ตอนที่ 66 นี่… นี่มิใช่เพียงสมบัติโบราณ
“เปรี๊ยะ ! ”
“เปรี๊ยะ ! ”
“เปรี๊ยะ ! ”
ระหว่างที่ด้านล่างของตำหนักไท่เสวียน หรือก็คือรากฐานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลันนั้น
เขาไท่เสวียนที่อยู่ด้านนอกก็มีปรากฏการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้นเช่นกัน
มีเสียงดังกึกก้องมาจากใต้พื้นดินทั่วสารทิศ รุนแรงจนสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว
ขณะเดียวกันจู่ ๆ ไอพลังทำลายล้างก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งเขาไท่เสวียน เหมือนสัตว์ดึกดำบรรพ์ขนาดยักษ์ถูกปลุกขึ้นมา เพื่อทำร้ายล้างเขาไท่เสวียนก็มิปาน
ขณะเดียวกันค่ายกลป้องกันภูผาก็ถูกเปิดขึ้นอย่างมิทราบสาเหตุ
วงแสงอันงดงามขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ คล้ายกับชามใบใหญ่ที่คว่ำอยู่เหนือเขาไท่เสวียน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะดูตระการตา แต่กลับน่าหวั่นเกรงในเวลาเดียวกัน !
ผู้ที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ มิว่าจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสหรือศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่างก็เดินออกมาจากเรือนพักหรือสถานที่บำเพ็ญเพียร รวมถึงคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงด้วย
มินานก็มีลำแสงพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ก่อนจะมารวมตัวกันยังลานด้านหน้าของตำหนักไท่เสวียน
ทุกคนที่มาถึงต่างสัมผัสได้ถึงไอพลังทำลายล้างที่เข้มข้น และแรงสั่นสะเทือนอันน่ากลัวใต้พื้นดินได้เป็นอย่างดี ต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และสบตากันไปมา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ”
“เกิดอะไรขึ้น ? ”
“เหตุใดพื้นดินจึงสั่นสะเทือนได้น่ากลัวเช่นนี้ หรือว่าพื้นดินของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราจะผนึกอะไรเอาไว้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เป็นไปมิได้ ข้าเคยศึกษาทุกอย่างในหอคัมภีร์มาหมดแล้ว มิเคยเห็นบันทึกเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาก่อน”
“ในเมื่อมิได้ผนึกสิ่งใดไว้ แล้วเหตุใดจึงมีไอพลังน่ากลัวเช่นนี้แผ่ออกมาได้ ? ”
“ข้าว่าด้านล่างเขาไท่เสวียนจะต้องผนึกบางอย่างที่น่ากลัวไว้แน่ ! ”
“พวกเจ้าว่ามีคนของลัทธิมารที่มีพลังแข็งแกร่งถูกผนึกเอาไว้หรือไม่ ? ”
“มีความเป็นไปได้ คัมภีร์โบราณบันทึกเอาไว้ว่าในสมัยโบราณบนดินแดนจงหยวนเคยมีมนุษย์ มาร และปีศาจอาศัยอยู่ร่วมกัน”
“ในตอนนั้นเผ่ามารและเผ่าปีศาจออกอาละวาด พลังของพวกมันอยู่เหนือเผ่ามนุษย์ของเรามาก ผ่านไปนานเท่าไรมิทราบได้กว่าเผ่ามนุษย์จะผงาดขึ้น และลุกขึ้นมาทำสงครามกับเผ่ามารและเผ่าปีศาจ จนสามารถขับไล่พวกมันออกไปได้”
“หากเป็นเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ ! ”
“ข้าว่าหากมิใช่ผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจถูกผนึกไว้ ก็ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่ามารถูกผนึกไว้เป็นแน่”
“……”
ขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้น หลี่ฉางหมิงก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลองกลาง
เขาเงยหน้าขึ้นมองตำหนักไท่เสวียนด้านหลังครู่หนึ่ง จากนั้นจึงร่ายเคล็ดวิชาลับ ก่อนจะเปล่งเสียงกึกก้องที่เต็มไปด้วยพลังขึ้น “ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนทุกคนจงฟัง ! ”
