< < 8 > >
‘ป่ามหาภูตติ’ สถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังสุดจากหลายๆ ที่ทั้งหมดบนทวีปฟัฟนิร์ ด้วยความสวยสดงดงาม ของบรรดาต้นไม้หลากขนาดในป่า และหิ่งห้อยที่บินไปมายามค่ำคืน
ที่สำคัญ ข้างๆป่ามหาภูตติก็มีเมืองบ่อน้ำพุร้อนสำหรับการท่องเที่ยวอยู่ด้วย ทำให้เหมาะแก่การมาเที่ยวได้สองต่อ มหาภูตดยไม่ต้องเลือกอย่างเสียอย่าง
แต่เดิม ที่ต่างโลกธรรมชาติก็งดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าป่ามหาภูตจักปรากฏภาพที่เหนือยิ่งกว่านั้นให้เห็นอย่างแน่นอน ผู้คนในทวีปฟัฟนิมหาภูต ไม่สิ ในนานาทวีปต่างคิดเห็นไปทางเดียวกันทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ป่ามหาภูตติเป็นหนึ่งในสุดยอดสถานที่ของโลกนั่นก็คือ—–ประวัติศาสตร์ ณ ป่ามหาภูตตินั้นรวบรวมเรื่องราวเมื่อ 2000 ปีก่อนไว้อย่างแท้จริง
ตำนานวีรสตรีหญิงผู้กำราบมังกรธาตุทั้ง 4 และแยกทวีปออกจากกันเป็นสี่ส่วน ผู้ที่สร้างทางอนาคตมาจนถึงปัจจุบัน หญิงสาวผู้ถือครองพลังของมหาภูตติและพลังในการแยกมิติ ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัย ‘ยูนา’ เธอเปรียบได้ดั่งสัญลักษณ์ของป่ามหาภูตติ และเมืองชันไม
เมื่อครั้ง 2000 ปีก่อน เหล่ามังกรธาตุทั้ง 4 ได้อาละวาดไปทั่วสารทิศ อาณาจักรมากมายจมไปกับกองเพลิง ไม่ก็ถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นบึงคลองยักษ์ มังกรธาตุที่โอหังออกอาละวาดจนโลกโกลาหล ถ้าเปรียบจอมมารเป็นตัวร้ายแห่งประวัติศาสตร์ยุคโบราณ เหล่ามังกรธาตุเองก็เปรียบได้ดั่งตัวร้ายของยุคแรกเริ่มอารยธรรมของมนุษย์
ซึ่งจะถูก ‘ยูนา’ ปราบลงได้ในที่สุด
ยูนาควง-ดาบมหาภูตนาม ‘เซเนีย’ นำพากองทัพหลากเผ่าเข้าต่อกรกับเหล่ามังกรธาตุ บ้างก็สู้กันสามวันสองคืนโดยไม่หยุดพัก บ้างก็สู้กับมังกรธาตุสองตัวพร้อมกัน บ้างก็พ่ายแพ้กลับไป แต่ในท้ายที่สุดยูนาก็ชนะ และสร้างอนาคตต่อไปให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวง——สัญลักษณ์ของการจบสงครามก็คือทวีปที่ถูกแยกออกไปเป็นสี่ส่วน และป่ามหาภูตติที่มีบันทึกเรื่องราวอยู่มากมาย
ว่ากันว่า ณ ป่ามหาภูตติคือที่ตายของวีรสตรีอีกด้วย เธอใช้ชีวิตในฐานะวิญญาณอยู่ในป่าไปกับมหาภูตติคู่หูของตนเอง
ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าที่ปรากฏให้เห็นป่าไม้ขนาดยักษ์ด้านขวามือจากทางเดินม้า——-นั่นคือป่ามหาภูตติในตำนาน
ทิศที่รถม้าชี้ไปคือเมือง ‘ชันไม’ เมืองที่ได้บารมีจากป่ามหาภูตจนโด่งดังไปทั่วโลก
“น่าคิดถึงจังเลยนะครับ”
ชินพึมพำออกมา
“นายเคยมาด้วยรึ?”
“ใช่ขอรับ เมื่ออดีตกระผมเคยมาทำภารกิจแถวนี้อยู่นานพอควร”
“นั้นฝากเป็นไกด์ด้วยละกันนะ ดีมั้ย เรเซล อันนา? ได้ผู้ชายหล่อๆ แบบนี้เป็นไกด์”
เรเซลจู่ๆ ก็ทำท่ากระวนกระวายแปลกๆ
“-ค คือ ….ดีค่ะ ผู้ชายที่พึ่งพาได้ ดีเลยค่ะ ฮะๆ ——-งื๊อ!”
