จวินนั่วเหยียนค่อยๆ ตามเณรน้อยสองรูปนั้นไป เมื่อแอบลอบเข้ามาบนคานของห้องศาลเจ้าวัด ชิงย่วนแล้วก็เห็นเจียสือในยามนี้
เทียบกับเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนที่จวินนั่วเหยียนเห็นเขา เจียสือก็ผอมไปมาก แต่ความดื้อรั้นบนใบหน้ากลับไม่ลดลงเลยสักนิดเดียว
จวินนั่วเหยียนไม่ทราบว่ายามนั้น ในสามวันนั้น จวินรุ่ยซีกับเจียสือได้กล่าวอะไรกัน ผ่านประสบการณ์อะไรมา ถึงได้ทำให้เขาเชื่อมั่นหนักแน่นได้ขนาดนี้
แต่ว่า ในเมื่อคนผู้นี้เป็นคนที่น้องสาวของเขาชอบ และยังชอบพอต้องใจกันกับน้องสาวเขาด้วย เช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางความรักของพวกเขาได้!
“เจียสือ เจ้าทานให้มากขึ้นสักหน่อยเถิด ไม่ว่าในใจเจ้าจะคิดอย่างไร การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดนะ”
เณรน้อยหนึ่งรูปในนั้น เห็นเจียสือในสภาพนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
พวกเขาอยู่ในวัดมาตั้งนานแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพระภิกษุที่ลาสิกขา แต่ว่าเหตุใดหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงถึงไม่ยอมให้เจียสือลาสิกขากันนะ?
หรือก็เพราะว่าเจียสือใช้ชีวิตอยู่ในวัดชิงย่วนมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เลยถูกลิขิตให้ต้องอยู่ในวัดแห่งนี้ไปตลอดชีวิตหรือ?
หลังจากเณรน้อยสองรูปออกไปแล้ว จวินนั่วเหยียนถึงได้กระโดดลงมาจากคานห้อง
เจียสือได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นจวินนั่วเหยียน ก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“จะตะลึงอยู่ทำไม? ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก? อย่าปล่อยให้น้องสาวข้าคอยนาน”
จวินนั่วเหยียนกอดอกมองเจียสือ เขาก็คิดไม่ถึงว่าเจียสือจะทำถึงขั้นนี้เพื่อจวินรุ่ยซี
“รุ่ยซีก็มาด้วยหรือ?!”
การตอบสนองที่ตื่นเต้นขนาดนี้ของเจียสือ กลับทำให้จวินนั่วเหยียนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หรือว่าน้องสาวเขาห้ามมาที่วัดชิงย่วนแห่งนี้เด็ดขาด?
“รีบให้รุ่ยซีออกไป! อาจารย์รู้อยู่ก่อนแล้วว่ารุ่ยซีจะมา เพราะอย่างนั้นตั้งแต่แรกที่ข้าเพิ่งจะถูกจับกลับมา อาจารย์อาก็ได้เตรียมพร้อมรอนางอยู่แล้ว!”
“อะไรนะ?!”
อีกด้านหนึ่ง ข้างนอกห้องด้านข้างที่อยู่ลานหลังวัดชิงย่วน
สิบแปดมนุษย์ทองแดงที่นำโดยเจียฟ่านได้โอบล้อมนางเอาไว้ และผู้ที่นำพวกเขาก็คือฮุ่ยเหนิง
“ท่านหญิงรุ่ยซี เจียสือได้กลับมาที่วัดชิงย่วนแล้ว เหตุใดท่านยังไม่ยอมปล่อยเขาอีก?”
“ฮุ่ยเหนิง! เจ้าพระเฒ่าหัวโล้น! นักบวชมีเมตตาธรรมประจำจิตอะไรกัน แล้วยังหวังให้พระพุทธองค์ปกปักรักษาอีกรึ? เจ้าฝันไปเถอะ!”
เพียงจวินรุ่ยซีเห็นฮุ่ยเหนิง นางก็รู้สึกโมโหสุดๆ
“เจ้ามีสิทธิอะไรเอาความคิดของตัวเองไปบีบบังคับคนอื่น?! เจียสืออยากจะลาสิกขาเอง เจ้ามีสิทธิอะไรที่ต้องรั้งไว้ไม่ยอมปล่อยเขาไป?!”
