ตอนที่ 221 พวกเจ้าเผ่าพยัคฆ์ดำพูดจริงหรือ ?
ครู่ต่อมาผู้เฒ่าชิวหลงก็เหมือนจะเข้าใจความคิดของเฮยเซี่ยว
“เด็กน้อย หรือว่ายังมีปัญหาอะไรอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ผู้เฒ่าชิวหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยถามขึ้น
บรรพบุรุษทั้งสามของเผ่าพยัคฆ์ดำได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะหันไปมองเฮยเซี่ยวที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่
“ผู้อาวุโสชิวหลง ท่านบรรพบุรุษทั้งสาม พวกท่านคงจะยังมิรู้จักราชันทมิฬผู้นี้ดี”
เฮยเซี่ยวเงียบไปสักพัก ก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ราชันทมิฬผู้นี้แม้จะปรากฏตัวที่เทือกเขาแดนใต้ได้มินาน แต่กลับมีชื่อเสียงฉาวโฉ่เป็นอย่างมาก”
“ราชันทมิฬผู้นี้เป็นผู้ที่ทำชั่วได้อย่างมิมีที่สิ้นสุด หนึ่งปีก่อนตอนที่ปรากฏตัวยังเทือกเขาแดนใต้นั้น เผ่าใดก็ตามที่ไปล่วงเกินเขาเข้า ก็จะถูกขุดสุสานบรรพบุรุษเพื่อขโมยทรัพย์สมบัติไป”
เอ่ยถึงตรงนี้มุมปากของเฮยเซี่ยวก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยอย่างระอาว่า “อีกทั้งเขายังมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งที่พกติดกายเอาไว้ตลอดเวลา ขอเพียงนำของชิ้นนั้นออกมา แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจก็มิมีทางสู้เขาได้ เช่นนั้นจวบจนถึงทุกวันนี้แม้ราชันทมิฬจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทว่ากลับมิมีเผ่าใดที่กล้าล่วงเกินเขาเลย”
ได้ยินเช่นนั้นบรรพบุรุษท่านหนึ่งของเผ่าพยัคฆ์ดำก็ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “เฮยเซี่ยว เจ้าบอกมาตามตรงสิว่า ราชันทมิฬผู้นี้เคยขุดสุสานบรรพบุรุษของเผ่าพยัคฆ์ดำของเรามาก่อนหรือไม่ ? ”
เฮยเซี่ยวผงะไป ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง
“อะไรนะ ! ”
บรรพบุรุษท่านนั้นของเผ่าพยัคฆ์ดำลุกขึ้นยืน ด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันใด
แต่ในวินาทีต่อมาบรรพบุรุษท่านนั้นของเผ่าพยัคฆ์ดำ ก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงทำได้เพียงนั่งลงด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ เท่านั้น
ตอนนั้นเองผู้เฒ่าชิวหลงจึงถามเฮยเซี่ยวเรียบ ๆ ว่า “เจ้ากังวลว่าเขาจะโลภมากจนมิรู้จักพองั้นหรือ ? ”
เฮยเซี่ยวพยักหน้ารับ
“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่า ปีศาจตนนี้มาเทือกเขาแดนใต้เพราะต้องการตามหาหินหุนหยวน”
ผู้เฒ่าชิวหลงจึงเอ่ยต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นเพราะเผ่าพยัคฆ์ดำของพวกเจ้า เช่นนั้นเผ่าพยัคฆ์ดำของพวกเจ้าก็หาวิธีแก้ไขเอาเองก็แล้วกัน”
เอ่ยจบผู้เฒ่าชิวหลงก็วางแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน “ภายในแหวนเก็บสมบัติวงนี้มีหินหุนหยวน 200 ก้อน ส่วนเจ้าเด็กนั่นจะเอ่ยเช่นไร ขาดเหลืออีกเท่าใด พวกเจ้าก็จัดการเองก็แล้วกัน”
เอ่ยจบผู้เฒ่าชิวหลงก็เอามือไพล่หลัง แล้วเดินออกไปนอกตำหนักทันที
“ผู้น้อยน้อมส่งท่านชิวหลง”
บรรพบุรุษทั้งสามของเผ่าพยัคฆ์ดำโค้งคำนับให้แก่ผู้เฒ่าชิวหลง
ครู่ต่อมาหลังจากผู้เฒ่าชิวหลงจากไปแล้ว
เฮยฉางซานก็ถอนหายใจออกมา “เฮยเซี่ยว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็พาผู้อาวุโสอีกสามสี่คนไปชิงชิวด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
“ท่านบรรพบุรุษ เผ่าพยัคฆ์ดำของเราหากต้องการคืนดีกับเผ่าจิ้งจอกวิญญาณนั้นมิใช่เรื่องยากอันใด”
เฮยเซี่ยวขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางกล่าวด้วยความกังวลว่า “แต่ว่า… ราชันทมิฬผู้นี้ยากจะจัดการอยู่สักหน่อยขอรับ เช่นนั้นข้าหวังว่าท่านก็จะไปชิงชิวด้วยกันนะขอรับ”
บรรพบุรุษอีกสองท่านสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“พี่ใหญ่ ข้าว่าท่านไปชิงชิวด้วยเถอะ”
“ใช่ พี่ใหญ่ เยี่ยงไรเสียตบะบารมีของท่านก็เหนือกว่าถูซื่อ อีกทั้งอายุก็ยังมากกว่าถูซื่อ อีกด้วย เมื่อไปถึงชิงชิวขอเพียงท่านเอ่ยปาก มิแน่ถูซื่ออาจจะช่วยท่านพูดก็ได้”
“ช่างเถอะ วันนี้ข้าจะฝืนใจไปชิงชิวสักคราก็แล้วกัน”
…………………………….