อันนาแทงซอกใส่เรเซล
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”
เธอยิ้มสวยๆ ให้ชิน
…ยัยพวกนี้ทำตัวแปลกจังนา
หลายวันมานี้ทั้งสองคนดูคุยกับชินได้ลำบาก? ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หรือว่าเกร็งเพราะเจอคนหล่อกันนะ? หน็อยแน่ ไอพวกหน้าหล่อนี่มันจริงๆ
ผมเบือนหน้านีไปทางอื่นเป็นการงอนทั้งสองคน …เอ๋
“—เอาจริงดิ”
เส้นผมสีเหลืองรอยตัดหน้ากระจกรถม้าไป——–เด็กสาวในชุดแม่ชีตัวเล็ก ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย และเส้นผมที่ยาวจนถึงพื้นจากขนาดตัวเด็กหญิงวัย 6 ขวบ—–ชุดแม่ชีสำหรับเด็กขยับไปมา ที่ราวกับจะสะดุดล้มได้ตลอดเมื่อนำไปผสมกับเส้นผมสีทองงดงามแล้ว มันก็ทำให้ผมใจหายไปเลย …
….เธอวิ่งผ่านไปโดยที่ในมือถือถุงขนมปังอยู่ รองเท้าเองก็ไม่ใส่ คงจะเจ็บน่าดู แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังยิ้มอย่างสดใสราวกับดวงอาทิตย์
เพียงเชี่ยววิเดียวก็นึกออก———– ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ เธอคือภรรยาของผม ‘ลีน่า’ สาวน้อยแม่ชีผู้เปรียบได้ดั่งดวงอาทิตย์ผมเดินไปยืนข้างๆ ทั้งอย่างนั้นเธอก็ยังจับจ้องแต่ขนมปัง
“…ขอโทษคะคุณบาทหลวง คุณแม่ หนูมันซุ่มซ่ามจริงๆ …” เธอพนมมือขึ้น และพึมพำอย่างเศร้าใจ “ท่านฟัฟนิร์ที่เคราพขอโทษด้วยนะคะ ที่ไม่สามารถนำขนมปังแสนมีค่าไปให้พี่น้องได้ หนูมันเลวจริงๆ”
น่าสงสารจริงๆ ชวนให้รู้สึกหดหู่ชอบกลด้วย
….เธอสังเกตุเห็นผมแล้ว ดวงตาที่เคลือบน้ำตาจ้องมาที่ผม
น่ารัก…ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันโดยบังเอิญขนาดนี้—-
แต่ชุดแม่ชีใหญ่ไปหน่อยนะนั่น ไม่กลัวล้มเลยหรือไง? แล้วทำไมในนิยายชุดมันถึงแทบจะทะลักละ …อ่อ ความต่างด้านอายุกระมัง
“—-เฮี๊ยะ!!”
จู่ๆ เจ้าหล่อนก็สะดุดล้มลงไป ขนมปังบนมือกระจัดกระจายไปทั่ว
…เดินไปก็ได้แท้ๆ ถ้าวิ่งไม่ถนัดขนาดนั้นน่ะ
ผมเท้าคางและมองเธออย่างสนอกสนใจ
“คนขับช่วยจอดทีนะ”
“หืม?…อ๊ะ เข้าใจแล้วครับ”
“มีอะไรหรือคะท่านเรเซอร์?” อันนาถามผม
“เมื่อกี้เห็นเด็กผู้หญิงน่ารักล้มน่ะ เลยจะเข้าไปช่วยสักหน่อย ..ไม่ต้องตามมาก็ได้ๆ”
ผมเปิดประตูรถ ก่อนลงก็หยิบขนมปังพกพาไปด้วยหนึ่งถุง
คุณภรรยาในอนาคตกำลังนอนหัวทิ่มพื้นอยู่ เธออยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ไม่ได้หัวกระแทกจนตายหรืออะไร แค่ช็อกเท่านั้น
พวกเราจ้องหน้ากันทั้งอย่างนั้น—-เอาเป็นว่าอย่ายิ้มให้ละกันตัวผม
“——-อย่าทำอะไรหนูเลยนะคุณพี่นักเดินทาง”
หล่อนร้องไห้ซะแล้ว
ไหงนั้นละ!? ยังไม่ได้ยิ้มเลยนะเห้ย!
“-ท โทษทีนะหนู พี่จ๋าคนนี้ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย”
“-บ บาทหลวงเคยบอกไว้คะ ว่าคนเราดูกันที่ดวงตาก็สามารถรู้ใจจริงได้” เด็กนี่เอากำปั้นทุบอกตัวเอง “ดวงตาของพี่ชายไม่น่าไว้ใจเลยคะ!”
“โทษทีละกันมันเป็นพันธุ์กรรม!”
“แง๊!! อย่าตะคอกใส่หนูเลยนะคุณพี่นักเดินทาง!!”
