ตอนที่ 205 พี่ต้นไม้ ข้าตัดสินใจจะไปเทือกเขาแดนใต้อีกครา
หลังจากลังเลอยู่สักครู่ ซือถูเจิ้นผิงก็เอ่ยถามตรงประเด็นว่า “เจ้าให้ข้าไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน อีกทั้งยังบอกว่ามีโอกาสจะได้พบผู้อาวุโสท่านนั้น หรือว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าขอเรียนตามตรง ผู้อาวุโสเย่ท่านนี้… ความจริงแล้วเป็นบรรพจารย์ท่านหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนขอรับ”
สวีฉิงเทียนพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ “เพียงแต่ผู้อาวุโสเย่มิได้อยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่เร้นกายอยู่ในแดนจิตแห่งหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนขอรับ”
“ก่อนหน้านี้มินานผู้อาวุโสเย่ได้ไปพักที่เมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยนอยู่ช่วงหนึ่ง และวันนี้ทางเมืองหลวงได้ส่งข่าวมาว่าผู้อาวุโสเย่ได้กลับมาจากเมืองหลวงแล้วขอรับ”
ซือถูเจิ้นผิงได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ในสายตาของเขาการที่สามารถนำเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่นับอนันต์ผสานเข้าไปภายในภาพอักษรพู่กันได้นั้น แสดงว่าผู้อาวุโสเย่ท่านนี้จะต้องมีความแตกฉานในวิถีกระบี่ที่ล้ำลึกอย่างมากเป็นแน่
แม้ความแตกฉานในวิถีกระบี่ของเขา ยากจะมีผู้ใดในยุคนี้ที่สามารถเทียบเคียงได้
ทว่าต่อหน้าผู้อาวุโสเย่ท่านนี้ ความแตกฉานในวิถีกระบี่ของเขาก็มิต่างอะไรจากเด็กเล่นขายของ
และหากย้อนไปเมื่อหนึ่งพันปีก่อนตอนที่เขาจะเข้าฌานนั้น
ในตอนนั้นเหล่าผู้อาวุโสหลายคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างก็ละสังขารไปตาม ๆ กัน ภายในสำนักขาดแคลนของวิเศษที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียร จนตกต่ำลงกลายเป็นอันดับสุดท้ายของสี่ยอดดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในเมื่อผู้อาวุโสเย่เป็นบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน นั่นก็หมายความว่าผู้อาวุโสเย่บรรลุเป็นเซียนแล้ว
และนับแต่โบราณมาผู้ที่สามารถไปมาระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ได้ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
แค่คิดก็รู้แล้วว่าผู้อาวุโสเย่ท่านนี้เก่งกาจเพียงใด
ซือถูเจิ้นผิงคิดได้เช่นนั้นก็เริ่มเกิดความลังเลขึ้น
หลังจากซือถูเจิ้นผิงนิ่งเงียบไปนานเกือบหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็ได้เพ่งสมาธิหยิบตำราโบราณสองเล่มจากแหวนเก็บสมบัติ และส่งให้กับสวีฉิงเทียน
“เจ้าสำนักจื่อชิง ขอบคุณท่านมากที่บอกความลับมากมายเช่นนี้ให้ข้าได้รู้ ท่านเก็บเคล็ดวิชากระบี่สองเล่มนี้เอาไว้เถอะ”
ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยกับสวีฉิงเทียน
สวีฉิงเทียนชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะรับเคล็ดวิชากระบี่ทั้งสองเล่มมาจากมือของซือถูเจิ้นผิง พลางเอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโสซือถู ท่านตัดสินใจที่จะไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนหรือขอรับ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงพยักหน้ารับ “ขีดจำกัดของข้าใกล้เข้ามาทุกที ข้าจำเป็นต้องเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนในครานี้จริง ๆ ”
