวียนจ้องหน้าหลี่ฉางหมิง สีหน้าแสดงความผิดหวังออกมาอย่างมิปิดบัง “ฉางหมิง เจ้าบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ผู้อาวุโสท่านนั้นแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรเจ้ามิอาจคาดเดาความคิดของท่านได้เลย”
“ในเมื่อผู้อาวุโสเร้นกายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือก็แสดงว่ามิต้องการให้คนอื่นไปรบกวน แต่เจ้ากลับไปพบผู้อาวุโสท่านนั้นโดยมิแม้แต่จะบอกอาจารย์สักคำ เจ้ารู้หรือไม่หากเจ้าเกิดไปลบลู่ผู้อาวุโสเข้า ไม่แน่อาจจะนำหายนะมาสู่ดินแดนไท่เสวียนของเราก็เป็นได้ ! ”
พูดจบนักพรตฉางเสวียนก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปถามหลี่ฉางหมิงว่า “เช่นนั้นเจ้าได้พบผู้อาวุโสท่านนั้นหรือไม่ ? ”
หลี่ฉางหมิงที่รู้สึกเหมือนในหัวมีเสียงดังวิ๊งขึ้นมาจนได้สติอีกครั้ง พลันรีบพยักหน้าให้
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากก็ถูกนักพรตฉางเสวียนเอ่ยขัดด้วยใบหน้าร้อนรน “ผู้อาวุโสท่านนั้นกล่าวอะไรหรือไม่ ? เขาได้พูดอะไรกับเจ้าหรือไม่ ? ”
“อาจารย์ ผู้อาวุโสท่านนั้นได้มอบอักษรพู่กันภาพหนึ่งให้ข้า ภาพนั้นแฝงเจตจำนงที่แท้จริงแห่งกระบี่มิรู้จบไว้ขอรับ”
ครั้งนี้หลี่ฉางหมิงกลัวว่านักพรตฉางเสวียนจะเอ่ยขัดอีก จึงรีบพูดออกมาจนจบ
ขณะเดียวกันเขาก็เพ่งจิตก่อนจะนำภาพอักษรพู่กันที่เย่ฉางชิงมอบให้ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
แววตาของนักพรตฉางเสวียนเต็มไปด้วยความสงสัย ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับภาพอักษรพู่กันมาจากมือของหลี่ฉางหมิง
แต่เมื่อเห็นภาพอักษรพู่กันที่มิได้ติดม้วนภาพ นักพรตฉางเสวียนถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดมากขึ้นกว่าเดิม
หากจะเรียกว่าเขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนก็คงมิผิดนัก
เพราะภาพอักษรพู่กันของลู่อู๋ซวงนั้นติดบนม้วนภาพมาอย่างประณีต แต่ภาพอักษรพู่กันของหลี่ฉางหมิงกลับมิได้ติดบนม้วนภาพมา เท่านี้ก็ทำให้เห็นถึงท่าทีที่ผู้อาวุโสท่านนั้นมีต่อหลี่ฉางหมิงแล้ว
เมื่อสังเกตได้ถึงรายละเอียดเหล่านี้ จึงทำให้สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนเรียบตึงขึ้นมาทันที แต่ภายในใจกลับรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามมิอยู่
ท่านผู้นั้นนับเป็นยอดฝีมือท่านหนึ่ง และหากเป็นบรรพจารย์ที่ขึ้นสรวงสวรรค์ท่านนั้นจริง ๆ ไม่แน่เพียงประโยคเดียวอาจจะปลดเจ้าสำนักเช่นเขาได้เลยก็เป็นได้
“ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นผู้ให้มาจริงหรือ ? ” นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถาม
“เรียนอาจารย์ ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นผู้ให้มาจริง ๆ ขอรับ” หลี่ฉางหมิงฝืนยิ้มออกมา พร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ
นักพรตฉางเสวียนได้ยินดังนั้น จึงค่อย ๆ เปิดภาพอักษรพู่กันที่ม้วนเอาไว้ออก
“จันทร์จรัสเหนือเขาเทียนซาน ท่ามกลางทะเลหมอกอันกว้างใหญ่”
เมื่อได้เห็นตัวอักษรที่งดงามมีชีวิตชีวาและเปี่ยมไปด้วยพลังแล้ว สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนก็เปลี่ยนไปทันที พร้อมกับจิตวิญญาณที่ถูกดูดเข้าไป
ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับตัวเองไปยืนอยู่บนยอดเขา เผชิญหน้ากับเขาที่สูงตระหง่าน ทะเลหมอกและแสงจันทรา…
นักพรตฉางเสวียนมองทิวทัศน์อยู่เช่นนั้นเกือบ 1 ก้านธูปโดยมิรู้ตัว
