ตอนพิเศษ 9 ข้าจะสนับสนุนนาง
หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงมองหลิงลั่วครู่หนึ่ง และก็กล่าวแถลงเจตนาที่มาเยือนในทันที
“เหยียนหวังเฟย อาตมาก็เคารพท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าขอท่านได้โปรดเพิ่มการควบคุมดูแลท่านหญิงรุ่ยซีให้มากยิ่งขึ้น เจียสือเป็นลูกศิษย์คนแรกแห่งวัดชิงย่วนของอาตมา อนาคตต้องรับช่วงต่อวัดชิงย่วน และกลายเป็นเจ้าอธิการ เขาไม่ได้รู้ซึ้งถึงทางโลก และก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกระหว่างบุรุษสตรีมีความอันตรายมากเพียงใด”
หลิงลั่วมองหลวงพ่อฮุ่ยเหนิง อันที่จริงหลิงลั่วก็ได้คาดเอาไว้ก่อนแล้วว่าเขาคงจะมาหานางเพราะเรื่องนี้ แต่ไม่พบไม่เจอ ไม่นึกว่าจะมาหากันเร็วขนาดนี้
“หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงกล่าวเช่นนี้หมายความอย่างไร อยากเจรจาต่อรองกับผู้ใดกัน เป็นเรื่องของเจียสือเองมิใช่หรือ แล้วเหตุใดแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงยังต้องถามเล่า?”
หลิงลั่วถามสามคำถามต่อเนื่องกัน แต่ละคำถามล้วนเป็นการเข้าข้างปกป้องในความสัมพันธ์ส่วนตัวของเจียสือกับจวินรุ่ยซี
“เจียสือจะคบค้าส่วนตัวกับผู้ใด เป็นเรื่องของเขาเองจริงๆ แต่ว่าอาตมาก็ไม่มีทางปล่อยให้มีสิ่งกัดขวางใดปรากฏขึ้นบนเส้นทางอนาคตที่สดใสของเจียสือได้เด็ดขาด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงลั่วก็นิ่วคิ้วเล็กน้อย “บุตรสาวของข้าเป็นนายหญิงเพียงคนเดียวของแคว้นจวินกั๋ว ไม่ว่านางจะชอบใคร ข้าไม่มีทางจะก้าวก่าย แต่กลับจะสนับสนุนนางเสียอีก”
“หวังเฟย ท่านทำเช่นนี้จะทำร้ายเด็กทั้งสองคนนี้ อนาคตของเจียสือหาที่สุดมิได้ จะดับสูญไปเพียงเพราะสตรีคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด!”
หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงกล่าวด้วยอารมณ์ที่ปั่นป่วน และในตอนสุดท้ายก็กล่าวขึ้นเสียงสูง
“อนาคตของเจียสือก็เป็นการตัดสินใจของเขาเอง พวกเราไม่ว่าใครก็ไม่อาจก้าวก่ายอนาคตของเขาได้ นั่นเป็นเรื่องของเขาเอง”
หลิงลั่วก็มองกลับไปที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงอย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนด้อยให้เลยสักนิด มือของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงกำลูกประคำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็คลายออกอย่างช้าๆ “ไม่ว่าจะอย่างไร เจียสือก็เป็นคนของวัดชิงย่วน สามวันหลังจากงานพิธีบวงสรวงฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นสุดลง อาตมาจะพาเจียสือไปเสีย”
กล่าวเสร็จหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงก็ลุกขึ้นยืน พนมมือสองข้างแสดงความเคารพไปทางหลิงลั่ว “เช่นนี้แล้ว อาตมาก็ขออำลา”
หลิงลั่วไม่พูด หรี่ดวงตามองเงาหลังของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงที่จากออกไป
อันที่จริงที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงสังเกตเห็นได้ บัดนี้คิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย
ถึงแม้นางจะเพิ่งได้ทราบเมื่อวาน แต่ว่าจวินรุ่ยซีก็เข้าวังไปหาเจียสือเกือบจะหนึ่งเดือนแล้วจริงๆ ด้วยความเฉลียวฉลาดของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ที่จวินรุ่ยซีจะสามารถซ่อนเขาได้นานขนาดนี้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
วันนี้หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงมาที่นี่เป็นการเฉพาะตั้งแต่เช้าตรู่ และเร่งรีบออกไปอีก เกรงจะเป็นเพราะเหตุที่ว่าพิธีบวงสรวงยังไม่ยุติลง
“ชิงเอ้อร์ เตรียมม้า”
“ขอรับ!”
หลิงลั่วลุกขึ้นยืน เดินมุ่งไปทางประตูใหญ่ของจวนเหยียนอ๋อง
หลิงลั่วควบม้าไปตลอดทาง จนกระทั่งเข้าประตูวังไปแล้วก็ยังไม่หยุดลง
ผู้อารักขาที่เฝ้าประตูเหมือนได้เห็นความแปลกประหลาดเสียจนเคยชิน ไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวาง แต่เมื่อหลิงลั่วมา กลับยังแสดงความเคารพอีกด้วย “ถวายบังคมเหยียนหวังเฟยขอรับ!”
“อืม”
หลิงลั่วส่งเสียงอืม และรีบไปทางห้องตำราหลวงโดยที่ไม่มีการหยุดค้าง
ไม่มีใครทราบว่าหลิงลั่วกล่าวอะไรกับจวินโม่เซิงที่ในห้องตำราหลวง ทราบเพียงแต่ว่าตอนที่หลิงลั่วยังไม่ออกมา จวินโม่เซิงก็ได้ส่งความที่ตรัสแจ้งไปยังตำหนักรับรองแล้ว
ความหมายโดยประมาณ ก็กล่าวว่า จะถึงช่วงเวลาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ยังจะให้เจียสืออยู่ที่ตำหนักรับรองชั่วคราวไปก่อน
จวินรุ่ยซีได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจ พลันนึกถึงเสียงกีบเท้าม้าเมื่อสักครู่ขึ้นได้
ผู้ที่กล้าควบม้าในวัง เกรงว่าก็มีแต่ท่านแม่ของนางแค่คนเดียว
“เณรน้อย ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่ต่อ แล้วก็เข้าร่วมการล่าสัตว์กับข้าเสียด้วยเลยดีหรือไม่”
จวินรุ่ยซีมองเจียสืออย่างคาดหวัง สายตาสบกับจวินรุ่ยซี ทว่าเจียสือกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านหญิง เสี่ยวเซิงเป็นนักบวช เห็นทีจะไม่อาจคร่าชีวิตได้”
ตอนพิเศษ 10 จะต้องกำจัดความคิดของเขา
“เห็นการคร่าชีวิตไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก” จวินรุ่ยซีกล่าว “พวกเราไปเล่นที่สวนยาของท่านปู่เฒ่าพิษก็ได้ อีกทั้งรอบๆ บริเวณนั้นยังมีผักป่าอยู่ด้วย และท่านปู่เฒ่าพิษก็มีผักที่ปลูกไว้เอง พอให้พวกเราอยู่ที่นั่นได้ถึงสองเดือนเลยล่ะ”
เจียสือไม่พูด ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ อาจารย์อาก็ต้องไม่ปล่อยให้เขาไปแน่
“เณรน้อยเจ้าไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ ข้าต้องปกป้องเจ้าอย่างดีทีเดียว!”
เมื่อได้ยินก็มองจวินรุ่ยซีที่รับประกันให้การสาบานอย่างมั่นใจอีกครั้ง เจียสือรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาติดใจเรื่องนี้ที่ไหนกัน? แต่ว่า…
อาจารย์อาตักเตือนให้เขาอยู่ห่างจากจวินรุ่ยซีสักหน่อยมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ตอนแรกเขาก็ทำตามอยู่หรอก แต่ว่า เฮ้อ…
เจียสือถอนหายใจเบาๆ แต่ในที่สุดก็ยังไม่อาจหลบการตามตอแยอย่างไม่จบไม่สิ้นของเด็กสาวคนนี้พ้น
ตอนกลางคืน หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงกลับมาที่ตำหนักรับรอง ก็ได้ยินเรื่องที่จวินโม่เซิงออกบัญชา
เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าการกระทำของหลิงลั่วจะเร็วได้ขนาดนี้!
