ตอนที่ 70 ทุกสิ่งกระจ่างและเงื่อนไขของเจ้าสำนักจื่อชิง
ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้าไปชั่วขณะ
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
‘แม้จะเป็นเพียงภาพวาดทิวทัศน์แต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังอันน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ ทั้งยังสามารถทำลายพลังอันน่ากลัวของอาวุธเทพจำแลงลงได้อย่างง่ายดาย’
‘เช่นนั้น ! ’
‘ผู้ใดเป็นคนวาดภาพนี้กัน ? ’
“โอ๊ย ไม่ เป็นไปมิได้ ! ”
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เสียงแหลมเล็กที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนที่ได้ยินเสียงนั้นต่างก็หันไปมอง เห็นเป็นจิตวิญญาณอาวุธที่มีเปลวไฟสีดำแผดเผารอบกายกำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ดูหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
“เป็นไปมิได้ ข้าถูกผนึกมาแสนนาน เหตุใดยุคนี้ยังมีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้…”
เปลวไฟสีดำปะทุขึ้นอย่างรุนแรง จิตวิญญาณอาวุธส่ายหน้าไปมา พร้อมกับก้าวถอยหลังไปอย่างซวนเซ
“ฟิ้ว ! ”
ทันใดนั้นภาพอันน่าอัศจรรย์พลันปรากฏ
ภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดค้างอยู่กลางอากาศที่สูงหลายร้อยจั้ง ก่อนจะกางออกและคว่ำหน้าลงกับพื้น
มิกี่อึดใจต่อมาก็ได้ส่องลำแสงที่นุ่มนวลอบอุ่นออกมา ราวกับแสงตะวันยามเช้าปกคลุมไปทั่วทั้งเขาไท่เสวียน
หมอกมงคลเข้าปกคลุมทั่วทุกยอดเขา ไอหมอกไหลเอื่อย ห้อมล้อมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเอาไว้ ดูสงบร่มเย็นราวกับแดนเซียนก็มิปาน
มินานภาพที่อัศจรรย์พันลึกก็ปรากฏขึ้น
เมื่อเหนือยอดเขาทั้งหลายได้ปรากฏภาพซ้อนมากมายขึ้น ก่อนจะคล้อยต่ำลงมาซ้อนทับยอดเขาแต่ละยอด
ทันใดนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากค่ายกลป้องกันภูผาพลันมลายหายไป นั่นหมายความว่าค่ายกลป้องกันภูผาตอนนี้ได้ถูกปิดลงแล้ว
เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เห็นภาพตรงหน้า ต่างก็เต็มไปด้วยความงุนงง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
แม้แต่ละคนจะเกิดความสงสัยขึ้นภายในใจมากมาย แต่เวลานี้ภายในใจของพวกเขากลับสงบลงราวกับสายธาราไหลนิ่ง จึงทำได้เพียงจ้องมองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ เท่านั้น
“ตึง ! ”
แต่จู่ ๆ ก็เกิดเสียงทุ้มต่ำดังทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อทุกคนหันไปมอง ก็พบจิตวิญญาณอาวุธที่แบกระฆังสำริดอยู่นั้น ได้จำแลงเป็นลำแสงโดยอาศัยโอกาสที่ค่ายกลป้องกันภูผาถูกปิดลง เพื่อหลบหนีออกจากที่นี่
ทว่าสุดท้ายกลับส่งเสียงดังสนั่น ราวกับชนเข้ากับกำแพงเหล็กกล้า
ทันใดนั้นคลื่นพลังอันรุนแรงก็ได้พุ่งเข้าชนจนรอบ ๆ จิตวิญญาณอาวุธปรากฏรอยแยกขึ้นทันที
“ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะทำให้ที่นี่กลายเป็นนรกให้ดู ! ”
เปลวไฟสีดำปะทุอย่างรุนแรง จิตวิญญาณอาวุธที่แบกระฆังสำริดไว้ด้านหลังส่งเสียงคำรามกึกก้องออกมา
“อ๊าก ! ”
ภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงเปล่งลำแสงสีขาวออกมา และปกคลุมจิตวิญญาณอาวุธที่ล้อมรอบด้วยเปลวไฟสีดำเอาไว้ภายในพริบตา
“โอ๊ย ! ”
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
คนของทั้งสองสำนักที่ได้ยินเสียงนี้ต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความหวั่นเกรง
นี่คืออาวุธเทพจำแลงในตำนาน เป็นยอดอาวุธแห่งยุคเลยก็ว่าได้
แต่สุดท้ายเพียงแค่ภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงปล่อยลำแสงออกมา กลับทำให้มันส่งเสียงร้องอย่างทรมานถึงเพียงนี้ได้
และสิ่งที่ทุกคนสงสัยยิ่งกว่านั้นก็คือ นั่นมันคือแสงอะไรกันแน่ !
