ตอนที่ 212 ที่แท้ก็ล้วนเป็นสุดยอดผู้บำเพ็ญเพียรทั้งนั้น
‘หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้ ? ’
‘คำพูดมั่วซั่วเช่นนี้พวกเจ้าเชื่อจริง ๆ งั้นหรือ ! ’
‘ทั้งยังได้ความรู้อะไรมากมายอีกด้วยงั้นหรือ ! ’
‘สรุปพวกเจ้าโง่ หรือเป็นข้าที่โง่กันแน่ล่ะนี่ ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘มิใช่ ! ’
‘มีบางอย่างแปลก ๆ ! ’
‘ผู้เฒ่าที่มาใหม่ท่านนี้มาถึงก็เอ่ยปากถามว่าวิถีกระบี่คืออันใด’
‘หมายความผู้เฒ่าท่านนี้จะต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่อย่างแน่นอน’
‘ทั้งยังอายุมากถึงเพียงนี้ ตบะบารมีย่อมจะต้องสูงส่งเป็นแน่’
‘อีกทั้งผู้เฒ่าท่านนี้ยังเป็นคนที่เหอฉางเสวียนพามา ดูท่าว่าคงมีความสัมพันธ์ที่มิธรรมดาเป็นแน่’
‘เช่นนี้แล้วก็หมายความว่า เหอฉางเสวียนก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเช่นกัน อีกทั้งยังมีตบะบารมีที่สูงส่งด้วยน่ะสิ’
‘เช่นนั้นปัญหาก็คือ’
‘เหล่าผู้เฒ่าที่เคยมาพบเขาก่อนหน้านี้ และดูสนิทสนมกับเหอฉางเสวียน’
‘พวกเขาต่างก็ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นเดียวกันสินะ’
‘และการที่พวกเขาให้ความเคารพเราถึงเพียงนี้ หรือว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเราก็คือท่านเทพฉางชิงมาตั้งแต่ต้นแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
คิดแล้วภายในใจของเย่ฉางชิงก็รู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด ทั้งยังมิรู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
นับตั้งแต่เขาทะลุมิติมายังโลกเซียนแห่งนี้
ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองไร้รากวิญญาณ เป็นผู้ทะลุมิติที่มิมีดัชนีทองคำ
เดิมเขาคิดว่าจะใช้ชีวิตราวกับคนธรรมดาเช่นนี้ไปตลอด
แต่ใครเลยจะคิดว่าเพียงแค่เขามีใบหน้าเหมือนท่านเทพฉางชิง กลับถูกยอดผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้เข้าใจผิด คิดว่าเป็นท่านเทพฉางชิงผู้เก่งกาจเหนือผู้คนทั้งปวงท่านนั้นไปได้
เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า เป็นบททดสอบของสวรรค์จริง ๆ !
แต่บัดนี้กลับมีปัญหาอีกอย่างกองอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
นั่นก็คือเขาควรบอกความจริงแก่เหอฉางเสวียนและซือถูเจิ้นผิงดีหรือไม่
ว่าเขาหาใช่ท่านเทพฉางชิงไม่ ทว่ากลับเป็นเพียงเด็กน้อยที่เพิ่งจะมีรากวิญญาณ อีกทั้งยังมิรู้ว่ารากวิญญาณมีคุณสมบัติเช่นไรอีกด้วย
หรือว่าจะพูดคุยกับพวกเขาต่อในฐานะท่านเทพฉางชิง
ความจริงแล้วพวกเขาก็มิได้จัดการยากเท่าไร ปกติก็เพียงแค่มาขอภาพอักษรพู่กันก็เท่านั้น
ของพวกนี้ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เขาถนัดอยู่แล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนี้เขาสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว ต่อไปภายภาคหน้ายังต้องเจอปัญหาในเส้นทางการบำเพ็ญเพียรอีกมาก
ขอเพียงยังผูกมิตรกับพวกเขาอยู่ ย่อมสามารถเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามคำถามเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรได้อยู่แล้ว
‘อืม ! ’
‘เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน ! ’
‘อยากจะเป็นเซียนก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย ! ’
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เย่ฉางชิงก็รีบรวบรวมสติแล้วโบกมือไปมาให้กับซือถูเจิ้นผิง “ท่านผู้เฒ่าอย่าได้เกรงใจเลย เชิญนั่งเถิด”
