ตอนที่ 39 หรือนี่จะเป็นอาวุธเทพในตำนาน ?
ถานไถชิงเสวี่ยรู้สึกราวกับฝันไป ทันทีที่ได้เห็นเย่ฉางชิงดุราชาปีศาจตนนั้น
อีกทั้งคนตรงหน้ายังเป็นเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น
แต่ไหนแต่ไรมาเผ่าปีศาจเคารพผู้ที่แข็งแกร่ง เหล่าราชาปีศาจต่างก็มีนิสัยมุทะลุและสังหารคนได้อย่างโหดเหี้ยม
แต่ราชาปีศาจตนนี้กลับถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งดุ ทั้งยังเชื่อฟังโดยมิตอบโต้แม้แต่น้อย เพียงเท่านี้ก็น่าแปลกใจมากแล้ว
บวกกับตำแหน่งที่เสียงพิณดังออกมาก่อนหน้านี้ รวมทั้งปราณที่ลอยออกมาจากภายในร้านขายของชำแห่งนี้ด้วยแล้ว
จากสัญญาณหลาย ๆ อย่างที่ปรากฏ ชายหนุ่มที่ดูสุภาพเรียบร้อยตรงหน้าจะต้องเป็นปรมาจารย์ท่านนั้นอย่างแน่นอน
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
คิดถึงตรงนี้ภายในใจของถานไถชิงเสวี่ยก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
แต่นางกลับมิกล้าแสดงสีหน้าออกมามากนัก
ต่อหน้ายอดคนเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นจินตานตัวเล็ก ๆ อย่างนางจะกล้าเสียมารยาทได้เยี่ยงไร
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งถานไถชิงเสวี่ยจึงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มือทั้งสองข้างกำแน่นพลางเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “มิทราบว่า… เสียงพิณเมื่อครู่ท่านเป็นผู้ดีดใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
“เสียงพิณหรือ ? ”
เย่ฉางชิงหัวเราะก่อนจะพยักหน้ารับ “เมื่อครู่ข้าเป็นคนดีดพิณที่ลานด้านหลังเองขอรับ”
ถานไถชิงเสวี่ยตะลึงงัน ก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ ท่าทางมิสู้ดีเท่าใดนัก
เย่ฉางชิงมองถานไถชิงเสวี่ยอย่างสำรวจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “แม่นางต้องการจะซื้อพิณหรือขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงถามออกมาอย่างตื่น ๆ
ถึงแม้ร้านขายของชำของเขาจะมีสิ่งของมากมายหลายอย่าง แต่ก็มิได้มีพิณขาย
แน่นอนว่ามิใช่เพราะเย่ฉางชิงทำพิณมิเป็น แต่เป็นเพราะขั้นตอนในการทำพิณนั้นค่อนข้างยุ่งยาก
และที่สำคัญที่สุดคือต่อให้ขั้นตอนในการทำพิณจะยุ่งยากและลำบากเพียงใด แต่กลับมิมีผู้ใดต้องการซื้อ และย่อมขายมิได้ราคาด้วยเช่นกัน
ถานไถชิงเสวี่ยพยักหน้ารับ และจู่ ๆ ก็ส่ายหน้าไปมา
นางเป็นคนฉลาดทั้งยังเข้าใจเหตุผลที่ว่ามนุษย์มิมีทางได้ในทุก ๆ สิ่งที่ตนต้องการ
หากนางได้อาวุธวิญญาณจากปรมาจารย์ท่านนี้แล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่านางจะมิสามารถขอคำชี้แนะเรื่องดนตรีได้อีกแล้ว
มิเช่นนั้นปรมาจารย์ท่านนี้จะต้องคิดว่านางเป็นคนโลภมาก และอาจมิพอใจก็เป็นได้
เช่นนั้นนางจึงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
อีกทั้งพิณหงส์เหินที่อยู่บนบ่าของนางตอนนี้ก็ถือว่าเป็นอาวุธวิญญาณชั้นยอดชิ้นหนึ่งแล้ว เช่นนั้นนางจึงมิขอรับอาวุธวิญญาณอื่นใดในตอนนี้