“เจียสือ วันนี้ท่านหญิงมาหาเจ้าอีกหรือไม่”
“…”
เจียสือมีความลังเลเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เพราะว่าเขาไม่อยากได้ยินคำพูดที่อาจารย์อาวิพากษ์วิจารณ์จวินรุ่ยซี เขารู้ว่าจวินรุ่ยซีเป็นคนอย่างไร นางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่เรียบง่ายมากคนหนึ่ง มีฐานะเป็นคนของราชวงศ์ แต่กลับไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมเลยสักนิด
และเจียสือก็รู้ว่าทั้งหมดนี้ เป็นเพราะว่าบิดามารดาและพี่ชายของนางปกป้องคุ้มครองนางดีมากจนเกินไป
“เจียสือ อาจารย์อากล่าวกับเจ้า ว่าอย่าให้เจ้าไปมาหาสู่กับท่านหญิงรุ่ยซี หรือว่าเจ้าลืมไปหมดแล้ว?!”
หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงขึ้นเสียงสูงเล็กน้อย ที่ทำให้เขาเหลือเชื่อคือ ไม่นึกว่าเจียสือจะลังเล
ตั้งแต่เล็กจนโตเจียสือไม่เคยพูดปดเลย แต่ว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาลังเล
เขากำลังลังเล ว่าจะพูดความจริงกับเขาหรือไม่
“อาจารย์อา ท่านหญิงเป็นคนที่ดีมาก นางไม่ได้…”
“นางจะดีหรือไม่ดีไม่ได้สำคัญแล้ว!”
หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงขัดจังหวะคำพูดของเจียสือทันที “ตอนนี้ที่สำคัญคือเจ้า เจียสือ เจ้าหวั่นไหวแล้วใช่หรือไม่”
เจียสือตะลึงงัน เขา… หวั่นไหวเสียแล้วหรือ? ไม่ เขาไม่รู้ ในใจของเขายังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน เพียงแค่มีคนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น…
“การล่าสัตว์ในสารทฤดูหลังจากนี้ เจ้าไปเข้าร่วมเสียเถิด”
เนิ่นนาน หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงก็กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา
“อาจารย์อาเชื่อเจ้า อะไรที่สมควรมอง ไม่สมควรมอง เจ้าล้วนเข้าใจดี”
ที่สำคัญที่สุดคือ เขาต้องอาศัยการล่าสัตว์ครั้งนี้กำจัดความคิดในใจของเจียสือที่เพิ่งจะออกหน่อ ให้จวินรุ่ยซีตั้งแต่ที่ยังแบเบาะอยู่ให้มอดไปให้ได้!
“… ขอรับ อาจารย์อา”
ห้าวันต่อมา ณ พื้นที่ล่าสัตว์ในสารทฤดู
ถึงแม้ในใจเจียสือจะสงสัยอยู่บ้างที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงยอมเปลี่ยนใจให้เขามาที่นี่ แต่ในใจเขาก็กลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่เสมอ
จวินรุ่ยซีเดินไปข้างๆ เจียสือ เจียสือมองทางจวินรุ่ยซี และเอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านหญิงถึงไม่ไปล่าสัตว์เล่า”
“เพราะว่าพวกน้าเล็กและพี่ชายเขาเก่งกันเกินไป ฝีมือไม่ได้เรื่องอย่างข้า จะสามารถชนะพวกเขาได้อย่างไร?”
จวินรุ่ยซียิ้ม และกล่าวว่า “แล้วอีกอย่าง เจ้าไม่ชอบฉากเหตุการณ์แบบนี้มิใช่หรือ? ถึงแม้ว่าพาเจ้ามาที่นี่ แต่ว่าข้าก็ต้องคำนึงถึงความคิดของเจ้าด้วย มิใช่หรืออย่างไร”
เจียสือมองจวินรุ่ยซีที่ยิ้มเจิดจ้าเหมือนเป็นเด็ก จิตใจเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย
“เณรน้อย? เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
เห็นเจียสือมองนางอย่างตะลึง จวินรุ่ยซีเลยยื่นมือออกมา และกวัดแกว่งอยู่ที่ตรงหน้าเจียสือ
“ไม่มีอะไร”
เจียสือหันหน้ากลับมา และเก็บสายตากลับคืนมา
เมื่อสักครู่ในใจของเขาเหมือนเต้นผิดจังหวะไปชั่ววูบหนึ่ง เขาหลงผิดไปเองหรือ?
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราไปขุดผักป่าแล้วกัน!”