ซือถูเจิ้นผิงได้ยินเช่นนั้นก็ค่อย ๆ มองเย่ฉางชิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวั่นเกรง ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็หันไปมองนักพรตฉางเสวียนและซือถูเจิ้นผิงที่ดูพะว้าพะวง แล้วถามขึ้นว่า “ท่านเหอ พวกท่านสองคนยังมีคำถามอื่นอีกหรือไม่ ? ”
นักพรตฉางเสวียนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จึงส่ายศีรษะยิ้ม ๆ
“ความจริงแล้วที่ข้ามาครานี้จุดประสงค์หลักก็เพราะมิได้พบท่านเย่มาสักพักแล้ว เช่นนั้นจึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนเท่านั้นขอรับ”
แน่นอนว่านี่หาใช่ความในใจจริง ๆ ของนักพรตฉางเสวียนไม่
แผนเดิมของนักพรตฉางเสวียนก็คือ
ค่อย ๆ ให้ท่านบรรพจารย์เย่ชี้แนะเกี่ยวกับปัญหาในวิถีกระบี่ให้แก่ซือถูเจิ้นผิง หรือขอภาพอักษรพู่กันสักภาพ เพื่อเอาไปทำความเข้าใจเอง
สุดท้ายก็เชิญท่านบรรพจารย์เย่ไปเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดหญิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
แต่สุดท้าย ตาเฒ่าไร้สมองผู้นี้กลับถามออกไปตรง ๆ อย่างมิมีปี่มีขลุ่ยทันทีที่อ้าปาก ว่าวิถีกระบี่คืออันใด
ช่างไร้มารยาทสิ้นดี ด้วยกังวลว่าท่านบรรพจารย์เย่จะมิพอใจ
เขาจึงทำได้เพียงทิ้งความคิดที่จะเชิญท่านบรรพจารย์เย่ไปร่วมพิธีแต่งตั้งออกไปก่อน
จึงทำได้เพียงเอ่ยออกมาเช่นนี้
ในตอนนั้นเอง ซือถูเจิ้นผิงที่กำลังลังเลอยู่นั้น ก็ค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า “ท่านเย่ ได้ยินมาว่าความแตกฉานในอักษรพู่กันของท่านนั้นสูงส่งยิ่งนัก วันนี้ที่มา ข้าจึงอยากจะขอภาพอักษรพู่กันสักภาพด้วยขอรับ”
‘ภาพอักษรพู่กัน ? ’
เย่ฉางชิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “เรื่องนี้สบายอยู่แล้ว”
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้มิมีผิดจริง ๆ
จุดประสงค์ที่มาก็เพื่อขอภาพอักษรพู่กันนั่นเอง
และสำหรับเขาแล้ว ภาพอักษรพู่กันถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
เย่ฉางชิงคิดแล้ว จึงได้ตอบกลับไปว่า “ตอนนี้ก็อยู่ว่าง ๆ ข้าจะเขียนอักษรพู่กันให้ท่านสักภาพก็แล้วกัน”
นักพรตฉางเสวียนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างมิทราบสาเหตุ
มิรู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าท่าทางของท่านบรรพจารย์เย่ เหมือนจะดูลึกลับขึ้นกว่าเดิม
คิดแล้วเขาก็อดเหลือบมองซือถูเจิ้นผิงที่อยู่ข้างกายมิได้
แต่ซือถูเจิ้นผิงแม้จะมิได้เผยสีหน้าใด ๆ ออกมามากนัก แต่ท่าทางกระตือรือร้นนั้นกลับปิดเอาไว้มิมิดเสียเลย
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านเย่แล้ว”
ซือถูเจิ้นผิงคารวะเย่ฉางชิงอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
เย่ฉางชิงพยักหน้าให้ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะด้านหลัง ที่วางกระดาษ หมึก และพู่กันเอาไว้
มินานเขาก็กางกระดาษซวนแผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นก็จุ่มหมึกลงไปก่อนจะเริ่มตวัดพู่กัน
‘หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้ ! ’
ตัวอักษรพู่กันทั้งหมดถูกเขียนจนเสร็จภายในครั้งเดียว
อีกทั้งการจัดวางของภาพยังเชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นพลัง ช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
สุดท้ายหลังจากประทับตราเรียบร้อยแล้ว เย่ฉางชิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ต้องบอกว่านับตั้งแต่เดินทางไปเมืองหลวง และสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว
เย่ฉางชิงก็พบว่าความแตกฉานในด้านพิณ หมาก อักษรพู่กัน และภาพวาดของตน เหมือนจะมีการพัฒนาขึ้นอย่างมากอีกด้วย
ขณะเย่ฉางชิงถอนสายตากลับมานั้น ก็พบว่านักพรตฉางเสวียนและซือถูเจิ้นผิงได้มายืนอยู่ข้างกายของเขาเสียแล้ว
