ตอนที่ 67 อาวุธเทพจำแลงปรากฏ
“เป็นเพียงสมบัติโบราณที่ไหนกัน ? ! ”
เสียงของสวีฉิงเทียนมิดังมากนัก แต่สำหรับเหล่าผู้อาวุโสที่รายล้อมข้างกายกลับดังราวกับเสียงฟ้าคำรามก็มิปาน
“เป็นเพียงสมบัติโบราณที่ไหนกัน ? ”
“หรือว่าจะเป็นอาวุธเทพจำแลงในตำนานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หากเป็นอาวุธเทพจำแลงจริง เช่นนั้นก็เกิดปัญหาใหญ่แล้วสิ ! ”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยต่างหันไปมองสวีฉิงเทียนด้วยความตื่นตระหนก
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ว่า “ศิษย์พี่สวี หรือว่าจะเป็นอาวุธเทพจำแลงจริง ๆ หรือขอรับ ? ”
ใบหน้าของสวีฉิงเทียนเข้มขึ้น มือทั้งสองข้างกำแน่น ดวงตาจ้องเขม็งไปยังลำแสงเจิดจ้าที่พุ่งขึ้นมาจากด้านหลังของตำหนักไท่เสวียน ท่าทางราวกับมิได้ยินเสียงรอบกายใด ๆ อีก
มิกี่อึดใจต่อมา สวีฉิงเทียนจึงหันกลับมา พร้อมเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเรามีสมบัติโบราณชั้นสูงสองชิ้น ข้าเคยสัมผัสไอพลังของสมบัติโบราณสองชิ้นนั้น แต่ไอพลังอันน่ากลัวในเวลานี้กลับรุนแรงยิ่งกว่าสมบัติโบราณชั้นสูงเสียอีก”
“เช่นนั้นหากข้าเดามิผิดล่ะก็ สมบัติโบราณสองชิ้นที่ข้ามอบให้แก่เหอฉางเสวียนตอนประลองพ่ายแพ้ หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นอาวุธเทพจำแลงเป็นแน่”
คำพูดของสวีฉิงเทียนราวกับหินก้อนเดียวสะเทือนไปทั่วทั้งมหาสมุทร
เพียงพริบตาเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงต่างก็มีท่าทีเดือดดาลขึ้นมา
“ศิษย์พี่สวี ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือไร อยู่ดี ๆ เหตุใดถึงได้มอบอาวุธเทพจำแลงในตำนานให้เจ้าสำนักไท่เสวียนได้เล่า”
“ใช่แล้ว อาวุธเทพจำแลงหนึ่งชิ้นมากพอที่จะเอาชนะสมบัติโบราณชั้นสูงหลายชิ้นได้ หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเรามีอาวุธเทพจำแลงสักชิ้น ก็คงทำให้เราเป็นหนึ่งในจงหยวนได้มิยาก”
“ศิษย์พี่สวี ท่านประมาทเกินไปแล้ว ถึงขนาดปล่อยให้ของดีเช่นนี้หลุดไปอยู่ในมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้”
“จริง หากเป็นเพียงสมบัติโบราณสองชิ้นก็คงจะมิมีปัญหาอะไร แต่นี่กลับเป็นถึงอาวุธเทพจำแลง เรื่องนี้สำคัญยิ่ง”
“ศิษย์พี่ลวี่ ท่านพูดได้ถูกต้องแล้ว สมบัติโบราณหนึ่งชิ้นพวกเราให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้ แต่อาวุธเทพจำแลงในตำนาน เรื่องนี้มิอาจยกให้ได้อย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว เพื่ออาวุธเทพจำแลงชิ้นนี้ แม้ต้องเปิดศึกก็มิอาจปฏิเสธได้ ! ”
ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงบางคนตำหนิสวีฉิงเทียน บางคนก็โวยวายด้วยความมิพอใจอยู่นั้น
“หากเป็นอาวุธเทพจำแลงจริง เกรงว่าคงเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นเป็นแน่”
