ตอนที่ 195 เจ้านี่ช่างฉลาดยิ่งนัก
จักรพรรดิเผ่ามนุษย์ !
กล่าวกันว่าผู้ที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ ล้วนแต่บำเพ็ญเพียรในวิถีของตนเองจนถึงขั้นไร้เทียมทาน
หากต้องการไปจากโลกมนุษย์ เพียงแค่เพ่งสมาธิก็สามารถกระตุ้นให้เกิดทัณฑ์สวรรค์เพื่อบรรลุเป็นเซียนได้แล้ว
ส่วนเขาแม้ฝึกฝนวิญญาณกระบี่จนเป็นอมตะแล้ว ทว่าความเข้าใจในวิถีกระบี่นั้นกลับยังมิสามารถพัฒนาไปได้อย่างที่ใจต้องการ
แม้จักรพรรดิของเผ่ามนุษย์ท่านนี้จะมิได้บำเพ็ญเพียรวิธีกระบี่ แต่หากผู้อาวุโสท่านนี้ยอมสั่งสอนชี้แนะ ก็คงมิยากเกินไปที่จะทำความเข้าใจ
ถึงเขาจะมีความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมา แต่ยอดฝีมือหาใช่คนที่เพียงอยากพบเจอก็สามารถพบเจอได้
ซือถูเจิ้นผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปยังเหล่าผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ตรงหน้า พลางโบกมือไปมา “พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว”
เมื่อเห็นบรรพจารย์นิสัยขี้โมโหเอ่ยขึ้น เหล่าผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่ต่างก็รีบโค้งคำนับ พร้อมทยอยถอยหลังไปทางประตู ก่อนจะหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
“เจิ้งหยวน ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นั้นเป็นเช่นไรบ้าง ? ”
ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าเหล่าผู้อาวุโสได้จากไปกันหมดแล้ว
ใช่แล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่าหากเป็นไปได้ เขาจะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อขอพบจักรพรรดิท่านนี้สักครั้ง
“ท่านบรรพจารย์ ท่านต้องการจะพบท่านจักรพรรดิท่านนั้นหรือขอรับ ? ”
เจี้ยนเจิ้งหยวนแม้จะเข้าใจในเจตนาของซือถูเจิ้นผิง แต่ก็ยังอดมิได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
ซือถูเจิ้นผิงพยักหน้ารับอย่างมิปฏิเสธ
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้บอกความในใจออกมาจนหมดเปลือก “เวลานี้วิญญาณกระบี่ของข้าเป็นอมตะแล้ว ทว่าความเข้าใจในวิถีกระบี่กลับมิอาจบรรลุได้ อีกทั้งข้าก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว เช่นนั้นข้าจำเป็นจะต้องได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือท่านนั้น”
‘ใกล้ถึงขีดจำกัดงั้นหรือ ? ’
ได้ยินเช่นนั้นเจี้ยนเจิ้งหยวนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เพียงพริบตาเดียวพลันสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ถึงขนาดว่าดวงตาคู่นั้นเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอีกด้วย
เขาคิดมิถึงว่าการที่ท่านบรรพจารย์ออกจากฌานนั้นหาใช่สำเร็จในวิถีกระบี่ แต่เป็นเพราะใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วต่างหาก
ที่สำคัญที่สุดก็คือหากบรรพจารย์ท่านนี้เกิดละสังขารขึ้นมา เช่นนั้นนิกายหมื่นกระบี่คงจะถึงคราวตกต่ำจริง ๆ แล้ว
อีกทั้งท่านบรรพจารย์ยังต้องการคำชี้แนะจากท่านจักรพรรดิท่านนั้นอีกด้วย
แต่สำหรับยอดฝีมือเช่นนั้นแล้ว เขาต้องยินยอมด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นมิว่าใครก็มิอาจบังคับได้
เพราะผู้ที่ไร้เทียมทานเช่นนั้น เพียงแค่คิดก็สามารถทำให้นิกายหมื่นกระบี่อันยิ่งใหญ่หายสาบสูญไปได้
คิดถึงตรงนี้
“ท่านบรรพจารย์ นี่มัน…”
เจี้ยนเจิ้งหยวนราวกับมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอ
ครั้งนี้ซือถูเจิ้นผิงมิได้มีท่าทีโมโหแต่อย่างใด เขาเพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้น
“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลสิ่งใด ยอดฝีมือเช่นนั้นมักมีนิสัยแปลกประหลาด หากข้าบีบบังคับเขา มิแน่อาจทำให้นิกายหมื่นกระบี่ต้องลำบากไปด้วย”
ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยอย่างยอมรับ “แต่ข้าขอรับปากว่า หากข้าบรรลุในวิถีกระบี่ได้ ภายภาคหน้าจะมอบโชคและวาสนาที่ทำให้นิกายหมื่นกระบี่เจริญรุ่งเรืองไปอีกห้าพันปีอย่างแน่นอน”
“ข้ารู้ว่าข้ามีนิสัยมุทะลุมาแต่ไหนแต่ไร ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว ใครก็มิอาจขวางได้”
เจี้ยนเจิ้งหยวนได้ยินเช่นนั้นก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างอดมิได้
ใช่ !