อีกด้านหนึ่ง
เมื่อกลับมาถึงชิงชิว
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นที่เผ่าพยัคฆ์ดำวันนี้แพร่ออกไป
ในที่สุดปีศาจเผ่าจิ้งจอกวิญญาณที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ยิ้มออก
ภายในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของเขาดอกท้อ
“ราชันทมิฬ ผู้อาวุโสต้นไม้ที่เจ้าเอ่ยถึงแท้จริงแล้วอยู่ระดับใดงั้นหรือ เพียงแค่ร่างแยกก็เกือบจะสังหารเจ้าเฒ่าเฮยฉางซานได้แล้ว”
ถูซานเฮยาที่อยู่ข้าง ๆ ราชันทมิฬเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ทันทีที่ถูซานเฮยาเอ่ยออกมา เหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณต่างก็หันมามองจนเป็นตาเดียวกัน
ผู้อาวุโสท่านนั้นแท้จริงแล้วมีตบะบารมีเช่นไร พวกเขาเองก็สงสัยอย่างมากเช่นกัน
“ในเมื่อพวกเจ้าถามเช่นนี้ เห็นแก่หน้าของสือซานน้อย ข้าจะบอกพวกเจ้าเอาบุญก็แล้วกัน”
ราชันทมิฬยกขาขึ้นไขว่ห้าง สายตากวาดมองไปยังทุกคน ก่อนจะสบตากับถูสือซานที่แววตาเป็นประกายระยิบระยับ
“ก่อนอื่นแม้พี่ต้นไม้ของข้าจะมีตบะแก่กล้าอย่างมาก แต่ก็ยังห่างชั้นกับนายท่านอยู่มากโข”
ราชันทมิฬเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “เดิมทีนั้นพี่ต้นไม้มิผ่านการทดสอบจากสวรรค์ ทำให้ถูกพลังเต๋าครอบงำจนเกือบเอาชีวิตมิรอด”
“ทว่าระหว่างที่เขาเกือบจะดับสูญนั้น นายท่านของข้าเห็นว่าเขามีตบะบารมีที่มิธรรมดา จึงได้ใช้อิทธิฤทธิ์อันสูงส่งสร้างร่างแท้ให้แก่พี่ต้นไม้ อีกทั้งยังใช้เคล็ดวิชาอันไร้เทียมทานช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายในของพี่ต้นไม้ด้วย”
เอ่ยถึงตรงนี้
“หากข้าเดามิผิดแล้วล่ะก็ อีกมินานพี่ต้นไม้จะต้องผ่านการทดสอบจากสวรรค์และบรรลุขึ้นสวรรค์ได้อย่างแน่นอน”
ราชันทมิฬกระแอมเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้พี่ต้นไม้บอกแล้วมิใช่หรือว่า เขาปลีกตัวมามิได้ชั่วคราวก็เพราะต้องเตรียมตัว เพื่อการทดสอบในครั้งต่อไปนั่นแหละ”
“สูด ! ”
สิ้นเสียงของราชันทมิฬ เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าจิ้งจอกวิญญาณต่างก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ อย่างหวาดหวั่น
ขณะเดียวกันแม้แต่ถูซื่อเอง ก็ยังอดมิได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน
‘มิน่าเล่าผู้อาวุโสท่านนั้นถึงได้น่ากลัวเพียงนี้ ขณะโจมตีจึงมีไอพลังเต๋าแผ่ออกมา’
‘ที่แท้ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เกือบจะบรรลุสู่สวรรค์ได้แล้วนี่เอง ! ’
‘อีกทั้งยังประสบกับการทดสอบของสวรรค์มาแล้วด้วย’
‘เช่นนี้แล้วการทดสอบครั้งต่อไป จึงเป็นไปได้สูงว่าเขาจะผ่านการทดสอบไปได้ และบรรลุขึ้นสวรรค์เป็นแน่’
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ระหว่างที่ราชันทมิฬและเหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณกำลังคุยเล่นกันอยู่นั้น
