ตอนที่ 36 นิมิตรู้แจ้ง
เพียงพริบเดียว หลิวฉางเหอและเยี่ยนปิงซินก็กลับไปได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว
ส่วนเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในแคว้นต้าเยี่ยนและทั่วจงหยวนนั้น เย่ฉางชิงหาได้ทราบเรื่องราวไม่
วันนั้นหลังจากส่งหลิวฉางเหอและเยี่ยนปิงซินแล้ว เขาก็กลับมาช่วยเหอฉางเสวียนวิเคราะห์กลหมากสี่มังกรพ่นวารี จวบจนพลบค่ำเหอฉางเสวียนและลู่อู๋ซวงจึงได้พากันกลับไป
แต่ฝีมือของเหอฉางเสวียนนั้นยังนับว่าธรรมดามาก ถึงขั้นเรียกว่าแย่เลยก็ยังได้ ! หากไม่เห็นแก่หน้าของเหอฉางเสวียน เย่ฉางชิงคงได้ด่าเหอฉางเสวียนแรง ๆ ไปแล้ว
เขาคิดว่าตอนที่วิเคราะห์กลหมากสี่มังกรพ่นวารี ตัวเขานั้นได้พยายามอธิบายเรื่องที่ถือว่าเป็นพื้นฐานที่สุดแล้ว เพื่อให้เข้าใจได้โดยง่าย แต่สุดท้ายเหอฉางเสวียนกลับมิสามารถเข้าใจได้
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรอย่างลู่อู๋ซวงก็มิได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก เพราะนางได้แต่มองด้วยความงุนงงเท่านั้น
ตอนนั้นเย่ฉางชิงอดที่จะสงสัยมิได้ หากว่าเขามีรากวิญญาณจากความสามารถในการทำความเข้าใจของเขา คาดว่าคงจะกลายเป็นอัจฉริยะที่มิมีใครเทียบได้ และต้องสั่นสะเทือนโลกของการบำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน
แต่สวรรค์กลับมิฟังคำร้องขอของเขาเลย
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เย่ฉางชิงพูดมิออกที่สุดในวันนั้นก็คือ ความปรารถนาที่อยากจะได้ภาพไท่เสวียนฉางชิงของเหอฉางเสวียนนั้น ทำให้เขามิสามารถปฏิเสธได้ จึงได้มอบภาพนั้นให้แก่เหอฉางเสวียนไปในที่สุด
เดิมในความคิดของเย่ฉางชิง การปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเองนั้นถือเป็นหลักธรรมชาติของมนุษย์ คิดว่าในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรนี้ก็คงมิต่างกัน
แน่นอนว่าการกระทำของเหอฉางเสวียน ก็เป็นเครื่องยืนยันความคิดของเขาได้
แต่สุดท้ายเหอฉางเสวียนกลับมอบเพียงป้ายไม้โบราณที่สลักคำว่า ‘เสวียน’ ชิ้นหนึ่ง กับหินสีดำขนาดใหญ่เท่ากับไข่ไก่อีกหนึ่งก้อนให้กับเขาเท่านั้น
‘นี่มันของอะไรกัน ? ’
เย่ฉางชิงพูดไม่ออกและจนใจเป็นอย่างมาก
หลังจากเหอฉางเสวียนและลู่อู๋ซวงจากไปแล้ว ชีวิตของเย่ฉางชิงก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ทุกวันนอกจากกินข้าวและนอนหลับแล้ว เวลาที่เหลือหากมิใช่ฝึกเขียนอักษรพู่กันก็วาดภาพ
เวลานอกจากนั้นก็เพียงแค่นั่งกินลมชมวิว ชงชาที่หน้าประตูร้านขายของชำ พลบค่ำก็มานั่งดีดพิณที่ใต้ต้นหลิวบริเวณลานบ้าน
แต่หลังจากมีมุกเหมันต์อะไรนั่นที่หลิวฉางเหอมอบให้เขา เขาก็มีงานอดิเรกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง นั่นก็คือการทำผลไม้แช่แข็ง
อีกทั้งผลไม้แช่แข็งที่ทำมาจากมุกเหมันต์ยังขายดีมากอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศร้อนอย่างฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้