“นี่ข้าก็ทำเพื่อให้เจียสือได้ดี หากไม่ใช่เพราะสาวงามอย่างเจ้าล่อให้เจียสือหลง เขาจะหวั่นไหวได้อย่างไร?!”
จวินรุ่ยซีกลับยิ้มอย่างโมโหสุดๆ นางไม่เคยเห็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนเลย!
“เจ้ากล่าวว่าเจ้าทำเพื่อให้เจียสือได้ดี? เช่นนั้นเจ้ารู้ไว้เลยนะว่าสุดท้ายแล้วคนที่บีบคั้นให้คนเป็นบ้าก็คือคนที่กล่าวอยู่ร่ำไปว่าทำเพื่อให้เขาได้ดี! เจ้าเพียงแต่เอาความคิดของตัวเองบีบบังคับเจียสือ มีสิทธิอะไรมาพูดว่าเพื่อให้เขาได้ดี!”
เหมือนถูกจวินรุ่ยซีจี้จุดโดนความในใจ ฮุ่ยเหนิงรู้สึกเสียหน้าจนพาลโมโห “ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้เจ้าอย่าได้คิดจะพาเจียสือไปเลย! จับนางเอาไว้!”
สิบแปดมนุษย์ทองแดงมองตากัน แต่ก็ลังเลว่าจะก้าวเข้าไปดีหรือไม่
อย่างไรเสียที่จวินรุ่ยซีกล่าวก็มีเหตุผลจริงๆ เจียสือมีสิทธิเลือกชีวิตอย่างที่เขาต้องการ ใครก็ไม่สามารถเอาความคิดของตัวเองไปบีบบังคับเขาได้
“ตะลึงกันอยู่ทำไมกัน?! ยามนี้คำพูดของอาจารย์พวกเจ้าก็ไม่ฟังแล้วหรือ?! หรือว่าพวกเจ้าแต่ละคนต้องการจะก่อกบฏกันทั้งหมด?!”
“อาจารย์อา ท่านยอมวางมือเสียเถิด”
เจียสือที่ถูกจวินนั่วเหยียนประคองไว้ เดินมาอยู่ที่ข้างๆ จวินรุ่ยซี
ภายหลังจากที่จวินรุ่ยซีเห็นเจียสือแล้ว นางก็ลูบแก้มของเจียสือด้วยความรักสุดหัวใจ “เณรน้อย พวกเขากระทำโหดร้ายทารุณกับเจ้าใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงได้ผ่ายผอมไปมากขนาดนี้?”
เจียสือมองท่าทางที่เป็นกังวลของจวินรุ่ยซี และหัวเราะเบาๆ “รุ่ยซี ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เป็นไร”
กล่าวจบ เจียสือก็หันสายตากลับมามองทางฮุ่ยเหนิง “อาจารย์อา ท่านอาจารย์ได้ยอมรับคำขอของข้าแล้ว ยินยอมให้ข้าจากไป อาจารย์อาไม่ต้องขัดขวางข้าแบบนี้อีกแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้! เจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของศิษย์พี่ เขาจะตัดใจปล่อยให้เจ้าไปได้อย่างไร?”
ฮุ่ยเหนิงทำหน้าตาไม่เชื่อ เจียสือก็กลับไม่ร้อนรนที่จะพิสูจน์คำพูดของตนเอง เขาแค่มองฮุ่ยเหนิงอย่างเงียบสงบเช่นนี้
ฮุ่ยเหนิงรู้ว่าเจียสือไม่เคยพูดโกหกเลย แต่ว่าให้เขาปล่อยเจียสือไปแบบนี้ เขาไม่อาจทำได้จริงๆ!
“ฮุ่ยเหนิง ปล่อยเจียสือไปเถิด”
ไม่ทราบว่าหลวงพ่อฮุ่ยจื้อปรากฏตัวอยู่ที่ข้างหลังตั้งแต่ยามใด เขาเดินออกมาจากข้างหลังเจียสือ นัยน์ตาสองข้างที่เรียบเฉย เหมือนเห็นการลาจากไปชั่วกาลจนเคยชินเสียแล้ว
“เจ้าอธิการ! ท่านกล่าวอะไรอยู่?!”
