ตอนที่ 18 นักพรตฉางเสวียนจนปัญญา
แม้ทั้งสองภาพจะมีใจความต่างกัน และการจัดวางและความตั้งใจกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้นักพรตฉางเสวียนได้เห็นภาพนี้ของลู่อู๋ซวงแบบผ่าน ๆ รู้สึกเพียงว่าติดม้วนภาพอย่างประณีต ทุกตัวอักษรเต็มไปด้วยพลัง แต่มิได้เพ่งสมาธิสัมผัสกับเจตจำนงที่แท้จริงของวิถีกระบี่
เมื่อลองเปรียบเทียบดูแล้วกลับพบว่าภาพอักษรพู่กันที่หลี่ฉางหมิงนำกลับมานั้น แม้ไม่ได้ติดม้วนภาพ แต่การจัดวางและเจตจำนงแท้จริงของวิถีกระบี่ที่แฝงไว้นั้น ภาพตรงหน้านี้มิอาจเทียบเคียงได้เลย
ดังนั้นเขาจึงอดสงสัยมิได้ว่าผู้อาวุโสที่เมืองเสี่ยวฉือท่านนั้นคิดว่า หลี่ฉางหมิงเหมาะที่จะฝึกวิถีกระบี่มากกว่าอย่างนั้นหรือเปล่า
“ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าคงเข้าใจฉางหมิงผิดไปเสียแล้ว”
นักพรตฉางเสวียนลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเอ่ยว่า “แต่การที่เขาไปหาผู้อาวุโสท่านนั้นที่เมืองเสี่ยวฉือ ถือว่าเป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามเกินไป ช่วงนี้ให้เขาสำนึกผิดเสียหน่อยก็คงมิมีอะไรเสียหาย”
เวลานี้เหล่าผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเริ่มทยอยดึงจิตของตนออกมาจากภาพอักษรพู่กันนั้น
แต่หลังจากที่พวกเขาดึงสติกลับมาได้ ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
“ศิษย์น้องหยวนเจี้ยน ภาพอักษรพู่กันนี้เป็นโชคของเจ้านี่เอง คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสท่านนั้นจะแตกฉานในวิถีกระบี่ถึงเพียงนี้ ฝีมือช่างสูงส่งยิ่งนัก”
“ข้าเดาว่าผู้อาวุโสท่านนี้คงก้าวเข้าสู่แดนสูงสุดของวิถีกระบี่แล้วล่ะ น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสท่านนี้หาได้อยู่วิถีแห่งยันต์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ มิฉะนั้นมินานข้าคงเข้าสู่แดนเทวาได้เป็นแน่”
“ศิษย์น้องหยวนเจี้ยน โชคของเจ้าช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”
หลังจากสัมผัสได้ถึงความพิเศษของภาพอักษรพู่กันนี้แล้ว เหล่าผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็อดที่จะถอนหายใจออกมามิได้
หากรู้ว่ามียอดคนเช่นนี้อยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือล่ะก็ พวกเขาคงจะฝึกกระบี่เป็นแน่ คงไม่ฝึกวิถียันต์ศักดิ์สิทธิ์ หรือวิถียาวิเศษเช่นนี้
ตอนนั้นเองนักพรตฉางเสวียนที่เงียบอยู่นานจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่าน ในเมื่อวันนี้ทุกคนได้มารวมตัวอยู่ที่นี่กันแล้ว เช่นนั้นข้าขอปรึกษาทุกท่านเสียหน่อยก็แล้วกัน”
ทุกคนในที่นั้นต่างสบตากัน ก่อนพยักหน้ารับ
“ศิษย์พี่ฉางเสวียนเชิญนั่งขอรับ”
นักพรตหยวนเจี้ยนเชิญนักพรตฉางเสวียนให้นั่งตำแหน่งด้านบน อย่างไรซะเขาก็เป็นถึงเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต้องให้ความสำคัญเรื่องของฐานะด้วย
นักพรตฉางเสวียนนั่งลงในตำแหน่งด้านบนอย่างไม่ลังเล ก่อนที่คนอื่น ๆ จะทยอยนั่งลงทั้งสองฝั่ง
“วันนี้ข้ามีเรื่องที่จะปรึกษาทุกท่านอยู่สามเรื่อง”
นักพรตฉางเสวียนที่นั่งอยู่ด้านบนกวาดตามองทุกคน ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เรื่องแรก สองวันก่อนข้าเคยบอกว่าจะแต่งตั้งอู๋ซวงเป็นผู้สืบทอดหญิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”