เพียงแค่ 20 วัน เย่ฉางชิงก็สามารถขายผลไม้แช่แข็งได้เกือบร้อยตำลึงเงินแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ชีวิตของเขาก็จะสุขสบายยิ่งขึ้น
และช่วงนี้มิรู้เพราะเหตุใดหลังจากที่พวกหลิวฉางเหอจากไปได้สามวัน เขาก็นอนหลับได้สนิทขึ้น อีกทั้งจิตใจและร่างกายกลับรู้สึกดีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนและเต็มไปด้วยพลัง
ต่อมาเขาก็พบว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับความฝันหนึ่งของเขา
ความฝันนี้เกิดขึ้นในคืนที่สามหลังจากที่พวกหลิวฉางเหอจากไป เขายังจำได้อย่างชัดเจนจนถึงบัดนี้
เขาฝันว่าตัวเองได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มิมีผู้ใดเทียบได้ หลังจากนั้นก็ได้จุติบนโลกเซียนแห่งหนึ่ง
บนโลกใบนั้นเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้พ่าย มิใส่ใจผู้ใด ทุกคนต่างก็เคารพและยำเกรงเขา ถึงขนาดสร้างอารามและรูปปั้นทองคำให้กับเขา เพื่อให้ผู้คนมาสักการะบูชาอีกด้วย
หลายปีผ่านไป เขารู้สึกว่าชีวิตของผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก จึงได้เร้นกายอยู่ในที่เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง….
หลังจากตื่นขึ้นมาเย่ฉางชิงก็พบว่าหางตาทั้งสองข้างของตน มีน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อใดมิอาจทราบได้
แม้ความฝันนี้จะดูเกินจริงไปเสียหน่อย แต่มิรู้เพราะเหตุใดเย่ฉางชิงกลับหลับได้สนิทมากขึ้น
………………
แผนของแต่ละวันเริ่มต้นจากตอนเช้า
รุ่งเช้าวันนี้ เย่ฉางชิงได้ตื่นขึ้นตั้งแต่ย่ำรุ่ง หลังลุกจากเตียงและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ก็มาฝึกเขียนอักษรที่ลานบ้าน
เขาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ภายในสมองพลันบังเกิดแสงสว่างวาบเข้ามา
‘วันว่างใช้ชีวิตอย่างเสรี ตื่นมาแสงอรุณฉาบทิศบูรพา’
หลังคิดกลอนประโยคนี้ขึ้นมาได้โดยบังเอิญ เย่ฉางชิงก็รีบจุ่มพู่กันลงบนหินฝนหมึก จากนั้นจรดพู่กันลงอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เองพลันเกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้น
บนกระดาษที่เขียนกลอนลงไปกลับมีแสงสีแดงเพลิงส่องประกายขึ้นมา เมฆหมอกอันเลือนรางพวยพุ่งออกมา ดูลึกลับยิ่งนัก
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ’
เย่ฉางชิงตกตะลึงในทันที เขารู้สึกว่าภาพตรงหน้าน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ช่างอัศจรรย์โดยแท้
เขาตกตะลึงจนก้าวถอยไปด้านหลัง
“หรือว่าในที่สุดดัชนีทองคำของข้าก็จะตื่นและรู้แจ้งแล้ว ? ” เย่ฉางชิงมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
แต่ไม่นานปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโต๊ะก็มลายหายไป