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ถานไถชิงเสวี่ยจึงรวบรวมความกล้าแล้วมองไปยังเย่ฉางชิง พลันเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ผู้อาวุโส มิทราบว่าข้าจะขอรบกวนให้ท่านช่วยชี้แนะปัญหาด้านดนตรีให้หน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
“ชี้แนะปัญหาด้านดนตรีเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
‘ที่แท้ก็มิได้จะมาซื้อพิณ’
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ลอบถอนหายใจออกมา
‘เมื่อครู่เพิ่งจะบอกไปว่าร้านนี้มีทุกอย่าง หากแม่นางผู้นี้ยืนยันที่จะซื้อพิณขึ้นมา ข้าก็คงต้องเสียหน้าเป็นแน่ ? ’
‘อีกอย่างหากต้องมาเสียหน้าต่อหน้าสาวงามเช่นนี้ ก็ยิ่งน่าขายหน้าเข้าไปใหญ่ ! ’
‘แต่หากต้องการมาขอคำชี้แนะเช่นนี้ก็เข้าทางพอดี’
เย่ฉางชิงรู้ว่าแม้ตัวเขาจะมิใช่ผู้บำเพ็ญตน แต่เรื่องความแตกฉานในด้านอักษรพู่กัน ภาพวาด พิณ และหมากล้อมของเขานั้น เรียกว่าเป็นระดับปรมาจารย์เลยก็ว่าได้
“หากแม่นางต้องการให้ข้าชี้แนะ เช่นนั้นก็ย่อมได้ขอรับ ! ” เย่ฉางชิงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ให้แก่ถานไถชิงเสวี่ย
‘เมื่อครู่ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องการที่จะทดสอบข้าจริง ๆ ด้วย’
ถานไถชิงเสวี่ยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนทันทีที่เห็นเย่ฉางชิงตอบตกลง ภายในใจอดรู้สึกยินดีมิได้
“แม่นาง เชิญตามข้ามาขอรับ”
เย่ฉางชิงหมุนตัวกลับไปยังลานด้านหลัง โดยมีถานไถชิงเสวี่ยเดินตามไปอย่างระมัดระวัง
ถานไถชิงเสวี่ยค่อย ๆ ก้าวตามเย่ฉางชิงเข้าไปในร้าน แต่ขณะที่นางบังเอิญเหลือบไปเห็นอักษรพู่กันและภาพวาดทิวทัศน์ในร้านเข้า สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันที
‘นี่ใช่ร้านขายของชำธรรมดาที่ไหนกัน ? ’
‘ร้านขายของชำแห่งนี้จะเรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้ ! ’
บนภาพอักษรพู่กันแฝงไว้ด้วยเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่เอาไว้มากมาย บนภาพวาดทิวทัศน์แฝงไว้ด้วยเจตจำนงที่แท้จริงแห่งเต๋านับอนันต์ การที่ได้มาอยู่ในร้านแห่งนี้ราวกับเดินอยู่ในวิถีแห่งเต๋าก็มิปาน
หากนางสามารถอาศัยอยู่ที่นี่สักช่วงเวลาหนึ่งได้ อาจจะก้าวหน้ากว่าการฝึกบำเพ็ญเพียรที่อื่นเป็นสิบหรือเป็นร้อยปีเสียด้วยซ้ำ
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
‘ปรมาจารย์ท่านนี้เป็นคนเช่นไรกันแน่นะ ! ’
ถานไถชิงเสวี่ยรู้สึกว่าการเดินตามหลังเย่ฉางชิงนั้นเต็มไปด้วยความกดดัน จนถึงกับลืมหายใจโดยมิรู้ตัว
แต่มินานเย่ฉางชิงก็พาถานไถชิงเสวี่ยมาถึงลานด้านหลัง
แม้ระยะทางจะสั้นแต่สำหรับถานไถชิงเสวี่ยแล้ว ช่วงเวลานี้ช่างยาวนานราวกับผ่านไปปีแล้วปีเล่า
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความกดดัน แต่นางก็ได้ประโยชน์กลับมามิน้อย
แต่เมื่อเดินมาถึงลานด้านหลังแล้ว ก็สัมผัสได้ถึงแก่นแท้แห่งเต๋าที่แผ่กระจายอยู่ทั่วลานแห่งนั้น จนทำให้นางต้องตกตะลึงอีกครั้ง
โดยเฉพาะยามที่นางเห็นตุ๊กตาชงชา ที่มีลักษณะเหมือนไข่ไก่ที่วางส่ง ๆ อยู่บนกระดานหมากล้อม ทว่าปราณที่แผ่ออกมาทำให้ดวงตาคู่งามต้องเบิกกว้างและตัวแข็งค้างราวกับท่อนไม้
