ตอนที่ 166 แม่นางน้อย ท่านเบา ๆ หน่อยเถอะ !
หลังจากบ่นพึมพำในใจเสร็จแล้ว
เย่ฉางชิงก็มิได้พูดอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น
จะบอกผู้ดูแลภัตตาคารมิได้ ว่านายท่านของพวกเจ้าตาบอด หรือสมองเพี้ยนไปแล้วหรือเยี่ยงไร ภาพเช่นนี้มีมูลค่าถึง 180,000 ตำลึงทองงั้นหรือ ?
ตอนนั้นเอง
“ต้องบอกว่าภาพ ๆ นี้มองแวบแรกนับว่ามิเลวจริง ๆ ”
เยี่ยนปิงซินเบนสายตากลับมา พลางส่ายหน้าไปมา “แต่หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว กลับพบว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่มาก เทียบกับภาพวาดของท่านเย่แล้วยังนับว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ว่าได้”
จากนั้น
“แต่ข้ารู้สึกว่าภาพนี้มิเลวเลย เทียบกับผลงานก่อนหน้านี้ของอาจารย์ปี้เหลียนแล้ว ภาพนี้มิว่าจะเป็นความเหมือนจริง หรือแนวความคิดล้วนทำได้ดีกว่าเดิมมาก”
หลังจากเยี่ยนจิ่งหงที่ยืนอยู่ข้างกายเยี่ยนปิงซินได้ฟังคำวิจารณ์แล้ว ก็ได้เอ่ยออกมาตามความเห็นของตนบ้าง จากนั้นก็เหลือบมองเย่ฉางชิงพร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าว่าภาพนี้ 180,000 ตำลึงทองนับว่ามิแพง แต่จะบอกว่าราคาถูกก็คงมิได้”
ผู้ดูแลภัตตาคารร่างท้วมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหัวเราะออกมา “ดูท่าคุณชายท่านนี้คงจะเป็นนักวาดภาพ และชอบสะสมผลงานของอาจารย์ปี้เหลียนเช่นกันสินะ”
เยี่ยนจิ่งหงเอ่ยราวกับภาคภูมิใจว่า “ที่บ้านข้ามีภาพของอาจารย์ปี้เหลียนจำนวนหนึ่งสะสมเอาไว้จริง ๆ ”
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็อดมิได้ที่จะเม้มริมฝีปากทันที
ดีกว่าเดิม ?
เช่นนั้นผลงานก่อนหน้านี้ของอาจารย์ปี้เหลียนท่านนี้ก็คงแย่กว่านี้อีกสินะ !
อีกทั้งภาพวาดเช่นนี้คู่ควรกับการเป็นของสะสมด้วยงั้นหรือ ?
ยังมีคุณชายตระกูลเยี่ยนผู้นี้อีก
ท่าทางดูราวกับบัณฑิต แต่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องภาพวาดกลับตื้นเขินถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้ในสายตาของเย่ฉางชิง
เยี่ยนปิงซินแม้ว่าจะมิได้ฉลาดเท่าไรนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเยี่ยนจิ่งหงผู้นี้กลับฉลาดน้อยกว่าเยี่ยนปิงซินไปอีก
สมกับที่เป็นลูกเศรษฐีจริง ๆ !
มีทายาทเช่นนี้ต่อให้ตระกูลเยี่ยนจะร่ำรวยเพียงใด มิช้าคงได้หมดตัวเป็นแน่
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เห็นแก่ที่ตระกูลเยี่ยนปฏิบัติกับเขาอย่างดี เย่ฉางชิงจึงเอ่ยกับเยี่ยนจิ่งหงอย่างใจเย็นว่า “คุณชายเยี่ยน สิ่งที่ภาพทิวทัศน์ต้องมีมิใช่ความเสมือนจริง แต่อยู่ที่แนวความคิดของภาพ ๆ นั้น”
เยี่ยนจิ่งหงได้ยินเช่นนั้นก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเย่ฉางชิง
ขณะเดียวกัน ผู้ดูแลภัตตาคารก็เกิดประกายบางอย่างแวบผ่านในดวงตา
‘เจ้าหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? ’
‘ช่างสามหาวยิ่งนัก ! ’
‘ถึงกับกล้าวิจารณ์ภาพวาดของอาจารย์ปี้เหลียน มิรู้จักที่ต่ำที่สูงหรือเยี่ยงไร ? ’
แม้ภายในใจจะคิดเช่นนั้น
แต่ด้วยความที่เป็นผู้ดูแลภัตตาคาร รวมทั้งกฎของหอจุ้ยเซียน ผู้ดูแลภัตตาคารทำได้เพียงมองไปยังบุรุษหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้อย่างอดทน