“ตึก ! ”
หลังจากดึงจิตออกจากภาพอักษรพู่กันได้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญพรตที่แข็งแกร่งเช่นนักพรตฉางเสวียนก็อดที่จะหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความกลัวมิได้
เพียงแค่ภาพอักษรพู่กันที่เรียบง่ายภาพหนึ่ง แต่ราวกับมีอีกโลกหนึ่งซ่อนอยู่ภายใน
และสิ่งที่ผู้ปราดเปรื่องเช่นนักพรตฉางเสวียนได้รู้ซึ้งจากภาพวาดนั้น ย่อมมิใช่สิ่งที่ผู้เยาว์เช่นหลี่ฉางหมิงจะคาดเดาได้
“ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นยอดคนจริง ๆ คิดมิถึงว่าจะสามารถแฝงเจตจำนงที่แท้จริงแห่งกระบี่นับอนันต์ที่เฉียบขาดและชัดเจนไว้ในภาพอักษรพู่กันได้ น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ”
ใบหน้าของนักพรตฉางเสวียนเผยความปลื้มปิติออกมาอย่างปิดมิมิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“อาจารย์ ผู้อาวุโสท่านนั้นมอบภาพอักษรภาพนี้ให้ข้า ศิษย์ได้รับรู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นแล้ว เช่นนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมศิษย์ถึงต้องการเปลี่ยนไปบำเพ็ญวิถีแห่งกระบี่ขอรับ” หลี่ฉางหมิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ความหมายที่แฝงอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนมีสีหน้าเย็นชาลง ก่อนจะสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ฉางหมิง เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักดินแดนไท่เสวียนเช่นเจ้า จะต้องฝึกคัมภีร์ขั้นสูงของสำนักเท่านั้น”
“และจำไว้ว่าอย่าให้เกิดเรื่องเช่นวันนี้ขึ้นอีก มิเช่นนั้นอาจารย์คงจะผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก”
‘ผิดหวัง ? ’
‘ภาพอักษรพู่กันนี้แฝงเจตจำนงที่แท้จริงแห่งกระบี่เอาไว้มากมายเช่นนี้ แสดงว่าผู้อาวุโสท่านนั้นคิดว่าพรสวรรค์วิถีกระบี่ของข้านั้นยอดเยี่ยม’
‘หรือว่าข้าเข้าใจผิดเเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
หลี่ฉางหมิงกระพริบตาถี่ ๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
นักพรตฉางเสวียนเหลือบตามองหลี่ฉางหมิง ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ และถอนหายใจออกมา
หลี่ฉางหมิงเม้มริมฝีปากแน่น พร้อมกับมีสีหน้าเข้มขึ้นมาทันที
‘หรือข้าจะเข้าใจผิดไปจริง ๆ ? ’
เนิ่นนานกว่านักพรตฉางเสวียนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว “ฉางหมิงเอ๋ย แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์และฉลาดเฉลียว แต่เรื่องทางโลกนั้นเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก เจ้าต้องหมั่นสังเกตรายละเอียด ต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตตั้งแต่เริ่มต้น โดยเฉพาะการพบปะพูดคุยกับผู้ที่เป็นยอดคน ”
พูดจบก็เห็นหลี่ฉางหมิงมีสีหน้าที่สับสน นักพรตฉางเสวียนจึงได้ม้วนภาพอักษรที่หลี่ฉางหมิงได้รับมาให้เรียบร้อย แต่ก็มิได้พูดอะไรออกมา
หลี่ฉางหมิงสับสน ‘อาจารย์ ท่านหมายความเช่นไรกันแน่ ? ’
‘เหตุใดข้าฟังมิเห็นรู้เรื่องเลย ? ’
กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งดวงตะวันก็ตกดิน หมู่เมฆยามเย็นย้อมเขาไท่เสวียนทั้งลูกให้กลายเป็นสีแดงเสียแล้ว
“ฟิ้ว ! ”
ในตอนนั้นเองก็เกิดเสียงที่น่ากลัวดังกึกก้องมาจากทิศทางของยอดเขากระบี่วิญญาณ และปรากฏลำแสงที่ทรงพลังเส้นหนึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า