“พรึบ ! ”
ทันใดนั้นคนของทั้งสองสำนักราวร้อยคนที่อยู่ภายในลานต่างก็เงียบเสียงลง
หลี่ฉางหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกวาดตามองทุกคนพร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “เวลานี้เกิดอะไรขึ้นต่างก็มิมีผู้ใดรู้ ท่านเจ้าสำนักก็ยังมิได้ปรากฏตัว แต่คิดว่าเวลานี้ท่านก็คงรู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน”
เอ่ยถึงตรงนี้หลี่ฉางหมิงก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเจ้าก้าวขึ้นเขาไท่เสวียนมา ก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องรุ่งโรจน์และล่มสลายไปพร้อม ๆ กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”
“บัดนี้ให้ศิษย์ทุกคนอยู่กับข้าที่นี่อย่างสงบ เพื่อรอท่านเจ้าสำนักปรากฏตัว ห้ามก่อความวุ่นวายขึ้นในเวลานี้เด็ดขาด ! ”
ฟังจบเหล่าศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างก็สบตากัน ก่อนจะเปล่งเสียงขึ้นพร้อมกันว่า “พวกเรารับคำสั่งผู้สืบทอดขอรับ/พวกเรารับคำสั่งผู้สืบทอดเจ้าค่ะ ! ”
“ปัง ! ”
เอ่ยจบ ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างพากันนั่งลงกับพื้นอย่างมิลังเล โดยมิมีความหวาดกลัวใด ๆ ในสายตาของแต่ละคนเลย
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเห็นภาพนี้ต่างก็เผยสีหน้าปลื้มปิติออกมา
นักพรตจิ่วจวีเอ่ยพลางลูบหนวดตัวเองว่า “เพียงพริบตาผู้สืบทอดของเราก็โตเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ยังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้ เขามิใช่เด็กน้อยที่ชอบดื้อดึงคนนั้นอีกแล้ว”
นักพรตชิงเย่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ฉางหมิงมีพรสวรรค์โดดเด่นตั้งแต่เล็ก แม้นิสัยจะดื้อรั้นไปบ้าง แต่ก็พูดได้ว่าเขาคือความหวังที่จะได้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”
“จริงสิ แล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ? ”
ตอนนั้นเองนักพรตหยวนเจี้ยนที่ขมวดคิ้วมุ่น สายตาจับจ้องอยู่ที่ตำหนักไท่เสวียนก็เอ่ยถามขึ้น
เขาแผ่พลังจิตเพื่อต้องการตรวจสอบ แต่เมื่อมาถึงตำหนักไท่เสวียน พลังจิตก็ถูกค่ายกลที่วางไว้รอบตำหนักไท่เสวียนปิดกั้นเอาไว้
ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าซูบผอมท่านหนึ่งค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ฉางเสวียนได้รับสมบัติโบราณสองชิ้นจากเจ้าสำนักจื่อชิง ชิ้นหนึ่งตั้งใจจะมอบให้ท่านบรรพจารย์เย่ อีกชิ้นหนึ่งเขาคงอยากจะนำมาเพิ่มพลังให้แก่ค่ายกลป้องกันภูผาของเรา”
นักพรตหยวนเจี้ยนพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยออกมา “ใช้สมบัติโบราณสองชิ้นมาเพิ่มพลังให้แก่ค่ายกลป้องกันภูผา นับเป็นแผนการเพื่อประโยชน์ไปอีกแสนนาน แต่หากเกิดมีสิ่งใดผิดพลาดขึ้นล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่ตบะของศิษย์พี่ฉางเสวียนก็คงมิอาจรับมือได้เป็นแน่”
คำพูดของนักพรตหยวนเจี้ยน ทำให้เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะพากันหันไปมองทางตำหนักไท่เสวียน
มิไกลนัก
สวีฉิงเทียนและเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงต่างพากันยืนอยู่ตรงนั้น
มีคนเอ่ยถามขึ้น “ศิษย์พี่สวี นี่มันเรื่องอะไรกันหรือขอรับ ? ”
สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วแน่น และเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด เหอฉางเสวียนคงต้องการใช้สมบัติโบราณชิ้นหนึ่ง เพิ่มพลังให้แก่ค่ายกลป้องกันภูผาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเป็นแน่”
“กล่าวกันว่าค่ายกลป้องกันภูผาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน มีสมบัติโบราณชิ้นหนึ่งนามว่าตราประทับไท่เสวียนเป็นดวงตาค่ายกล แต่การจะใช้สมบัติโบราณสองชิ้นมาเป็นดวงตาค่ายกลนั้น ค่ายกลป้องกันภูผาจะสามารถรับได้อย่างนั้นหรือ ? ” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น
สวีฉิงเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “ค่ายกลป้องกันภูผาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั้นมิธรรมดา ต่อให้ใช้สมบัติโบราณสองชิ้นมาเป็นดวงตาค่ายกล ก็คงมิเกิดปัญหาอันใด”
“แต่ที่ข้ากังวลก็คือสมบัติโบราณสองชิ้น ที่เขาเอาจากข้าไปนั่นล้วนแต่มีผนึกที่มิควรเปิดออก สมบัติโบราณมีวิญญาณอาวุธสิงสถิตอยู่ ซึ่งมิรู้ว่าถูกผนึกมานานเท่าไรและอาจจะรวบรวมแรงแค้นเอาไว้มากมาย หากถูกเปิดออกเกรงว่าคงยากที่จะสะกดเอาไว้ได้”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ที่ได้ยินสวีฉิงเทียนเอ่ยออกมาต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ตอนนั้นเองถานไถชิง เสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างสวีฉิงเทียน ก็ได้เอ่ยออกมาตามตรงว่า “ท่านเจ้าสำนัก พลังของสมบัติโบราณนั้นแข็งแกร่ง หากสมบัติโบราณสองชิ้นเกิดปะทะกัน เกรงว่าคงนำภัยพิบัติมาสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้นะเจ้าคะ”
“สูด ! ”
ทุกคนที่ได้ยินต่างสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาทันที
ถานไถชิง เสวี่ยแม้อายุยังน้อย แต่คำพูดของนางนั้นกลับมิเกินจริงเลย
นี่เป็นการปะทะกันของสมบัติโบราณสองชิ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นเกรงว่าแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นก่อกำเนิดก็มิอาจป้องกันได้ จะต้องถูกทำลายและสิ้นใจอยู่ตรงนั้นเป็นแน่
สวีฉิงเทียนมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เพียงแต่จ้องมองไปทางตำหนักไท่เสวียนด้วยท่าทางเคร่งเครียด
‘ตาเฒ่าเหอ เจ้ารีบร้อนเพียงนี้เชียวหรือ ? ’
สวีฉิงเทียนพึมพำในใจ ‘บัดนี้ค่ายกลป้องกันภูผาถูกเปิดขึ้นแล้ว หากเกิดเรื่องที่มิคาดฝันขึ้น เกรงว่าคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของข้าก็คงติดร่างแหไปด้วย เจ้าตั้งใจยั่วโมโหข้าหรือต้องการตายไปพร้อมกับข้ากันแน่ ! ’
“โครม ! ”
หลังจากนั้นมิกี่อึดใจ เขาไท่เสวียนก็สั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง ตำหนักโบราณที่ตั้งอยู่เรียงรายต่างก็สั่นคลอน
เพียงพริบตาฝุ่นควันหนาทึบก็แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วราวกับมหาสมุทรฝุ่นควันอันกว้างใหญ่ และทำให้ทุกอย่างจมอยู่ด้านล่าง
“ครืน ! ”
ในตอนนั้นเองก็เกิดเสียงดังสนั่น ราวกับท้องฟ้าถูกแยกออกจากกัน
เมื่อจู่ ๆ ด้านหลังของตำหนักไท่เสวียนก็เกิดระเบิดขึ้น ลำแสงเจิดจ้าพุ่งขึ้นท้องนภา ทะลวงหมู่เมฆ เป็นภาพที่ตระการตายิ่งนัก
ขณะเดียวกันไอพลังอันน่ากลัวก็พวยพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนก และมิอยากจะเชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง สวีฉิงเทียนผู้นี้ “นี่… นี่มิใช่เพียงสมบัติโบราณ ! ”