“ท่านทั้งสอง อักษรพู่กันภาพนี้เป็นเช่นไรบ้าง ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามขึ้น แต่ในขณะที่เขาบังเอิญหันไปมองท่าทางของทั้งสองคนนั้น
ก็พบว่าทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อที่ชุ่มโชก อีกทั้งบนใบหน้ายังเต็มไปด้วยความน่าเหลือเชื่อ
แน่นอนว่าเวลานี้เย่ฉางชิงมิรู้เลยว่า
ระหว่างที่ทั้งสองคนมองตัวอักษรโบราณที่ฉวัดเฉวียน และมีพลังมหาศาลนี้
ได้มีไอกระบี่อันน่ากลัวคำรามอย่างบ้าคลั่งขึ้นในโสตประสาท อีกทั้งพลังกระบี่และเจตจำนงที่แท้จริงแห่งกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัว ได้กดทับทั้งสองคนเอาไว้ราวกับภูผาก็มิปาน
ทำให้ทั้งสองคนตัวชาวาบขึ้นมา และหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
อีกทั้งภายใต้แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ทั้งสองคนกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจิตวิญญาณของพวกเขากำลังจะแหลกสลาย พลังวิญญาณในร่างกายเริ่มเกิดการต่อต้าน
ในตอนที่เย่ฉางชิงเอ่ยปากถามพวกเขาสองคนนั้น จึงเป็นการช่วยดึงสติของพวกเขาให้คืนกลับ มาจากเหตุการณ์อันน่ากลัวเมื่อครู่
“สูด ! ”
ทันทีที่ได้สติ นักพรตฉางเสวียนและซือถูเจิ้นผิง ต่างก็รีบสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่อย่างอดมิได้
‘อันตรายยิ่งนัก ! ’
‘เพียงแค่บังเอิญเหลือบมองอักษรพู่กันภาพนี้ ก็เกือบจะเอาชีวิตมิรอดเสียแล้ว ! ’
เมื่อเห็นท่าทางโล่งอกอย่างเกินจริงของคนทั้งคู่
เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะเกิดความสงสัย แต่ก็เพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น และมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
จนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยาม
หลังจากนักพรตฉางเสวียนและซือถูเจิ้นผิงได้สนทนากับเย่ฉางชิงอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ได้ขอตัวกลับไปอย่างรีบร้อน
“ผู้อาวุโสซือถู เมื่อครู่นี้ท่านมุทะลุเกินไปแล้ว ! ”
หลังออกมาจากเมืองเสี่ยวฉือ จู่ ๆ นักพรตฉางเสวียนก็หยุดฝีเท้าลง และหมุนตัวไปกล่าวกับซือถูเจิ้นผิง
‘มุทะลุ ? ’
ซือถูเจิ้นผิงทำได้เพียงกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงงงวย
“เจ้าสำนักไท่เสวียน ท่านหมายความเช่นไรกัน ? ”
ซือถูเจิ้นผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “สองวันก่อนเพื่อเตรียมตัวพบผู้อาวุโสเย่ ข้าจึงได้ไปขอคำแนะนำจากหนานกงเสวียนจีมา”
“เขาบอกข้าว่าต่อหน้ายอดฝีมือเช่นผู้อาวุโสเย่ ผู้น้อยอย่างพวกเราจะต้องเปิดเผยจริงใจ เช่นนั้นข้าจึงได้ขอคำชี้แนะออกไปตรง ๆ ”
นักพรตฉางเสวียนได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความรู้สึกร้องไห้มิออกขึ้นมา
‘ท่านบรรพจารย์เย่เร้นกายอยู่ที่นี่ ย่อมมิต้องการให้ผู้คนภายนอกรบกวน’
‘แต่เจ้ากลับทำงามหน้านัก ! ’
‘เปิดเผยจริงใจ ? ’
‘ถึงขั้นถามคำถามเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรต่อท่านบรรพจารย์เย่ตรง ๆ เช่นนี้ มิเท่ากับรบกวนการใช้ชีวิตอันสงบของเขาเยี่ยงนั้นหรือ ! ’
เวลานี้ภายในใจของนักพรตฉางเสวียนกลับรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
หากรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ มิว่าเยี่ยงไรเขาก็มิมีทางตอบตกลงคำขอของซือถูเจิ้นผิงเด็ดขาด
ในตอนนั้นเองจู่ ๆ ก็เกิดเสียงลึกลับเสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาทของซือถูเจิ้นผิง โดยมิทราบสาเหตุ
ทำให้เขามีสีหน้าเปลี่ยนไป และเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกในทันที