ตอนพิเศษ 7 จิตใจของเขา เริ่มวุ่นวายเสียแล้ว
เมื่อเห็นหลิงลั่วไม่ได้เอ่ยปากอีก จวินรุ่ยซีก็เบะปากอย่างน้อยใจ สายตามองไปยังประตูทางเข้าของหอรุ่ยซี
ในเวลานี้ นางหวังเป็นอย่างมากว่าท่านพี่ทั้งสองคนของนางจะเยื้องกรายลงมาเหมือนเป็นเทวดา แล้วก็มาโปรดชีวิตนางท่ามกลางความทุกข์ยาก!
สุดท้าย ในขณะที่จวินรุ่ยซีกำลังไม่ย่อท้ออยู่นั้น จวินนั่วเหยียนกับฉู่อิ้งหานก็มาปรากฏตัวที่ประตูใหญ่ของหอรุ่ยซี
ถึงแม้จวินลั่วชิงที่มักจะกวนประสาทจวินชิงเหยียนเป็นประจำ จนทำให้จวินชิงเหยียนไม่อาจทานทนไหวจะไม่ได้มาด้วย แต่ว่าที่จวินนั่วเหยียนกับฉู่อิ้งหานมาเยือนนั้นก็ทำให้จวินรุ่ยซีดีใจอย่างมากแล้ว อย่างไรเสียในบรรดาเด็กอย่างพวกเขาสามคน คนที่จวินชิงเหยียนฟังคำพูดมากที่สุด นั่นก็คือจวินนั่วเหยียน
แม้ว่าคำพูดของหลิงลั่วจะได้ผลที่สุด แต่ว่าครั้งนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาได้ตัดสินใจผนึกกำลังร่วมมือกัน
“ท่านพ่อ นี่มันอะไรกัน เหตุใดถึงให้เป่าเป้ยคุกเข่าที่อยู่ตรงนี้”
จวินนั่วเหยียนเดินไปข้างๆ จวินชิงเหยียน รูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่ได้ให้แก่จวินชิงเหยียน สองคนนี้ยืนอยู่ด้วยกันก็ไม่เหมือนเป็นพ่อกับลูก แต่เหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่า
“หากอยากขอความเมตตาให้รุ่ยเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าก็คิดทบทวนในใจเจ้าให้ดี” จวินชิงเหยียนกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ท่านพ่อ อย่างไรแล้วรุ่ยเอ๋อร์ก็เป็นเด็กผู้หญิง… ลงโทษนางเช่นนี้ คงไม่อาจทานไหว”
ฉู่อิ้งหานมองจวินรุ่ยซีที่กำลังคุกเข่าอยู่ใต้ดวงตะวัน ก็เกิดรู้สึกทนไม่ไหว
“หากนางยังทราบว่าตนเองเป็นเด็กผู้หญิง ก็ควรทำในสิ่งเหล่านั้นที่เด็กผู้หญิงสมควรกระทำ”
จวินชิงเหยียนมองจวินรุ่ยซีครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “หนึ่งชั่วยาม ถึงเวลาแล้วค่อยลุกขึ้นอีกครั้ง”
กล่าวเสร็จ ก็มองฉู่อิ้งหานที่อยู่ทางข้างหลังแวบหนึ่ง และก็จูงมือหลิงลั่วเดินออกจากหอรุ่ยซีไปโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร
“หนึ่งชั่วยาม ท่านพ่อก็ได้เมตตาแล้วจริงๆ”
จวินนั่วเหยียนมองจวินรุ่ยซี แล้วก็มองฉู่อิ้งหานที่อยู่ข้างๆ อีกครั้งอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เป่าเป้ย พี่ก็ช่วยเจ้าได้แค่เพียงเท่านี้”
ฉู่อิ้งหานหยิบเบาะรองอันหนึ่งออกมาจากข้างหลัง และยื่นให้จวินรุ่ยซี “รุ่ยเอ๋อร์ ให้เจ้า”
จวินรุ่ยซีรีบรับมาแล้ววางไว้ที่ใต้หัวเข่า เช่นนั้นก็รู้สึกสบายขึ้นมากในทันที
“ขอบคุณพี่สะใภ้!”