เอ่ยจบซือถูเจิ้นผิงก็พุ่งตัวขึ้นจากพื้น แปลงร่างเป็นลำแสงสายหนึ่งทะยานไปทางด้านเหนือทันที
อีกด้านหนึ่ง
มินานเย่ฉางชิงและถานไถชิงเสวี่ยก็มาถึงเมืองชิงเหอด้วยค่ายกลห้วงเวลา
ทั้งสองคนพักผ่อนที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งครู่ใหญ่ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเมืองเสี่ยวฉือ
จนเวลาผ่านไปประมาณสองชั่วยาม
ระหว่างทางพวกเขามิพบปีศาจ สัตว์ร้าย หรือโจรภูเขาแต่อย่างใด ทั้งสองคนจึงมาถึงเมืองเสี่ยวฉืออย่างราบลื่น
ทว่าเมื่อเย่ฉางชิงและถานไถชิงเสวี่ยปรากฏตัวที่เมืองเสี่ยวฉือ
ทั่วทั้งเมืองก็คึกครื้นขึ้นมาทันที
“ท่านเย่ ไปเมืองหลวงครานี้เป็นเช่นไรบ้างเล่า ? ”
“ก็ดีขอรับ”
“ท่านเย่ เมืองหลวงใหญ่โตมากเลยหรือขอรับ ? ”
“อืม ใหญ่มาก”
“ท่านเย่ ไปเมืองหลวงครานี้ เหตุใดมิพาเมียกลับมาด้วยสักคนเล่า ? ”
“……”
“……”
ทันใดนั้นเย่ฉางชิงก็ถูกชาวเมืองมากหน้าหลายตาห้อมล้อมเอาไว้ราวกับดาวล้อมเดือน เพื่อไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ
จนเมื่อเย่ฉางชิงปรากฏตัวบนถนนสายที่คุ้นเคยนั้นอีกครา ก็เข้าไปในร้านขายของชำและปิดประตูจนสนิท
จากนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ ทยอยจากไป
ขณะเดียวกัน ภายในใจของเย่ฉางชิงก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมากมาย
แม้เมืองหลวงจะดี แต่วินาทีที่กลับมาถึงเมืองเสี่ยวฉือ ได้พบใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้น
เย่ฉางชิงรู้สึกว่าความกังวลมากมายภายในใจเขากลับมลายหายไปในพริบตา รู้สึกสบายทั้งกายและใจเป็นอย่างมาก
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ
จากนั้นเมื่อเข้ามาถึงยังลานด้านหลัง ทั้งสองคนก็ได้ช่วยกันทำความสะอาดด้านในอย่างลวก ๆ
จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
เย่ฉางชิงก็ได้ต้มชามาหนึ่งกา ก่อนจะมานั่งลงตรงข้ามกับถานไถชิงเสวี่ย
“แม่นางชิงเสวี่ย วันนี้ลำบากท่านจริง ๆ”
เย่ฉางชิงรินชาให้ถานไถชิงเสวี่ยหนึ่งถ้วย พร้อมรอยยิ้มเกรงใจ
ถานไถชิงเสวี่ยยิ้มหวานออกมา “ท่านเย่มิรังเกียจที่ชิงเสวี่ยโง่เขลา ชี้แนะดนตรีให้ชิงเสวี่ยหลายครั้ง ชิงเสวี่ยควรจะเป็นฝ่ายขอบคุณท่านเย่ถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างคนปลงตกว่า “พูดแล้วก็แปลก เมืองหลวงแม้จะดีไปเสียทุกอย่าง ทว่ามีเพียงการกลับมาเมืองเสี่ยวฉือเท่านั้น ที่ทำให้กายและใจของข้ารู้สึกผ่อนคลายลงได้”
ถานไถชิงเสวี่ยผงะไปเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มออกมาอย่างระวัง “ความจริงแล้วชิงเสวี่ยก็มิค่อยชอบอยู่ในเมืองหลวงที่พลุกพล่าน แต่ชอบใช้ชีวิตในที่สงบเงียบเช่นนี้มากกว่าเหมือนกันเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างอดมิได้ ก่อนจะมองถานไถชิงเสวี่ยอีกครั้ง
‘แม่นางชิงเสวี่ยหมายความเช่นไรกัน ? ’
‘หรือว่านางจะตกหลุมรักเราเข้าแล้ว ? ’
‘น่าเสียดายที่ข้าหาใช่ยอดฝีมือเช่นท่านเทพฉางชิงผู้นั้นไม่ ! ’
‘บัดนี้แม้ว่าท่านเทพฉางชิงจะประทานรากปราณให้ และเราสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว’