เย่ฉางชิงชี้ไปยังภาพวาดที่อยู่บนผนังมิไกลนักแล้วเอ่ยต่อว่า “ท่านลองมองภาพ ๆ นี้ให้ดีสิ มิว่าจะเป็นภูเขา น้ำ ต้นไผ่ ก้อนหิน ล้วนแล้วแต่สมจริงเกินไป เช่นนั้นจึงทำให้ภาพโดยรวมขาดเสน่ห์ดึงดูด ทำให้แนวความคิดของภาพนี้ถูกลดทอนอย่างมาก”
เอ่ยจบ เย่ฉางชิงก็หันกลับไป
เห็นเยี่ยนปิงซินและถานไถชิง เสวี่ย รวมทั้งเยี่ยนเทียนซานพยักหน้าเห็นด้วย
ส่วนเยี่ยนจิ่งหงขมวดคิ้วแน่น สายตาจ้องเขม็งไปยังภาพทิวทัศน์ที่แขวนอยู่บนกำแพง ด้วยท่าทางมึนงงเช่นเดิม
ผู้ดูแลภัตตาคารที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เองก็เช่นกัน
“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”
เย่ฉางชิงถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะเอ่ยกับเยี่ยนปิงซินว่า “คุณหนูเยี่ยน ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เจ้าสั่งอาหารก่อนเถอะ ข้าจะใช้ภาพทิวทัศน์นี้เป็นต้นแบบ และจะวาดภาพใหม่อีกภาพให้กับภัตตาคารนี้”
“วาดภาพ ? ”
เยี่ยนปิงซินเผยสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างคาดมิถึงว่า “ท่านเย่ ท่านจะภาพวาดที่นี่หรือเจ้าคะ ? ”
ขณะเดียวกันมิเพียงเยี่ยนปิงซินเท่านั้นที่มีสีหน้าประหลาดใจ ถานไถชิง เสวี่ยและเยี่ยนเทียนซานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดมิได้ที่จะตกใจเช่นกัน
‘ท่านเย่วาดภาพที่นี่ ต้องการที่จะประทานโชควาสนาให้แก่หอจุ้ยเซียนงั้นหรือ ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ! ’
เย่ฉางชิงมองไปรอบ ๆ แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “การตกแต่งของที่นี่วิจิตรงดงาม เช่นนั้นภาพวาดที่แขวนที่นี่ก็ควรที่จะเหมาะสมด้วย”
เยี่ยนปิงซินที่เห็นท่าทางมิใส่ใจของผู้ดูแลภัตตาคารก็รีบเอ่ยเร่งทันที “เถ้าแก่ มัวยืนอึ้งอยู่ทำไมกัน ยังมิรีบสั่งให้คนนำเครื่องเขียนมาอีก ! ”
เย่ฉางชิงโบกมือไปมา “มิเป็นไร ข้าเอาชุดเครื่องเขียนมาด้วย มิต้องรบกวนเถ้าแก่หรอก”
เอ่ยจบเย่ฉางชิงก็ตรงไปยังหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง ก่อนจะเพ่งสมาธิแล้วหยิบเครื่องเขียนออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
หลังจากกางกระดาษซวนแผ่นหนึ่งออกแล้ว เย่ฉางชิงก็เงยหน้าขึ้นมองภาพทิวทัศน์บนผนังเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มจรดพู่กันลงไป
พวกเยี่ยนจิ่งหงที่เห็นภาพนั้นลังเลเล็กน้อย ก่อนรีบเดินเข้าไปหา
ส่วนเยี่ยนปิงซินหลังจากสั่งความกับเสี่ยวเอ้อเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปหาเย่ฉางชิงเช่นกัน
เพียงแต่คำพูดที่นางเอ่ยออกมา กลับทำให้เย่ฉางชิงใจสั่นสะท้าน รู้สึกตัวชาวาบขึ้นมาทันที
‘สั่งอาหารแนะนำทั้งหมด ! ’
‘สุราจุ้ยเซียนปีแปดสองหนึ่งไห ! ’
‘ทั้งหมดราคาเท่าไหร่กันล่ะนี่ ! ’
‘ปวดใจ ! ’
‘ปวดกาย ! ’
‘เจ็บปวดไปทั้งร่างแล้ว ! ’
‘อีกอย่างหากภาพที่ข้าวาดมิถูกใจผู้ดูแลภัตตาคารผู้นี้ และนายท่านของเขาขึ้นมา เช่นนั้นต้องลำบากแน่ ! ’
‘แม่นางน้อย ท่านเบา ๆ บ้างเถอะ ! ’
หลังจากเย่ฉางชิงมีภาพในใจคร่าว ๆ แล้ว มินานก็เริ่มจรดปลายพู่กันลงไป
แล้วเขาก็เข้าสู่โลกส่วนตัวทันที
และเนื่องด้วยภาพนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่นนั้นเขาจึงตั้งใจวาดอย่างมาก
“เปรี้ยง ! ”
ในตอนนั้นเองก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ท่ามกลางสายตาของทุกคน
ด้านหลังของเย่ฉางชิงเกิดภาพนิมิตขึ้นอีกครั้ง
ลำแสงเรืองรอง หมอกจาง ๆ ปกคลุมไปทั่ว