เพราะตุ๊กตาชงชาที่ดูเหมือนไข่ไก่ชิ้นนี้ แท้จริงแล้วเป็นหินหุนหยวนที่ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายต่างก็ปรารถนาที่จะได้มาครอบครอง
ที่สำคัญมันยังมีขนาดใหญ่เท่าไข่ไก่อีกด้วย
หากเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมาเห็นว่านำหินหุนหยวนมาทำเป็นตุ๊กตาชงชาเยี่ยงนี้ คาดว่าคงมีบางคนจะต้องโกรธถึงขั้นกระอักเลือดก็เป็นได้
‘ช่างเสียของอย่างแท้จริง ! ’
หลังจากได้สติ ถานไถชิงเสวี่ยก็ปล่อยวางเรื่องนี้ลงอย่างรวดเร็ว
ราชาปีศาจยังถูกลดตัวมาเป็นสุนัขเฝ้าประตู ภาพอักษรพู่กันที่เหล่าผู้บำเพ็ญวิถีแห่งกระบี่แสวงหากลับเป็นเพียงของซื้อขาย ภาพทิวทัศน์ที่แฝงไว้ด้วยเจตจำนงที่แท้จริงแห่งเต๋านับอนันต์ยังกลายเป็นของตกแต่งได้ แค่หินหุนหยวนจะน่าตกใจอะไรอีก
คิดถึงตรงนี้แม้ภายในใจของถานไถชิงเสวี่ยอดที่จะเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมามิได้ แต่นางก็ยังคงดีใจและมีความหวัง
ปรมาจารย์ท่านนี้น่ากลัวเพียงนี้ แต่กลับยอมชี้แนะดนตรีให้นาง สำหรับนางแล้วนี่นับเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยก็ว่าได้
เช่นนั้นนางควรที่จะพึงพอใจแล้ว
เวลานี้
เย่ฉางชิงบังเอิญเหลือบไปเห็นสตรีที่งามไร้ที่เปรียบผู้นี้ กำลังหลงใหลหินเก่า ๆ ที่เหอฉางเสวียนมอบให้เขา ใบหน้าพลันบังเกิดรอยยิ้มแห้งออกมา
ก็แค่หินที่เวลาเทน้ำชาลงไปแล้วจะมีไอน้ำลอยขึ้นมาก้อนหนึ่งเท่านั้น หรือว่ามันจะเป็นสมบัติล้ำค่าเยี่ยงนั้นหรือ ?
คิดถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็เอ่ยคำพูดที่ทำเอาถานไถชิงเสวี่ยต้องตื่นตระหนกขึ้น “แม่นาง หากเจ้าชอบข้าจะมอบหิน… ตุ๊กตาชงชานี้ให้เจ้าก็แล้วกัน”
เย่ฉางชิงเปลี่ยนชื่อเรียกจากก้อนหินเป็นตุ๊กตาชงชาแทน
หากบอกว่าเป็นก้อนหินก็ดูจะไร้ค่าไปหน่อย แต่หากบอกว่าเป็นตุ๊กตาชงชาจะดูเรียบหรูขึ้นมาทันใด
“ห๊ะ ! ”
เขายังเอ่ยมิทันจบ ถานไถชิงเสวี่ยก็มีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
มอบหินหุนหยวนก้อนใหญ่ขนาดนี้ให้คนอื่นได้ง่าย ๆ เยี่ยงนี้ เกรงว่าคงมีเพียงยอดคนท่านนี้ผู้เดียวกระมังที่กล้าทำเช่นนี้ได้!
อีกทั้งพวกเขาทั้งสองคนยังเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะพบกันแท้ ๆ
“ขอบคุณผู้อาวุโสเจ้าค่ะ แต่ชิงเสวี่ยมิอาจรับไว้ได้เจ้าค่ะ”
แม้ถานไถชิงเสวี่ยจะอยากได้มากเพียงใด แต่น่าเสียดายที่ของขวัญเช่นนี้มีค่าเกินไป ทำให้นางมิอาจหาของขวัญที่ทัดเทียมมาตอบแทนได้ เช่นนั้นจึงทำได้เพียงเอ่ยปฏิเสธออกไป
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม พลางเอ่ยเยาะเย้ยตัวเองในใจว่า “หากมีคนรู้ว่าข้ามอบหินก้อนหนึ่งให้คนอื่นล่ะก็ คงถูกคนเอาไปประณามลับหลังเป็นแน่”
ขณะเดียวกันถานไถชิงเสวี่ยได้เดินมาถึงโต๊ะที่มีพิณตัวหนึ่งวางอยู่ ทันทีที่เห็นอักษรโบราณสองคำที่สลักว่า กลเทพ ที่มีปราณแก่นแท้แห่งเต๋าแผ่กระจายออกมา นางก็อดที่จะตกตะลึงอีกครั้งมิได้
‘หรือนี่จะเป็นอาวุธเทพในตำนาน ? ’