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ท่านบรรพบุรุษ ท่านหัวหน้าเผ่า หัวหน้าเผ่าพยัคฆ์ดำขอเข้าพบขอรับ”
บุรุษหนุ่มประสานมือโค้งคาราวะอย่างนอบน้อม
ถูซื่อยังมิทันจะเอ่ยสิ่งใด ราชันทมิฬกลับชิงหัวเราะออกมาเสียก่อน “ข้าคิดว่าพวกเขาจะมิมาแล้วเสียอีก”
ถูซื่อเหลือบมองราชันทมิฬเล็กน้อย ก่อนจะสั่งบุรุษหนุ่มว่า “พาพวกเขามาที่นี่”
“ขอรับ ! ”
หลังจากบุรุษหนุ่มรับคำสั่ง และจากไปอย่างรีบร้อน
ดวงตาของถูซานเฮยาพลันก็เปล่งประกายออกมา ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มว่า “ราชันทมิฬ เจ้าคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องมาเยี่ยงนั้นหรือ?”
“เปล่าหรอก”
ราชันทมิฬส่ายหัวโต ๆ นั้นไปมา ก่อนเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า “พี่ต้นไม้ของข้ามีนิสัยมุทะลุ เขาเป็นคนพูดจริงทำจริงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งข้าเองก็เคยอยู่เทือกเขาแดนใต้มาแล้วกว่าหนึ่งปี เยี่ยงไรเสียก็ย่อมผูกพันอยู่บ้างมิมากก็น้อย หากร่างจริงของพี่ต้นไม้มาที่นี่จริง ๆ เทือกเขาแดนใต้จะต้องกลายเป็นนรกบนดินอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นข้าใคร่ครวญดูแล้ว จึงตัดสินใจที่จะให้โอกาสเผ่าพยัคฆ์ดำอีกสักครั้ง”
เหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณได้ยินเช่นนั้นก็สบตากัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา
‘โอกาส ? ’
‘หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ สิ่งที่เจ้าราชันทมิฬกังวลก็คือกลัวจะทำงานมิสำเร็จกระมัง ! ’
เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
บุรุษหนุ่มคนเมื่อครู่ก็ได้เดินนำเฮยเซี่ยวและเฮยฉางซาน รวมทั้งผู้แข็งแกร่งสองท่านของเผ่าพยัคฆ์ดำเข้ามาด้านในถ้ำ
เมื่อเห็นคนที่มาด้วย เผ่าจิ้งจอกวิญญาณทุกคนต่างก็เหลือบมองไปยังถูซื่อที่นั่งอยู่ด้านบนทันที
ถูซื่อยังมิได้เอ่ยสิ่งใด ทว่ากลับเป็นราชันทมิฬที่ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงนี่ เช่นนั้นพวกเราก็มาพูดกันตรง ๆ เลยดีกว่า ! ”
เฮยเซี่ยวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบยิ้มประจบทันที “ราชันทมิฬ ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ที่มาวันนี้เผ่าพยัคฆ์ดำของเราเพียงแค่ต้องการที่จะแสดงคำขอโทษต่อเจ้าและเผ่าจิ้งจอกวิญญาณเท่านั้น”
เอ่บจบเฮยเซี่ยวก็รีบเดินเข้ามาหา พร้อมวางแหวนเก็บสมบัติที่ผู้เฒ่าชิวหลงทิ้งเอาไว้ลงข้าง ๆ ราชันทมิฬ
“ภายในแหวนเก็บสมบัติวงนี้มีหินหุนหยวน 200 ก้อน ถือเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ หวังว่าท่านจะรับเอาไว้”
เฮยเซี่ยวเอ่ยขึ้น
“แหวนเก็บสมบัติ ? ”
“200 ก้อน ? ”
“พวกเจ้าเผ่าพยัคฆ์ดำพูดจริงหรือ ? ”
ราชันทมิฬมองเฮยเซี่ยวด้วยสีหน้ามิพอใจ ดวงตาเต็มไปด้วยการดูแคลน