พูดยังไม่ทันจบก็มีคนเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ฉางเสวียน ที่ผ่านมาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราก็มีเพียงผู้สืบทอดชาย มิเคยแต่งตั้งผู้สืบทอดหญิงมาก่อน ท่านต้องการจะปลดผู้สืบทอดคนปัจจุบันออกเช่นนั้นหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนสะบัดมือไปมา “ข้ามิได้หมายความว่าจะปลดผู้สืบทอด แต่คิดที่จะใช้ผู้สืบทอดหญิงกระชับความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสแห่งเมืองเสี่ยวฉือท่านนั้นต่างหาก อีกทั้งข้าตั้งใจที่จะไปคาราวะผู้อาวุโสท่านนี้ในอีกวันสองข้างหน้าอีกด้วย”
“ไม่ว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะใช่บรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราหรือไม่ แต่หากสามารถกระชับความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสท่านนี้ได้ ก็ถือเป็นโชคดีในรอบหลายร้อยปีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราด้วย”
“ศิษย์พี่ฉางเสวียนรอบคอบยิ่งนัก นี่เป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราจริง ๆ ”
เมื่อเอ่ยจบ คนอื่น ๆ ก็พลอยพยักหน้าเห็นด้วย รวมทั้งรับรู้ได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้
นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าก่อนเอ่ยต่อ “เรื่องที่สอง หากสามารถกระชับความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสท่านนี้ได้ล่ะก็ ข้าจะเชิญท่านผู้อาวุโสมาที่เขาไท่เสวียน เพื่อร่วมงานแต่งตั้งอู๋ซวงเป็นผู้สืบทอดหญิงด้วย เขาจะได้เห็นว่าอู๋ซวงได้เป็นผู้สืบทอดหญิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนแล้ว”
“แต่ข้าขอออกคำสั่งว่า ก่อนที่จะถึงตอนนั้นห้ามมิให้ผู้ใดไปหาท่านผู้อาวุโสโดยพลการเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ท่านผู้อาวุโสมิพอใจก็เป็นได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษสถานหนัก ถูกทำลายตบะบำเพ็ญเพียรและขับออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน และห้ามมาเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอีกตลอดชีวิต”
นักพรตฉางเสวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด มิมีวี่แววล้อเล่นแต่อย่างใด ทำให้เหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ต่างมีสีหน้าตกตะลึง ทุกคนต่างก็อยากเห็นโฉมหน้าของผู้อาวุโสท่านนั้น แต่ประโยคสุดท้ายของนักพรตฉางเสวียนราวกับน้ำเย็นที่ราดใส่หน้าพวกเขาก็มิปาน
นี่เป็นครั้งแรกที่นักพรตฉางเสวียนออกคำสั่งที่เด็ดขาดและเคร่งครัดเช่นนี้ออกมา เพราะคำพูดของเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั้นถือเป็นสิทธิ์ขาด คำพูดของเจ้าสำนักเป็นกฎที่มิอาจฝ่าฝืนได้
คิดได้ดังนั้นทุกคนต่างก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
จากนั้นนักพรตฉางเสวียนก็มีท่าทีที่อ่อนลง สีหน้าปรากฏร่องรอยความหม่นหมองออกมา “ส่วนเรื่องสุดท้ายก็คือ อีกหนึ่งเดือนศิษย์ที่โดดเด่นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจะมาที่เขาไท่เสวียน เพื่อเข้าร่วมการประลองที่จัดขึ้นทุกสิบปีของทั้งสองสำนัก”
“ฉะนั้น ช่วงนี้ทุกคนจะต้องคอยควบคุมลูกศิษย์ของตนให้หมั่นฝึกฝน อย่าได้ปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด มิเช่นนั้นวันประลองจะถูกกักตัวมิให้เข้าร่วมงานได้”
นักพรตชิงเย่ที่ได้ยิน จึงเอ่ยถามพร้อมคิ้วขมวดแน่น “นักพรตฉางเสวียน สิบกว่าปีมานี้ฝีมือหมากล้อมของท่านพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่ ? ”
คำพูดของนักพรตชิงเย่ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ก่อนที่จะหันไปมองยังนักพรตฉางเสวียนเป็นตาเดียว
ปกติแล้วทุกสิบปี สองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าเยี่ยนจะมีการจัดงานประลองขึ้น
ขณะเดียวกัน เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างนักพรตฉางเสวียน ก็จะทำการประลองหมากล้อมกับเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงด้วยเช่นเดียวกัน
หากฝ่ายใดแพ้จะต้องมอบสมบัติวิเศษระดับกลางขึ้นไป รวมถึงยาวิเศษหมื่นปีให้แก่อีกฝ่ายอีก 1 เม็ด
สองร้อยปีก่อน นักพรตฉางเสวียนและเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
แต่สองร้อยปีมานี้มิรู้ว่าเพราะเหตุใดฝีมือการเดินหมากของเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจึงก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก นักพรตฉางเสวียนจึงพ่ายแพ้อย่างยับเยินในการประลองทุกครั้ง
สองร้อยปีมานี้มีการประลองเดินหมากเกือบยี่สิบครั้ง ดูก็รู้แล้วว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั้นต้องสูญเสียสมบัติวิเศษและยาวิเศษไปมากมายเพียงใด
ดังนั้นทุกครั้งเมื่อถึงงานประลอง คนที่ปวดหัวที่สุดจึงหนีมิพ้นนักพรตฉางเสวียนนั่นเอง
บุคคลเช่นพวกเขานั้นหน้าตาถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ทั้งยังถือว่านักพรตฉางเสวียนเป็นหน้าตาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน จึงทำให้เหล่าผู้อาวุโสรวมทั้งศิษย์ในสำนักรู้สึกเสียศักดิ์ศรีไปด้วย
แต่เนื่องจากผู้ที่แพ้การเดินหมากนั้นเป็นถึงเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่อให้ศิษย์ทั้งสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมิพอใจเช่นไรก็มิมีใครกล้าเอ่ยออกมา
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตฉางเสวียนก็ถอนหายใจออกมายาว ๆ
“ข้ามิได้เสียดายสมบัติระดับกลางและยาวิเศษหมื่นปีหรอก แต่ข้ามิอาจทนเห็นท่าทางได้ใจของเจ้าชั่วสวีฉิงเทียนผู้นั้นได้ น่าเสียดายที่ข้าฝึกฝนตนมาเกือบสองร้อยปี ก็ยังมิอาจทะลวงหมากสี่มังกรพ่นวารีของเขาได้”
น้ำเสียงและสีหน้าของนักพรตฉางเสวียนเต็มไปด้วยความจนใจ
ตอนนั้นเองดวงตาเรียวยาวของนักพรตจิ่วจวีมีแสงบางอย่างเปล่งประกายขึ้นมา ก่อนจะยกมือขึ้นลูบคิ้วที่ยาวลงมาพลางเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านคิดที่จะไปคาราวะท่านผู้อาวุโสท่านนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
ทันทีที่เอ่ยจบสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป แววตาต่างก็เป็นประกายขึ้นมา
ดวงตาของนักพรตฉางเสวียนเบิกกว้าง พลางเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ศิษย์น้อง เจ้าหมายความว่าให้ข้าไปขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสท่านนั้นเช่นนั้นหรือ ? ”
นักพรตจิ่วจวียิ้มอย่างมีเลศนัยพลางเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสท่านนั้นมีความแตกฉานในการบำเพ็ญเพียร คาดว่าคงอยู่มานานหลายแสนปีแล้ว ประสบการณ์ของเขาย่อมเป็นสิ่งที่พวกเรามิอาจเทียบเคียงได้ มิแน่เขาอาจทะลวงหมากสี่มังกรพ่นวารีได้ง่าย ๆ ก็เป็นได้”
“คำพูดของศิษย์น้องจิ่วจวีมีเหตุผล”
“ข้าว่าผู้อาวุโสท่านนั้นอาจบำเพ็ญเพียรถึงแดนสูงสุดแล้ว บุคคลระดับนั้นส่วนใหญ่มักจะเลือกฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจ การเดินหมากถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดอีกด้วย”
“ผู้อาวุโสท่านนั้นน่าจะเชี่ยวชาญการเดินหมากมิน้อยเลย”
“มีเหตุผล มีเหตุผล ! ”