-น น่ารำคาญชิบ
ผมถึงกำลังอ่อนระทวย และก่ายหน้าผากตัวเอง
“เอาเป็นว่าขอโทษละกันนะ แค่เห็นเด็กล้มเลยจะมาดูความปลอดภัยสักหน่อย”
“แค่นั้น….นั้นหรือคะ?”
อยู่ๆ ก็หยุดร้องไห้ซะอย่างนั้น? อะไรของเด็กนี่กัน เจ้าเรเซอร์มันไปคบกับเด็กแปลกๆ แบบนี้เนี่ยนะ ไม่สิ ในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้าคงโตขึ้นเยอะเลย
“ใช่แล้ว คนหน้าตาดีแบบพี่ไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ โบราณว่าคนเราดูกันที่หน้าตา”
“…แบบนี้นี่เอง”
เธอเอากำปั้นทุบฝ่ามือตัวเอง
ขออภัยที่สอนอะไรแย่ๆให้ละกัน ตอนนี้ผมหน้าตาดีจึงพูดได้ หึๆ
ผมพยายามไม่ยิ้มให้คุณภรรยา(ต้นฉบับ)เห็น โดยที่นั่นคือวิธีสานสัมพันธ์ของผม
“ลุกไหวมั้ย?”
“ขอบคุณนะคะ”
ร่างเล็กๆ อันบอบบางของเด็ก 6 ขวบจับมือผมขึ้นมาช้าๆ ————-บ้าเอ้ย น่ารักชะมัด ไอสิ่งมีชีวิตที่น่ารักขนาดนี้มันมีอยู่ด้วยเหรอเนี่ย!! อย่ามาล้อเล่นกันนะ!
ผมหน้าแดงแจ๋ทันทีที่ได้ช่วยคุณแม่ชีโลลิ ชุดแม่ชีที่ยาวถึงเท้าและรูปร่างหน้าตาแสนจะน่ารัก เป็นความลงตัวที่สมบูรณ์
เจ้าเรเซอร์มันร้ายนัก
“หนูชื่ออะไร รึ ?”
ดั่งสุภาษิตใน ร.ร.ลูกผู้ชายที่ว่า ‘เพื่อความชัวส์ลองอ่านใหม่อีกครั้งดีกว่า’
“ชื่อหนู….ลีน่าน่ะ หนูชื่อลีน่า!”
แล้วทำไมต้องกระโดดด้วยละนั่น! น่ารักโว้ย น่ารัก!! นุ่มนิ่มชะมัด!!
ผมถึงกับกระอักเลือดความโมเอะของเด็กสาว เนื่องจากเผลอกัดลิ้นไป
“..-ฉ ฉันชื่อเรเซอร์ เป็นคนหน้าตาดีเพราะฉะนั้นเลยนิสัยดีไปด้วย”
“อืม เข้าใจแล้ว คนเราดูกันที่ดวงตาอย่างเดียวไม่ได้สินะคะ ต้องดูกันที่หน้าด้วยถึงจะรู้เนื้อแท้!”
“แม่นแล้ว อีหนู”
“ขอบคุณนะพี่นักเดินทาง ที่สอนหนูให้รู้อะไรกับโลกนี้มากขึ้น!”
ผมนิ่งลงเมื่อเห็นท่าทางน่ารักใสซื่อนั่น
“…อ่า อืม ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
จะว่าไงดีละ รู้สึกผิด? น่าจะประมาณนั้น
ลีน่ากลับมาร่าเริงแล้วก็น่ายินดูอยู่หรอก แต่…ไม่นานเธอก็หันไปเห็นขนมปังที่กระจัดกระจายตามพื้น
“…..หนมปัง!!?”
แล้วร้องไห้อีกครั้ง
“ขอโทษค่ะ!! ท่านฟัฟนิร์!!”