ทุกคนจ้องไปที่ถานไถชิง เสวี่ยเป็นสายตาเดียวกัน ริมฝีปากเรียบบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ข้าเคยเห็นในคัมภีร์โบราณที่มิสมบูรณ์เล่มหนึ่ง อาวุธเทพจำแลงที่ตกทอดมาจากบรรพกาลส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาวุธอัปมงคล”
“สมบัติโบราณสองชิ้นนั้นของท่านเจ้าสำนักมาจากดินแดนอันตรายแห่งหนึ่งในสมัยบรรพกาล อีกทั้งยังถูกผนึกเอาไว้ หากดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วคงมีสมบัติอย่างน้อยหนึ่งชิ้นที่ถูกเปิดผนึกขึ้น นอกจากนี้ค่ายกลป้องกันภูผาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนถูกเปิดแล้ว นั่นหมายความว่าตอนนี้พวกเรามิว่าใครก็มิอาจหนีออกไปจากที่นี่ได้”
ทันทีที่ถานไถชิง เสวี่ยเอ่ยจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมทันใด ถึงขนาดเข็มตกพื้นก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะสบตากันและหันไปมองสวีฉิงเทียนที่มีท่าทางเคร่งเครียดมิพูดมิจา
สวีฉิงเทียนมองถานไถชิง เสวี่ยด้วยสายตาปลาบปลื้ม พลันเอ่ยราวกับยิ้มเยาะตนเองว่า “ชิง เสวี่ย หากวันนี้พวกเราหนีไปจากที่นี่ได้ และภายภาคหน้าเจ้าได้เป็นผู้สืบทอดคนต่อไป ข้ามั่นใจว่าต่อไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจะต้องมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งสี่สมุทรแปดดินแดนอย่างแน่นอน”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงกลืนน้ำลายลงคอ ทุกคนต่างก็มีสีหน้าละอายแก่ใจ
เพราะเมื่อเผชิญกับอาวุธเทพจำแลงในตำนาน สิ่งที่ผู้อาวุโสที่มีชีวิตมานับพันปีเช่นพวกเขาคิดถึงเป็นสิ่งแรก หากมิใช่การกล่าวโทษก็เป็นเรื่องที่ต้องการนำอาวุธเทพจำแลงกลับมา
แต่สิ่งที่ผู้สืบทอดแม้อายุยังน้อยอย่างถานไถชิง เสวี่ยคิดถึง กลับหาใช่เรื่องพวกนี้ไม่
นั่นทำให้พวกเขาดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
น่าละอายนัก !
มีชีวิตมาจนป่านนี้ช่างเปล่าประโยชน์จริง ๆ !
ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสต่างมองมาที่ถานไถชิง เสวี่ยด้วยแววตาปลาบปลื้ม แต่ถานไถชิง เสวี่ยกลับค่อย ๆ หันไปมองทางทิศใต้ สีหน้าดูสับสนกระวนกระวายมิน้อย
‘ท่านเย่ บัดนี้อันตรายอยู่ตรงหน้า หากอาวุธเทพจำแลงชิ้นนี้ปรากฏขึ้นจริง ๆ ถึงตอนนั้นเกรงว่าที่นี่คงได้กลายเป็นขุมนรก และข้าก็คงยากที่จะหนีรอดไปได้’
ถานไถชิง เสวี่ยพึมพำกับตนเองว่า ‘ท่านเย่ ผู้ที่ตบะแก่กล้าเช่นท่านคงรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่แล้ว ท่านจะเลือกยื่นมือเข้ามาช่วยหยุดยั้งภัยพิบัติครั้งนี้หรือไม่เจ้าคะ ? ’
สวีฉิงเทียนที่กำลังเคร่งเครียดได้สังเกตเห็นท่าทีของถานไถชิง เสวี่ยในเวลานี้เข้าโดยบังเอิญ จึงเอ่ยในใจว่า ‘ใช่แล้ว หากท่านเย่ผู้นั้นเป็นผู้อาวุโสที่เหอฉางเสวียนเอ่ยถึง เช่นนั้นเขาจะต้องมิมีทางนั่งดูอยู่เฉย ๆ แน่’
“ปัง ! ”
ตอนนั้นเองจู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับลำแสงจากทางด้านหลังของตำหนักไท่เสวียนที่เจิดจ้าขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่จะมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้น
ขณะเดียวกันพลังและไอสังหารอันน่ากลัวก็แผ่กระจายออกมา
วินาทีนี้ มิว่าจะเป็นพวกสวีฉิงเทียนที่บรรลุขั้นเทวา หรือว่าศิษย์ที่มีพลังต่ำต้อยที่สุดของทั้งสองสำนัก ต่างก็อกสั่นขวัญแขวนจนแทบจะลืมหายใจไปตาม ๆ กัน
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ? ”
“สิ่งใดกันที่ทำให้เกิดพลังและไอสังหารที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ ! ”
ตอนนั้นเองเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงของเหตุการณ์นี้
เดิมพวกเขามองว่าการใช้สมบัติโบราณชิ้นหนึ่งมาเสริมพลังให้แก่ค่ายกลป้องกันภูผา จะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับดินแดนศักดิสิทธิ์ไท่เสวียนได้อย่างแน่นอน
หากเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถอธิบายถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้
แต่บัดนี้เหตุการณ์กลับตาลปัตร พวกเขาทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงไอสังหารอันน่ากลัว ที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรมายาวนานเช่นพวกเขา ยังอดที่จะอกสั่นขวัญแขวนมิได้
แน่นอนว่าเรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือค่ายกลป้องกันภูผาเปิดขึ้นแล้ว มิว่าผู้ใดก็มิอาจหนีไปจากที่นี่ได้
“นั่นมันอะไรกัน ? ”
ขณะนั้นเองก็มีเสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมา ก่อนที่ทุกคนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่สว่างเจิดจ้า
ระฆังสำริดขนาดใหญ่ใบหนึ่งค่อย ๆ ลอยขึ้นมาท่ามกลางลำแสงนั้น
ระฆังสำริดใบนี้ช่างดูแปลกประหลาดนัก
รอบ ๆ ระฆังสำริดมีไอพลังที่ปั่นป่วนลอยวนอยู่ สัญลักษณ์โบราณมากมายส่องประกาย ลำแสงสีเลือดออกมาปกคลุมระฆังสำริดเอาไว้
ระฆังสำริดใบนี้หาได้มีสนิมจับอีกต่อไปไม่ ตัวระฆังเปล่งประกายเรืองรองราวกับหินมรกตที่ถูกแกะสลักขึ้นมา รอบ ๆ ระฆังมีคลื่นแสงกระเพื่อมขึ้นมาเป็นระยะ ดูงดงามและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
และสิ่งที่ทุกคนรับรู้ได้อย่างชัดเจนก็คือ มิว่าจะเป็นไอพลังทำลายล้างก่อนหน้านี้ หรือว่าพลังและไอสังหารอันน่ากลัว ล้วนมาจากระฆังสำริดที่เหมือนวัตถุมงคลชิ้นนี้ทั้งสิ้น
“ปัง ! ”
ตอนนั้นเองก็มีแสงหนึ่งพุ่งมาจากตำหนักไท่เสวียน ราวกับสายรุ้งสีขาวที่พาดผ่านดวงตะวัน ก่อนจะมาหยุดลงตรงมิไกลจากที่สวีฉิงเทียนยืนอยู่มากนัก
ทุกคนต่างหันไปมองเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะพบว่าเป็นเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน นักพรตฉางเสวียนนั่นเอง
เพียงแต่นักพรตฉางเสวียนในเวลานี้ช่างดูย่ำแย่ยิ่งนัก
ผมเผ้าหลุดลุ่ย เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดฉายชัดถึงความสิ้นหวัง
“สวีฉิงเทียน เจ้าทำให้ข้าต้องกลายเป็นคนบาป ! ”
นักพรตฉางเสวียนจ้องเขม็งไปที่สวีฉิงเทียน และคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น