…
กลางคืน จวินรุ่ยซีนอนฟุบอยู่บนขอบหน้าต่าง มองดวงดาวดาษดาอยู่เต็มฟากฟ้า ความคิดก็ค่อยๆ แล่นออกไปไกล
ตอนนี้เณรน้อย กำลังทำอะไรอยู่นะ…
ณ วังหลวง ในตำหนักรับรอง เจียสือกำลังนั่งสมาธิอยู่ด้วยกันกับหลวงพ่อฮุ่ยเหนิง จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ มองไปข้างนอกหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่ เห็นดวงดาวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า
ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอีก
เหมือนว่าหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของเจียสือ เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองเจียสือข้างกายที่เหม่อลอยอยู่บ้าง
“เจียสือ”
ได้ยินเสียงของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิง เจียสือก็รีบหันหน้ากลับมา “อาจารย์อา”
“จิตใจของเจ้า เริ่มวุ่นวายเสียแล้ว”
เสียงของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงเหมือนเป็นกำปั้น ซึ่งอัดเข้าที่ใจของเจียสือ
จิตใจของเขา เริ่มวุ่นวายเสียแล้วหรือ? เป็นเพราะท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ที่เคยพบหน้าเพียงแค่สองครั้งอย่างนั้นรึ?
“วันนี้ ท่านหญิงแห่งจวนเหยียนอ๋องมาเยือนหรือ”
เจียสือชะงัก เขาที่ไม่เคยพูดปด ก็ยังคงพยักหน้า “ใช่ขอรับ อาจารย์อา”
“ต่อไปอยู่ห่างจากนางสักหน่อย หาไม่แล้วนางจะทำให้จิตใจของเจ้ายิ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ”
“… ขอรับ อาจารย์อา”
…
ถึงแม้หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงจะกล่าวเช่นนี้ แต่เจียสือก็ยังไม่อาจต้านทานนิสัยที่เร่าร้อนเปิดเผยของจวินรุ่ยซีได้
แม้ว่าจะถูกจวินชิงเหยียนลงโทษแล้ว แต่จวินรุ่ยซีก็ยังสามารถฉวยโอกาสยามที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงไปสวดมนต์ที่สุสานหลวง มาหาเจียสือที่ตำหนักรับรองได้อย่างตรงเวลาทุกวัน
ถึงแม้ว่าตอนแรกเจียสือก็เชื่อฟังคำพูดของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงเป็นอย่างมาก แต่วันแล้ววันเล่า จิตใจข้างในที่ต่อต้านขัดขืน ก็ถูกเด็กสาวผู้ร่าเริงคนนี้เปิดแง้มออกเสียแล้ว…
ตอนพิเศษ 8 ไม่มีผู้ใดที่จะไม่คู่ควรกับบุตรสาวของพวกเรา
วันนี้หลังจากจวินรุ่ยซีกลับมาที่หอรุ่ยซีจากตำหนักรับรองแล้ว กลับพบว่าหลิงลั่วได้รอนางอยู่ภายในห้องแล้ว
“ท่านแม่? เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่”
จวินรุ่ยซีเดินไปใกล้หลิงลั่ว และเอ่ยถามขึ้น
หลิงลั่ววางถ้วยชาที่ถือเล่นอยู่ในมือลง หัวเราะอย่างอ่อนโยนเบาๆ และกล่าวว่า “ไม่ใช่เพราะว่ากว่าครึ่งเดือนนี้เป่าเป้ยมักไปที่ในวังหลวงอยู่เป็นประจำหรอกหรือ? แม่ก็สงสัยอยู่ในใจนักว่าวังหลวงมีความน่าดึงดูดต่อเป่าเป้ยมากขนาดนี้ตั้งแต่ยามใดกัน”
ในฐานะที่เป็นบุตรสาวของหลิงลั่ว จวินรุ่ยซีย่อมทราบว่าท่านแม่ของตนเองมีความเฉลียวฉลาดมากเพียงใด เมื่อนางถามอย่างนี้แล้ว ก็หมายความว่านางพอจะได้ทราบคร่าวๆ เสียแล้ว เพียงแต่รอให้นางสารภาพมาตามตรง
แต่ว่าจวินรุ่ยซีก็ไม่ได้กลัวที่จะสารภาพกับหลิงลั่ว อย่างไรเสียตั้งแต่เล็กจนโต นางก็บอกเรื่องทุกอย่างกับหลิงลั่วทั้งหมดอยู่แล้ว
“ท่านแม่ ท่านรู้จักเจียสือหรือไม่ เขาเป็นคนที่ดีมากจริงๆ นะ เพียงแต่มีบางครั้งที่ช่างเลือกมากเกินไป จริงๆ แล้วก็คือสมองทึ่มนั่นแหละ”
หลิงลั่วมองจวินรุ่ยซีอย่างตะลึงเล็กน้อย
เมื่อจวินรุ่ยซีกล่าวถึงเจียสือ ในดวงตาจะเปล่งประกายแวววับ
สำหรับสายตานั้น หลิงลั่วเห็นแล้วก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้
นั่นคือสายตาที่จะมีให้แค่คนที่คิดถึงซึ่งเป็นคนที่รักได้เท่านั้น หรือว่าเป่าเป้ยจะชอบเขาเข้าเสียแล้ว…
หลิงลั่วแค่รู้สึกเหลือเชื่อ แต่ว่าต่อให้จวินรุ่ยซีจะชอบเจียสือเข้าแล้ว แต่ทางเจียสือนั้น…
“เป่าเป้ย เจียสือเขา ชอบ… พูดคุยกับเจ้าหรือไม่”
หลิงลั่วไม่ได้เอ่ยถามตรงๆ เพราะว่านางทราบดี ว่าจวินรุ่ยซีไม่รู้ว่าความชอบคืออะไร
“ชอบสิ!”