ต่อให้เขามิอยากจะตอบตกลง แล้วจะทำอะไรได้ ?
ด้วยตบะบารมีของท่านบรรพจารย์ ทั้งนิกายหมื่นกระบี่เกรงว่าคงมิมีใครสามารถขัดขวางเขาได้
ทว่าในตอนนั้นเองจู่ ๆ เจี้ยนเจิ้งหยวนก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้
‘จริงสิ’
‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงได้รับวาสนาพลิกฟ้าบางอย่างมานี่นา’
‘อีกทั้งวาสนานี้ยังเกี่ยวข้องกับวิถีกระบี่อีกด้วย’
‘หากท่านบรรพจารย์สามารถบรรลุในวิถีกระบี่ด้วยวาสนานี้ได้ล่ะก็’
‘เช่นนี้แล้วนิกายหมื่นกระบี่จะต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือ อีกทั้งยังมิต้องไปล่วงเกินยอดฝีมือท่านนั้นอีกด้วย’
เจี้ยนเจิ้งหยวนคิดถึงตรงนี้แล้ว ก็อดมิได้ที่จะตบหน้าผากของตัวเองเบา ๆ
‘เจี้ยนเจิ้งหยวนเอ้ย เจ้านี่ช่างฉลาดเสียจริง !’
ในเมื่อท่านบรรพจารย์เอ่ยออกมาตามตรงแล้ว เช่นนั้นเขาก็มิจำเป็นที่จะต้องสนใจอะไรให้มากอีก
“ท่านบรรพจารย์ ศิษย์นึกบางอย่างขึ้นมาได้ บางทีอาจสามารถช่วยให้ท่านบรรลุวิถีกระบี่ได้ขอรับ”
เจี้ยนเจิ้งหยวนเอ่ยกับซือถูเจิ้นผิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างหนักแน่น
“เรื่องอะไรงั้นรึ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงขมวดคิ้วน้อย ๆ
เจี้ยนเจิ้งหยวนจึงถามขึ้นว่า “ท่านยังจำดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงที่อยู่ใกล้นิกายหมื่นกระบี่ของเราได้หรือไม่ขอรับ ? ”
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ? ”
ซือถูเจิ้นผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
“มินานมานี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงก็ได้รับวาสนาพลิกฟ้ามาเช่นกันขอรับ”
เจี้ยนเจิ้งหยวนพูดขึ้นอย่างฉะฉาน “ในคืนนั้นได้เกิดลำแสงกระบี่อันเจิดจ้าทะยานสู่ท้องฟ้าจนเกิดเสียงดังสนั่น จากนั้นศิษย์ก็ไปสอบถามกับเจ้าสำนักจื่อชิง จึงได้รู้ว่าเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับวิถีกระบี่จริง ๆ ขอรับ”
“เช่นนั้นศิษย์มองว่าท่านลองไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงดูก่อน มิแน่อาจจะสามารถบรรลุในวิถีกระบี่ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นก็มิจำเป็นจะต้องไปรบกวนยอดฝีมือท่านนั้นด้วยขอรับ”
“จริงหรือ?”