ฮุ่ยเหนิงมองหลวงพ่อฮุ่ยจื้อด้วยหน้าตาเหลือเชื่อ
“เจียสือเขาเป็นลูกศิษย์ที่ท่านถ่ายทอดวิชาความรู้ด้วยตัวเองเพียงผู้เดียวของท่านนะขอรับ! ท่านจะแข็งใจปล่อยเขาไปแบบนี้รึ?!”
บนใบหน้าของหลวงพ่อฮุ่ยจื้อยังคงไม่มีสีหน้าท่าทางที่แสดงออกเกินความจำเป็น น้ำเสียงก็ยังเป็นปกติ “ทุกอย่างเป็นไปตามวาสนา แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหมอนั่นมาหาข้าให้ข้าช่วยด้วยตัวเอง แล้วข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร?”
หลวงพ่อฮุ่ยจื้อมองทางจวินรุ่ยซี เขากล่าวว่า “ท่านหญิง เจียสืออ่อนต่อโลกนัก แต่ว่าเป็นเด็กที่ใส่ใจและซื่อสัตย์เป็นที่สุด ขอเจ้าปฏิบัติต่อเขาดีๆเหมือนที่ผินเซิงทำ”
จวินรุ่ยซี พยักหน้า “ข้าจะต้องดีกับเจียอย่างมากแน่นอน!”
“เช่นนี้แล้ว พวกเราก็ไปเถิด”
หลวงพ่อฮุ่ยจื้อหันหลังกลับ และไปจากจุดเดิมนั้น
ฮุ่ยเหนิงมองเงาหลังของจวินนั่วเหยียนกับจวินรุ่ยซีที่พาเจียสือไปอย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายถอนใจเบาๆ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจียสือจะดื้อรั้นได้ขนาดนี้ ก็ช่างเหมือนกับเขาเมื่อปีนั้นยิ่งนัก แต่ว่า ก็สมแล้วที่เป็นบุตรชายของเขา!
ปีนั้น มารดาของเจียสือให้กำเนิดเจียสือ และก็เสียชีวิตด้วยการที่คลอดบุตรยาก ฮุ่ยเหนิงเจอศัตรูไล่สังหาร เขาก็พาบุตรชายที่เพิ่งกำเนิดมาที่วัดชิงย่วน ปลงผมเป็นนักบวช ขณะเดียวกันก็เพื่อหลบเลี่ยงการไล่สังหารของศัตรูไปด้วย
ภายหลังเขาค่อยๆ ชอบชีวิตอันเงียบสงบเช่นนี้เข้าเสียแล้ว ก็เลยอยู่ที่นี่กับเจียสือมาโดยตลอด หลอกเขาว่าเมื่อเขายังเด็กได้ถูกคนทอดทิ้งไว้ที่หน้าประตูวัดชิงย่วน…
เงาหลังของเจียสือหายไปตรงหัวโค้ง ความคิดของฮุ่ยเหนิง ก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา
เฮ้อ… ช่างเถิดๆ ในเมื่อเขาต้องการ เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเสียเถิด…
ออกจากวัดชิงย่วนแล้ว ก็เห็นเงาร่างของจวินลั่วชิงรออยู่ไม่ไกล หลังจากพยุงเจียสือกับจวินรุ่ยซีขึ้นรถม้าแล้ว จวินนั่วเหยียนก็ขึ้นไปบนรถม้า จวินลั่วชิงเริ่มขี่รถมุ่งไปทางจวนเหยียนอ๋อง
ในรถม้า จวินรุ่ยซีเผยรอยยิ้มซึ่งเจียสือไม่ได้เห็นมานานแล้วออกมา นางเอ่ยถามว่า “เณรน้อย เจ้าจะเสียใจในภายหลังหรือไม่ที่ตามข้าออกมาแบบนี้?”
เจียสือมองจวินรุ่ยซี ใบหน้าค่าตามีรอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างยิ่ง
“ข้าจะขอตามเจ้าไปทุกแห่งสุดขอบฟ้า ชมดอกไม้นานาทั่วหล้า”