‘แต่ก็ยังมิรู้อยู่ดีว่าเป็นรากวิญญาณอะไร มิหนำซ้ำหากต้องการบำเพ็ญเพียรจำเป็นจะต้องใช้ของวิเศษอย่างหินหุนหยวนช่วยอีกด้วย’
‘หากจะกลายเป็นยอดฝีมือเช่นท่านเทพฉางชิงนั้น คาดว่าทั้งชีวิตนี้ข้าคงมิมีหวังเสียแล้ว’
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเองขึ้น ก่อนจะส่ายหน้ายิ้ม ๆ
“จริงสิ แม่นางชิงเสวี่ย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าพบปัญหาใหม่ในวิถีดนตรีใช่หรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยต่อ “ตอนนี้นั่งว่าง ๆ เจ้าลองบอกมาสิว่าเป็นปัญหาอะไรเยี่ยงนั้นหรือ”
ถานไถชิงเสวี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างภูมิใจว่า “เรียนท่านเย่ ความจริงแล้วเวลานี้ชิงเสวี่ยมีความก้าวหน้าในวิถีดนตรีอย่างมาก แต่กลับมิอาจดีดเพลงฮั่วฟานได้อย่างมิทราบสาเหตุเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงมองถานไถชิงเสวี่ยพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพลงนั้นมิธรรมดาก็จริง แต่ก็มิน่าถึงกับดีดมิได้นี่นา”
ถานไถชิงเสวี่ยชะงักงัน แล้วจึงส่ายศีรษะเบา ๆ
นิ้วเรียวยาวของเย่ฉางชิงลูบที่ถ้วยชา อย่างครุ่นคิด “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อจากนี้ไปเจ้าก็ลองดีดเพลงนี้ไปเรื่อย ๆ หากพบปัญหาเมื่อใดข้าจะแนะนำเจ้าเอง”
“ถ้าเช่นนั้น… คงต้องรบกวนท่านเย่แล้วเจ้าค่ะ”
ถานไถชิงเสวี่ยเอ่ยขึ้น
จวบจนราตรีคืบคลานเข้ามาโดยมิรู้ตัว
ยามกลางดึก
รอจนเย่ฉางชิงเข้านอนแล้ว
ราชันทมิฬและถูสือซานก็มาอยู่ใต้ต้นหลิวที่อยู่ในลานแห่งนั้น
“พี่ต้นไม้ ตื่นเถอะ ข้ามีเรื่องจะบอกกับท่าน”
ราชันทมิฬมองไปรอบ ๆ ก่อนจะปลุกต้นหลิวเบา ๆ อย่างหวาดหวั่น
แต่เมื่อสิ้นเสียงเรียกของเขา
จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป ก็ยังคงมิมีการตอบสนองใด ๆ จากต้นหลิวต้นนั้น
“พี่ต้นไม้…”
แต่ในขณะที่ราชันทมิฬกำลังจะเรียกขึ้นอีกครา
ต้นหลิวรูปร่างน่าเกลียดต้นนี้ก็ปล่อยพลังชีวิตอันมหาศาลออกมา
หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจ ด้านบนของต้นหลิวก็มีแสงระยิบระยับย้อยลงมา ขณะเดียวกันสัญลักษณ์โบราณก็ล่องลอยอยู่รอบ ๆ ต้นหลิว ช่างงดงามยิ่งนัก
“ราชันทมิฬ พวกเจ้ากลับมาแล้วงั้นหรือ”
ตอนนั้นเองเสียงลึกลับที่แยกมิออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ก็ดังขึ้นในโสตประสาทของราชันทมิฬและถูสือซาน
“ผู้อาวุโสต้นไม้ พวกเรากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ถูสือซานเอ่ยกับต้นหลิวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมดวงตาเป็นประกาย
“เด็กน้อย เจ้าเก่งมาก หากข้ามองมิผิดล่ะก็ ดูเหมือนเจ้าจะเป็นจักรพรรดิปีศาจแล้วสินะ”
เสียงลึกลับดังขึ้นอีกครา ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่การบรรลุเป็นจักรพรรดิปีศาจนั้นอันตรายมาก เจ้าอย่าได้ละเลยการบำเพ็ญเพียรเป็นอันขาด”
“สือซานขอบคุณผู้อาวุโสต้นไม้ที่ช่วยตักเตือนเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้มากขึ้นอีกเจ้าค่ะ”
ถูสือซานพยักหน้าแรง ๆ ให้กับต้นหลิว
ตอนนั้นเองราชันทมิฬจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “พี่ต้นไม้ ข้าตัดสินใจว่าจะไปเทือกเขาแดนใต้อีกสักครา”