ซือถูเจิ้นผิงมองไปที่เจี้ยนเจิ้งหยวน สีหน้าเผยความสงสัยออกมา
เจี้ยนเจิ้งหยวนเอ่ยต่อ “ความจริงแล้วเพราะปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ทำให้การรับศิษย์ใหม่ของนิกายหมื่นกระบี่ของเราเมื่อมินานมานี้ประสบปัญหา คนหนุ่มสาวที่พอมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ต่างก็ร่ำร้องที่จะเข้าบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงทั้งสิ้นขอรับ”
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเจี้ยนเจิ้งหยวน
ซือถูเจิ้นผิงจึงพยักหน้ารับ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงด้วยตัวเองสักครา”
เอ่ยจบซือถูเจิ้นผิงก็ได้ลุกขึ้นยืน และเดินออกไปด้านนอกตำหนักทันที
วินาทีต่อมาร่างของเขาก็เลือนรางลง เพียงพริบตาก็ราวกับมลายหายไปในอากาศ
เจี้ยนเจิ้งหยวนเห็นเช่นนั้นก็ทอดถอนใจออกมา “หวังว่าท่านบรรพจารย์จะสามารถเกิดความรู้แจ้ง จากวาสนาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงได้ มิเช่นนั้นครั้งนี้นิกายหมื่นกระบี่คงถึงกาลอวสานเป็นแน่”
……………………………….
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าเหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ผู้มาเยือนก็คือซือถูเจิ้นผิงที่อยู่ในชุดคลุมสีเทา และมีหน้าตาดุดัน
ทว่าซือถูเจิ้นผิงในเวลานี้กลับมีท่าทางกระปรี้กระเปร่า ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่ภาพอักษรพู่กัน ที่ลอยอยู่กลางอากาศมิไกลนัก
ด้วยความแตกฉานในวิถีกระบี่ของเขาในตอนนี้ ย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงไอพลังวิถีกระบี่ได้อย่างง่ายดาย
เช่นนั้นขณะที่อยู่ห่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงราวร้อยลี้ เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงไอพลังวิถีกระบี่อันบริสุทธิ์ที่แผ่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงแล้ว
“สำหรับผู้ที่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่บนโลกแล้ว นับเป็นโชคและวาสนาอันยิ่งใหญ่จริง ๆ ”
เมื่อเข้ามาใกล้ก็สามารถสัมผัสเจตนาแท้จริงของกระบี่บนภาพอักษรพู่กันภาพนั้นได้อย่างชัดเจน ซือถูเจิ้นผิงอดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาจนเสียงดังลั่น
แต่ในตอนนั้นเอง
“ผู้ใดกัน กล้าดีอย่างไรถึงบุกเข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ! ”
หลังจากเสียงอันโกรธเกรี้ยวดังขึ้น
ทันใดนั้นภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเมฆหมอก พลันปรากฏลำแสงที่มีพลังอันรุนแรงมากมายทะยานสู่ท้องฟ้ามาทางซือถูเจิ้นผิง
เพียงมิกี่อึดใจ
รอบกายของซือถูเจิ้นผิงก็ถูกผู้แข็งแกร่งมากมายล้อมเอาไว้ รอบกายแต่ละคนมีแสงเจิดจ้าเปล่งประกายออกมา พร้อมกับแผ่จิตต่อสู้อันแข็งแกร่ง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักจื่อชิงสวีฉิงเทียนเองก็อยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน
“มิทราบว่าท่านคือผู้ใดกัน ! ”
สวีฉิงเทียนสีหน้าเคร่งเครียด จ้องมองไปยังซือถูเจิ้นผิงด้วยสายตาเย็นชา แสดงถึงความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
แม้เขามิอาจสัมผัสตบะบารมีของอีกฝ่ายได้ แต่อาศัยค่ายกลป้องภูผาด้านล่าง และภาพอักษรพู่กันที่ผู้อาวุโสเย่มอบให้
มิว่าศัตรูหน้าไหน เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถรับมือได้
ซือถูเจิ้นผิงถอนสายตาออกจากภาพอักษรพู่กันด้านล่าง ก่อนปรายตามองสวีฉิงเทียนด้วยสายตาเย็นชา
“เด็กน้อย หากเจ้าให้ข้ายืมภาพอักษรพู่กันภาพนั้น วันนี้ข้าจะมิเอาเรื่องเจ้า”
ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอำนาจ ให้ความรู้สึกกดดันอย่างมาก
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังซือถูเจิ้นผิงคำรามขึ้นทันที “ท่านเจ้าสำนัก คนผู้นี้ช่างสามหาวยิ่งนัก จัดการเขาเลยดีกว่า ! ”
ซือถูเจิ้นผิงหัวเราะเยาะด้วยความโมโห “เด็กน้อย นับแต่ข้าบำเพ็ญเพียรมา เจ้าถือเป็นคนแรกที่ต้องการจะจัดการข้า”
มุมปากของสวีฉิงเทียนกระตุกเล็กน้อย “ทุกคนลงมือได้ ! ”