ทันใดนั้นเทือกเขาที่ทอดยาวพลันปรากฏขึ้น ต้นไผ่เก่าแก่ สายน้ำอันบริสุทธิ์ วิหคที่โบยบินและมัจฉาที่แหวกว่าย…
มินานลำแสงอันเจิดจ้าสายหนึ่งก็ส่องขึ้นมาจากบริเวณเทือกเขา ทุกสิ่งตรงหน้าราวกับแดนสวรรค์ก็มิปาน
หลังจากได้เห็นภาพทั้งหมด พวกเยี่ยนปิงซินที่เคยเห็นเย่ฉางชิงวาดภาพมากับตาตนเอง ดวงตาจึงเป็นประกายและมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปิติยินดีเท่านั้น
ทว่าเยี่ยนจิ่งหงและผู้ดูแลภัตตาคารนั้นกลับตะลึงงันไปตาม ๆ กัน ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘คนผู้นี้เป็นเทพมาจากที่ใดกัน ! ’
‘เพียงแค่วาดภาพภาพเดียว ด้านหลังกลับปรากฏนิมิตภาพสรวงสวรรค์ขึ้นเช่นนี้’
‘หรือว่าเขาจะมาจากสวรรค์ ? ’
‘จริงด้วย ! ’
‘จริงด้วย ! ’
‘จริงด้วย ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
‘มิเช่นนั้นใครกันจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ถึงเพียงนี้ ? ’
หลังจากที่ได้สติ ผู้ดูแลภัตตาคารรูปร่างท้วมก็คุกเข่าคำนับทางด้านหลังของยอดบุรุษตรงหน้าอย่างมิลังเล ท่าทางเต็มไปด้วยความเกรงกลัว
เยี่ยนเทียนซานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่ฉางชิงเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าเย็นชาลงทันที
เขาคิดว่าเป็นเพราะผู้อาวุโสเย่ตั้งใจวาดภาพมากจนจิตใจจดจ่อ
ทำให้ปรากฏภาพนิมิตขึ้นโดยมิรู้ตัว
ผู้อาวุโสเย่เพียงแค่ต้องการท่องไปในโลกมนุษย์เท่านั้น หากตระหนักได้ว่าเผลอสร้างภาพนิมิตขึ้นมาโดยมิรู้ตัวแล้วจากไปเล่า
เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการการสูญเสียครั้งใหญ่ที่มิเคยมีมาก่อนของแคว้นต้าเยี่ยนของเขาน่ะสิ
เยี่ยนเทียนซานคิดได้เช่นนั้น จึงเพ่งกระแสจิตก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างน่าเกรงขามว่า “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ อีกอย่างเรื่องในวันนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด มิเช่นนั้นในเมืองหลวงแห่งนี้จะมิมีที่ให้เจ้ายืนอีก ! ”
ผู้ดูแลภัตตาคารได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติขึ้นมาทันที
ขณะที่เขาบังเอิญเหลือบเห็นดวงตาเย็นเหยียบคู่นั้นของเยี่ยนเทียนซาน ก็อดมิได้ที่จะขนลุกชันขึ้นมา
หลังจากผู้ดูแลภัตตาคารลุกขึ้นยืนด้วยตัวสั่นเทาแล้ว เยี่ยนเทียนซานก็ส่งสายตาให้แก่เยี่ยนปิงซิน อีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับก่อนจะพาผู้ดูแลภัตตาคารออกไปจากชั้นสี่ของหอจุ้ยเซียนอย่างรีบร้อน
เมื่อมาถึงห้อง ๆ หนึ่งบนชั้นสาม
เยี่ยนปิงซินก็ได้หยิบป้ายลายหงษ์ชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติอย่างมิปิดบัง
“ข้าคือองค์หญิงเก้าแห่งแคว้นต้าเยี่ยน บัดนี้เจ้าจงจำคำของข้าเอาไว้ให้ดี”
นางยกป้ายลายหงส์ให้ผู้ดูแลภัตตาคารที่ใบหน้าสีเผือด เหงื่อกาฬไหลชุ่ม และกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น พลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “เรื่องในวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด แม้แต่นายท่านอะไรของเจ้าก็ด้วย มิเช่นนั้นมิเพียงครอบครัวของเจ้าจะต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตรแล้ว แม้แต่ครอบครัวนายท่านของเจ้าก็จะต้องพบจุดจบที่เลวร้ายเช่นกัน”
“กระ… กระหม่อม… น้อมรับบัญชาองค์หญิงเก้าพะยะค่ะ”
ใบหน้าของผู้ดูแลภัตตาคารแนบอยู่บนพื้น พลางขานรับบัญชาด้วยเสียงที่สั่นเทา