เธอเรียกชื่อฟัฟนิร์ดังลั่นสารทิศ——-โดยปกติแล้วฟัฟนิร์คือตัวร้ายของเรื่องราว แต่ฟัฟนิร์เป็นข้อยกเว้น เพราะว่าพลังของฟัฟนิร์เก้าส่วนสิบถูกส่งไปให้เชื้อพระวงศ์ เพราะฉะนั้นจะให้ใครเกลียดเชื้อพระวงศ์เพราะสายเลือดไปด้วยคงไม่ได้ ประวัติศาสตร์เฉพาะทวีปฟัฟนิร์เลยเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าทั้งเทพและฟัฟนิร์คือที่น่าถือของทวีปผมเฉยเลย
แต่นอกจากทวีปฟัฟนิร์แล้วเจ้าพวกมังกรธาตุก็คือวายร้ายดั้งเดิม ทวีปอื่นๆ หลายที่ก็ขำทวีปฟัฟนิร์ที่ดันไปเคารพนับถือมังกรที่ครั้งหนึ่งเคยฆ่าบรรพบุรุษไปนับไม่ถ้วนกัน นับว่าเป็นเรื่องตลกระหว่างประเทศก็ได้ …ตลกร้ายไรงี้
ลีน่าลงไปคลุกตัวกับพื้น เห็นดังนั้นแล้วก็ผลอยทำให้หดหู่กว่าเก่า
“เอาเวลาร้องไห้วิ่งไปซื้อใหม่จะดีกว่านะ”
“หนู…อึก ไม่มีตังค์”
“โทษทีนะ”
ผมยื่นห่อขนมปังให้ลีน่า
“ฉันให้”
ขนมปังปริมาณพอๆ กันเพียงแต่คนละเกรดกันเท่านั้น ลีน่าคงไม่เอะใจเรื่องนี้ เธอจึงหยิบไปช้าๆแบบเกรงใจ
ถ้ารู้ว่าราคามันแพงเธอคงไม่กล้าเอาไปแหง แต่ไม่รู้แหละดีแล้ว
“กินให้อร่อยละนั่นมื้อเที่ยงฉันเอง”
“เอ๊ะ …จะดีหรือคะ?”
“เอาไปเถอะ”
ผมยิ้มให้—–แต่เธอกลับไม่กลัว เธอยื่นซองขนมปังกลับมาให้ผม
ลีน่ายิ้มให้ผม
“นั้นหนูไม่เอาก็ได้”
….
“คุณบาทหลวงเคยบอกหนูว่าการได้กินโดยที่ไปเบียดเบียนผู้อื่น มันชวนรู้สึกแย่ หนูไม่อยากรู้สึกแย่และไม่อยากให้บาทหลวงรู้สึกแย่ด้วย”
แปลกแหะ เด็กคนนี้ไม่กลัวรอยยิ้มของผมเลย ..บางทีนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญระหว่างเรเซอร์กับลีน่าก็ได้
“…แต่มันจำเป็นนี่”
“ทุกๆคนต้องคิดแบบเดียวกันแน่นอน”
..เด็กคนนี้
“นอกจากนี้พี่ยังเป็นคนที่สอนหนูเกี่ยวกับโลกให้ด้วย หนูรับไว้ไม่ได้หรอก”
….ขอโทษครับ ขอโทษครับ …
“-ร รับไว้เถอะน่า ขอร้องละ นะ นะ!”
ผมพยายามยัดเยียดซองขนมปังให้ลีน่า——–รู้สึกผิดเว้ย!! เด็กดีขนาดนี้ผมไปสอนอะไรให้ละเนี่ย! แค่เห็นเป็นภรรยาในอนาคตของผมเลยอยากแกล้งนิดเดียวเองนะ!
ลีน่าพยายามดันซองขนมปังราคาแพงกลับอย่างไม่คิดชีวิต
“หนูไม่เอา!!”
“—–จริงๆ แล้วฉันมีนัดกินข้าวหรูกลางบ่อออนเซ็นอยู่แล้ว ขนมปังนี่ไม่กินแล้วต่างหาก!
“—แบบนี้นี่เอง”
เธอรับคำง่ายๆ และเลิกดันขนมปังกลับ เธออุ้มมันไว้บนอกแทน
“เข้าใจแล้วนะ เพราะฉะนั้นเอาๆไปเถอะ”
“-ค ค่ะ ขอบคุณ”
ลีน่ากล่าวขอบคุณผมและยิ้มให้ ก่อนจะหันหลังไปวิ่ง——-
“—-เฮี๊ยะ!”
และล้มอีกรอบ
“…อึก…อึก…แง๊!!” ลีน่าร้องโวยวายอีกคราว “ขอโทษนะค้าาา!!!!”
“โว้ยยยยยย ชินขอขนมปังที!”
ชินพุ่งตัวออกจากรถม้าราวกับเข้าใจทุกสถานการณ์ เพียงวิเดียวขนมปังก็อยู่ในมือผมแล้ว
เป็นคุณพ่อบ้านที่ยอดเยี่ยมมาก
“—-ดีมาก เอ้านี่”
“…ขอโทษค่า”
“อ่า ดึงกระโปรงก่อนออกวิ่งด้วยล่ะไม่สิ เดินๆ ไปเถอะ”
ลีน่าปัดน้ำตาตัวเอง อุ้มขนมปังไว้และเดินไปทั้งอย่างนั้น …..
….คุณภรรยา(ต้นฉบับ)ของผมเนี่ย ดูเปิ๋นๆหน่อยมั้ง
“ไปต่อเถอะ”
“รับทราบขอรับ”
พวกเรามุ่งหน้าไปยันเมืองชันไมต่อ