เย่ฉางชิงที่ได้สติก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาแล้วจรดพู่กันลงไปอีกครั้ง
‘เมฆาลอยเด่นยามอาทิตย์อัสดงลงหอประจิม พระพายโหมกระหน่ำก่อนพิรุณโปรยปราย’
เขาเขียนกลอนขึ้นมาอีกประโยค ทุกตัวอักษรเขียนอย่างลื่นไหลตั้งแต่ต้นจนจบ
ทันในนั้นก็ปรากฏนิมิตขึ้นมาอีกครั้ง แต่นิมิตครั้งนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
เพียงพริบตาท้องฟ้าที่ไร้เมฆฝน พลันเกิดลมพายุโหมกระหน่ำรุนแรง เมฆดำทะมึนปกคลุมราวกับพายุฝนกำลังจะเทลงมา
“นี่… นี่มัน ! ” เย่ฉางชิงตกตะลึงพรึงเพริด สมองขาวโพลนอีกครั้ง
“ใครบอกข้าได้บ้างนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”
“หรือว่าในที่สุดดัชนีทองคำของข้าก็ตื่นและรู้แจ้งแล้วจริง ๆ หรือว่าตอนนี้ข้ากลายเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว ? ”
เย่ฉางชิงรู้สึกตื่นเต้นยินดีทันทีที่ได้สติ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเย่ฉางชิงก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พร้อมกับพึมพำว่า “ในนิยายแฟนตาซีที่เคยอ่าน ผู้แข็งแกร่งทุกคนล้วนแค่เพียงเพ่งสมาธิ ก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าเปลี่ยนหินเป็นทองคำอะไรแบบนั้นได้นี่นา”
คิดถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ก่อนจะหลับตาลง
“เหาะขึ้น ! ” เย่ฉางชิงเพ่งสมาธิ จากนั้นก็ลืมตาขึ้น
แต่สุดท้ายใบหน้าหล่อเหลาก็กลับเคร่งขรึมลง
เพราะเขายังคงอยู่ที่เดิม !
‘หรือว่าโลกเซียนแห่งนี้จะมีปัญหา ? ’
‘หรือว่าต้องท่องคาถาด้วย ? ’
“เหาะขึ้นไป เจ้าทำได้ข้าก็ทำได้”
ผ่านไปครู่หนึ่งเย่ฉางชิงลืมตาอีกครั้ง ทว่าเขาก็ยังคงอยู่ที่เดิม
“เจ้าบินข้าก็บิน ณ บัดนี้ ! ”
ผ่านไปครู่หนึ่งเย่ฉางชิงก็ลืมตาอีกครั้ง ก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“สมหวัง สมหวัง สมปรารถนา บินได้ ! ”
ผ่านไปครู่หนึ่งเย่ฉางชิงลืมตาอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ใบหน้าของเย่ฉางชิงเข้มขึ้นทันที
‘ต่อให้อยู่ดี ๆ จะมีดัชนีทองคำขึ้นมา แต่ว่ามันใช้อย่างไรกันเล่า ? ’
‘หรือว่าดัชนีทองคำทำให้เกิดภาพนิมิตขึ้นมาแค่นั้นเองหรือ ? ’
‘เป็นแค่เอฟเฟคพิเศษเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ดัชนีทองคำที่แค่ส่องแสงวิบวับได้จะมีประโยชน์อันใดกัน ! ’
‘เอาแบบที่ใช้งานได้จริง ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ! ’
ตอนนี้เย่ฉางชิงกำลังอารมณ์เสียอย่างมาก ถึงขนาดเรียกว่าหงุดหงิดมากก็ว่าได้
เดิมทีเขาคิดว่าในที่สุดก็ปลุกดัชนีทองคำของตัวเองได้แล้ว เพียงพริบตาก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง
แต่สุดท้ายเขากลับพบว่านอกจากแสงที่ส่องประกายวิบวับพวกนี้แล้ว กลับมิสามารถทำอะไรได้อีกเลย
หลังจากนั่งสงบสติอยู่นานบนเก้าอี้ เย่ฉางชิงก็ลืมตาขึ้นใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
‘หรือว่าข้าจะมีรากวิญญาณแล้ว ? ’