จวินรุ่ยซีพยักหน้าอย่างเป็นสุข “ถึงแม้ตอนแรกเณรน้อยจะเย็นชาและเฉยเมยมาก แต่ว่าในภายหลัง เขายังเหลือขนมและของหวานไว้ให้รุ่ยเอ๋อร์ทุกวันเลย”
หลิงลั่วทราบว่าจวินรุ่ยซีไม่ได้พูดโกหก เพราะว่าบุตรสาวของนางพูดโกหกไม่เป็น แต่ว่าอนาคตเจียสือจะกลายต้องเป็นเจ้าอธิการวัดชิงย่วน ไม่ต้องพูดถึงหลวงพ่อฮุ่ยจื้อที่เป็นอาจารย์ของเจียสือ ต่อให้หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงผู้ที่เป็นอาจารย์อาคนนั้น ก็เป็นตัวละครซึ่งยากจะรับมือได้
มองท่าทางที่เป็นสุขของจวินรุ่ยซีแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหลิงลั่วก็กลับไม่อาจกล่าวคำพูดว่า ‘อยู่ให้ห่างจากเจียสือสักหน่อย’ ที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากออกไปได้
หลิงลั่วลูบศีรษะน้อยของจวินรุ่ยซี และกล่าวว่า “เอาเถิดเป่าเป้ย แม่ทราบแล้ว พักผ่อนให้เร็วหน่อยเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเข้าวังอีกมิใช่หรือ?”
“อืม!”
จวินรุ่ยซีพยักหน้า ไปบ้วนปากล้างหน้าและเข้านอนอย่างว่าง่าย
แต่จนกระทั่งกลับไปถึงเขตลานบ้าน หลิงลั่วก็ยังเหม่อลอยอยู่บ้าง
จวินชิงเหยียนเห็นสภาพหลิงลั่วจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็พลันตระหนก ครั้นแล้วจึงเอ่ยปากถาม “เป็นอะไรหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลิงลั่วมองทางจวินชิงเหยียน และเอ่ยถามว่า “สิบสี่ ถ้าหากเป่าเป้ยมีคนที่ชอบ เจ้าจะสนับสนุนนางหรือไม่?”
จวินชิงเหยียนพลันตะลึงงัน และหัวเราะเบาๆ “ย่อมแน่อยู่แล้ว”
“แล้วหากว่าคนผู้นั้น เป็นภิกษุเล่า”
“…”
จวินชิงเหยียนมองหลิงลั่ว บนใบหน้าหลิงลั่วจริงจัง ไม่มีเจตนาล้อเล่นแต่อย่างใด ก็เอ่ยอีกครั้งว่า “ไม่ว่าเป็นใคร ไม่มีผู้ใดที่จะไม่คู่ควรกับบุตรสาวของพวกเรา ถ้าหากนางชอบ แม้ว่าอีกฝ่ายเป็นขอทาน ข้าก็จะไม่กล่าวคำใดเลยสักคำ”
หลิงลั่วเห็นดังนี้ก็หัวเราะออกมาแผ่วเบา ดูเหมือนว่านางก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปคัดค้านเสียแล้วสิ
เช่นนั้นก็ปล่อยวาง และปล่อยให้จวินรุ่ยซีไปทำแล้วกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น มีแขกคนหนึ่งมาเยือนจวนเหยียนอ๋อง และแขกผู้ที่มาเยือนนั้นก็เป็นคนที่อยู่ในความคาดหมายของหลิงลั่ว
“เหตุใดหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงถึงมีเวลาว่างมาในวันนี้ ไม่ต้องไปสวดมนต์ภาวนาให้ฮ่องเต้องค์ก่อนที่สุสานหลวงหรือ”
ในโถงหน้า หลิงลั่วนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก มองหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงที่นั่งอยู่บนที่นั่งแขก และหัวเราะออกมาเบาๆ