มินานหลังถูกลำแสงสีขาวส่องลงมาปกคลุม เปลวไฟสีดำที่ปะทุอยู่รอบกายจิตวิญญาณอาวุธก็ค่อย ๆ สลายไป จนในที่สุดก็เผยร่างที่แท้จริงของจิตวิญญาณอาวุธออกมา
ร่างที่แท้จริงของเขาเป็นชายร่างผอม ผมสีดำยาวประบ่า สีผิวขาวซีดจนน่ากลัว รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า ดูน่ากลัวยิ่งนัก
เวลานี้เขากำลังคุกเข่าอยู่กลางอากาศ ระฆังสำริดที่ลอยอยู่เหนือศีรษะแผ่แสงสีเขียวออกมา ราวกับกำลังต้านทานพลังอันน่ากลัวของลำแสงสีขาวอยู่
“เป็นไปมิได้ เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์นี้มิควรปรากฏในยุคนี้ ข้ามิยอม ข้ามิยอม ! ”
จิตวิญญาณอาวุธส่งเสียงคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงแหบแห้งยังคงแหลมเล็ก แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความขัดเคืองปนโศกเศร้า
สิ้นเสียงของจิตวิญญาณอาวุธก็เกิดเสียงปังดังขึ้น เป็นเสียงของจิตวิญญาณอาวุธที่ถูกลำแสงสีขาวที่แฝงไว้ด้วยพลังอันน่ากลัวโจมตี
“อ๊าก ! ”
หลังจากลำแสงสีขาวส่องกระทบร่างของจิตวิญญาณอาวุธ จิตวิญญาณอาวุธพลันส่งเสียงคำรามออกมาอย่างน่าเวทนา ราวกับถูกแผดเผาจริง ๆ
แต่มิกี่อึดใจต่อมา จิตวิญญาณอาวุธก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงนุ่มนวลหลอมรวมไปกับระฆังสำริดใบนั้น ก่อนจะจำแลงเป็นลำแสงสีเขียวอันงดงามพุ่งไปทางตำหนักไท่เสวียน
เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ของทั้งสองสำนักที่ได้เห็น ต่างก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าสับสน
‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ? ’
‘เหตุใดระฆังสำริดจึงพุ่งไปทางตำหนักไท่เสวียน แล้วเกิดอะไรขึ้นกับจิตวิญญาณอาวุธงั้นหรือ ? ’
สวีฉิงเทียนที่ดูอ่อนแรงและยังคงมีใบหน้าซีดขาวเม้มริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อย “พี่เหอ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่งั้นหรือ ? ”
ฟังจบนักพรตฉางเสวียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเวทีประลองเวทีหนึ่ง ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตามตรงว่า “ระฆังสำริดใบนั้นได้ถูกประสานเข้ากับตราประทับไท่เสวียนโดยสมบูรณ์ และตอนนี้มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลป้องกันภูผาแล้ว”
ค่ายกลป้องกันภูผาเป็นรากฐานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เช่นนั้นเจ้าสำนักอย่างนักพรตฉางเสวียน จึงสามารถรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตฉางเสวียนจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “พี่สวี ดูท่าข้าคงมิสามารถคืนอาวุธเทพจำแลงชิ้นนี้ให้ท่านได้แล้ว เช่นนั้นท่านบอกเงื่อนไขมาเถิด ข้าจะพยายามทำให้ได้”
สวีฉิงเทียนรวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินนักพรตฉางเสวียนเอ่ยเช่นนั้น
‘นั่นมันอาวุธเทพจำแลงในตำนานเชียวนะ ! ’
‘แม้แต่ในสมัยบรรพกาลก็ยังนับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ยิ่งมิต้องพูดถึงในยุคนี้’
‘แต่บัดนี้กลับถูกประสานรวมกับค่ายกลป้องกันภูผาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนไปเสียแล้ว ! ’
คิดถึงตรงนี้เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ต่างสบตากันอย่างมิพอใจ
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งจึงเอ่ยด้วยความโมโหว่า “เจ้าสำนักไท่เสวียน นี่เป็นอาวุธเทพจำแลงในตำนาน หาใช่เศษเหล็กธรรมดาไม่”
“พี่จ้าว ท่านระวังคำพูดหน่อยก็ดี ! ”
นักพรตหยวนเจี้ยนที่มีนิสัยมุทะลุตอบโต้ผู้อาวุโสท่านนั้นทันที “อาวุธเทพจำแลงชิ้นนี้เป็นเพราะเจ้าสำนักของพวกเจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์พี่ฉางเสวียน อีกทั้งบัดนี้ ระฆังสำริดใบนี้ก็ถูกประสานรวมกับค่ายกลป้องกันภูผาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนโดยสมบูรณ์แล้ว หากจะแยกออกมาย่อมเกิดปัญหาใหญ่เป็นแน่”
จ้าวฉางชุนจึงเอ่ยอย่างมิยอมแพ้ว่า “เช่นนั้นเจ้าจงบอกมา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกเจ้ามีอะไรที่เหนือกว่าอาวุธเทพจำแลงชิ้นนี้บ้าง ? ”
เป็นนักพรตหยวนเจี้ยนที่พูดอะไรมิออก
สวีฉิงเทียนมองนักพรตฉางเสวียน และลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “พี่เหอ ข้าตัดสินใจแล้วหากท่านสามารถรับปากข้าอย่างหนึ่งได้ ต่อไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของท่านก็เก็บอาวุธเทพจำแลงชิ้นนี้ไว้เถิด”
นักพรตฉางเสวียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ พลางเม้มริมฝีปาก “นอกเสียจากภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงอันเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนภาพนี้ เชิญเจ้าบอกมาได้เลย”
สวีฉิงเทียนยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ “พี่เหอ ข้าหวังจะได้พบท่านบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนสักครั้งหนึ่ง”
“หืม ? ! ”
นักพรตฉางเสวียนถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางเคร่งเครียด แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา