< < 107Sec2 > >
เอเธอร์รวมถึงทุกคนรู้เรื่องทั้งหมด และทุกคนก็ลงความเห็นว่าจะช่วยกันตามหาก้อนมานาปริศนา จากนั้นอีกสามอาทิตย์เวลาที่ว่างก็จะช่วยกันตามหาก้อนมานาปริศนาในทุกๆวัน
ทว่าแม้จะผ่านมาตั้งสามอาทิตย์แล้ว แต่..พวกเรายังไม่สามารถสานไปถึงที่อยู่ของก้อนมานาปริศนาได้
ไม่ว่าจะวิชาไสยศาสตร์ของวินหรือดวงตามหาปราชญ์ก็ไม่อาจสานไปถึงต้นกำเนิดของอักษรโบราณได้ สาเหตุไม่เป็นที่แน่ชัด ทางผมก็ทดลองใช้ตัดมิติทำลายมันแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล มันคืออักษรที่ไม่สามารถทำได้หรืออ่านออกได้
ในนิยายต้นฉบับระบุไว้ว่ามันเป็นอักษรที่ทวยเทพใช้กัน มีแค่เทพและจอมมารที่เป็นกรณีพิเศษเท่านั้นที่อ่านออก และก็ใช้งานมันได้ อย่างไรซะผมก็ไม่เข้าใจหลักการ ผู้แต่งนิยายไม่ได้เล่าหลักการณ์ทำงานไว้ เขาแค่บอกผลลัพธ์ที่มันทำได้เพียงเท่านั้น ทางผมก็เคยลองให้ยูจิไปอ่านดูแต่ยูจิก็ไม่ได้เข้าใจ ทั้งๆที่ในนิยายต้นฉบับสามารถอ่านมันได้ แต่มันก็อยู่ในจุดที่พอเข้าใจอยู่ ในช่วงที่ยูจิอ่านอักษรโบราณได้คือช่วงที่ยูจิใช้พลังของเทพได้แทบจะสมบูรณ์แบบแล้ว ต่างกับปัจจุบันนี้
นี่คือหนึ่งในจุดเสียที่เรื่องราวมันดำเนินไปเร็วเกินไป
แล้วก็..ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่เรื่องสำคัญระดับเป็นภัยต่อโลกซะส่วนมากมันไม่ค่อยโผล่มาให้เป็นในนิยายต้นฉบับเลย ไม่ว่าจะเรื่องของมหามังกรเทียม เรน หรือที่เจออยู่ตอนนี้ก็ตัวตนปริศนาและอักษรโบราณ ราวกับทั้งหมดถูกปิดบังไว้ ..ผมไม่อยากคิดมากหรอกนะ แต่อย่างที่คิดว่า—ศัตรูของโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่จอมมาร นั่นหมายความว่าตอนจบของนิยายมันไม่ได้จบบริบูรณ์
ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกส่งมาโลกใบนี้ได้อย่างไร มันคือเรื่องบังเอิญหรือภาพหลอนช่วงสุดท้ายของชีวิตเหรอ? โลกจำลอง? ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆคือสถานการณ์ที่ผมเจอมันยุ่งยาก จำเป็นต้องแก้ไขโดยเร็วที่สุด
วันนี้ตอนเช้าผมก็เก็บเรื่องอักษรโบราณกับก้อนมานามหาศาลมาคิดจนหัวแทบจะระเบิด
แต่ก็นะ แหงอยู่แล้ว เพราะอีกแค่สัปดาห์เดียว พวกเราก็จะกลับไปเรียนที่อาณาจักรฟัฟนิร์เหมือนเดิม ทั้งๆที่ปัญหาใหญ่ๆยังแก้ไม่ได้สักอัน ทำถึงขนาดโดดเรียนมันทุกวันเพื่อหาข้อมูลก็แล้วแต่ก็ยังไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ถ้าหากยังเคลียร์ปัญหาไม่ได้ในอาทิตย์สุดท้าย ผมอาจจะต้องดรอปเรียนและเอาเวลาทั้งหมดมาหมกตัวอยู่ที่เกาะวาเรอร์แทนแล้วล่ะ
ตอนนี้เองผมก็กำลังนั่งวิเคราะห์แผนที่เกาะวาเรอร์ และมาร์คจุดแต่ล่ะจุดอย่างละเอียดอยู่
ผมแบ่งโซนสำรวจไว้ประมาณ 8 โซนในเกาะหลักๆ ปัจจุบันนี้ก็ดำเนินไปได้หกในแปดแล้ว เหลืออีกแค่สองส่วนเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คิดว่าต้องสานไปถึงก้อนมานานั่นได้แน่นอน
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งเฮือกอย่างกับเด็กวัยมัธยมต้นที่ชอบต้นใจเวลาที่จู่ๆก็มีคนเคาะประตูห้อง ต่อให้ไม่ได้ทำเรื่องที่ให้คนอื่นดูไม่ได้ก็ตามที
ผมรีบเก็บข้อมูลแผนที่สมุดบันทึกทั้งหมดไว้ใต้เก๊ะ แล้วก็รีบวิ่งไปเปิดประตูห้อง
ไหนดูสิใครเอ่ยที่มาเวลานี้ หวังว่าจะไม่ใช่อาจารย์แช็คผู้มีงานอดิเรกคือหิ้วเด็กที่โดดเรียนกลับไปเรียนหรอกนะ—โชคดีไป ดูเหมือนจะไม่ใช่
คนที่มาหาผมคือเบลลามีที่อยู่ในชุดนักเรียน ดูจากเวลาตอนนี้น่าจะเป็นหลังเลิกเรียนเธอเลยมาทั้งๆที่ไม่ได้เปลี่ยนชุด พอสังเกตุดีๆข้างหลังก็มีคนอื่นมาด้วยอีก
หนิงกับโซล่าน่ะเองมาในชุดนักเรียนเหมือนกัน
“โดดเรียนไม่ดีนะ”
“ถ้าเรียนไม่จบจะไม่มีอนาคตเอานะคะ คุณเรเซอร์ แต่ก็ช่างมันไป ผู้ชายแบดๆแบบนี้ก็ไม่เลวนะ ไม่สิ ต้องบอกว่าเพราะเป็นคุณเรเซอร์ต่างหาก ไม่ว่ายังไงก็ชอบ รักนะคะ แต่งงานกับฉันแล้วฉันสัญญาว่าจะเลี้ยงคุณทุกอย่างเลย อยากได้คฤหาสน์หรูส่วนตัวรึเปล่าคะ? หรือว่าคทาเวทย์รุ่นลิมิเต็ดที่มีแค่ร้อยชิ้นบนโลกดี ว่—-”
“เอาคุกกี้หน่อยมะ?”
“เสิร์ฟให้หน่อยสิ”
หนิงเดินเตาะแตะมาเอาคุกกี้ในห้องอย่างรวดเร็ว ยังคงเป็นคนที่โดนของกินทุกอย่างบนโลกล่อได้เหมือนทุกครั้ง ทางด้านโซล่ายืนแข็งทื่อเพราะโดนเมิน เบลลามีดันร่างของโซล่าเข้าห้องเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ก็นะ สามสัปดาห์มานี้ก็เกิดเรื่องแนวๆนี้ขึ้นบ่อย ทำให้ทั้งสามคนสนิทกันขึ้นมามาก จากแต่ก่อนที่หนิงไม่คุยกับใครนอกจากยูจิเลย หรือจากโซล่าที่เขม็งใส่เบลลามีตลอด ตอนนี้ก็ไม่มีท่าทีไม่ถูกกันให้เห็นอีกแล้วล่ะ
ทำเอาต่อมความเป็นพ่อของผมตื่นขึ้นมาเลย เติบโตกันได้ดีมากหนูๆทั้งหลาย
ผมเอาคุกกี้ให้หนิงสิบชิ้น ให้เบลลามีกับโซล่ากันคนล่ะชิ้น จากนั้นก็เทน้ำชาที่เอเธอร์ชอบเตรียมให้ทุกคนทุกวันให้อย่างปราณีต
ทั้งคุกกี้ทั้งชา บอกตามตรงมันของเอเธอร์หมดน่ะแหละ ไม่รู้ติดใจอะไรกับของทานเล่นแล้วก็ชามากขนาดนั้น ผมไม่เข้าใจเอาซะเลย
ตอนนี้ในตู้เก็บของผมก็มีชาของเอเธอร์อยู่เป็นกระสอบ แค่นั้นไม่พอยังมีคุกกี้หลากหลายรูปแบบ รวมถึงขนมธัญพืชอยู่อีกเพียบเลย–ไม่รู้ว่าในตัวเจ้าตัวมีเก็บเอาไว้กี่ร้อยชิ้นถึงเที่ยวแจกชาวบ้านได้ทุกๆวันอย่างนี้เนี่ย
ผมมองพวกเบลลามีจิบน้ำชาหรือกินคุกกี้แบบบ้าคลั่งแบบหนิงอยู่พักหนึ่งก่อนถามธุระ
“แล้วมีอะไรเหรอ ถึงถ่อกันมาตั้งสามคนเนี่ย”
“ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรหรอก แค่”
เบลลามีเริ่มเล่าเป็นฉากๆ
ลำดับแรก เบลลามีแค่จะเอาสรุปบทเรียนที่ผมเรียนอยู่ในปัจจุบมาให้ผมอ่านทดแทนช่วงที่ขาดเรียน แต่หนิงกับโซล่าดันได้ยินเข้าเลยขอติดตามมาด้วย
ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรจริงๆนั่นแหละก็แค่เพื่อนฝูงเจอกันเท่านั้น ..กับเบลลามีอาจจะเกินเพื่อนนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพัฒนาไปมากกว่านั้นเลย คงเป็นเพราะตั้งแต่มาถึงเกาะวาเรอร์ผมก็มีงานต้องทำ ทำให้ไม่มีเวลาว่างไปเล่นแบบช่วงที่เรียนอยู่อาณาจักรฟัฟนิร์
บ่องตง แอบเสียดายนิดหน่อยแฮะ ช่วงวัยรุ่นแท้ๆกลับต้องมาหาวิธีกู้โลกแบบเอาเป็นเอาตายเนี่ย เหนื่อยใจจัง คิดถึงเรเซลจัง อยากนอนให้เรเซลแคะหูให้จัง อยากให้อันนาด่าเล่นๆด้วย แล้วก็เบลลามี ลูบหัวผมที
“ฝากขอโทษอาจารย์แช็คด้วยนะ แล้วก็ขอบคุณมากนะ”
“อือ ยังไงก็เถอะนะ ..ได้พักผ่อนบ้างหรือเปล่า ..ขอบตาดำหมดแล้วนะ”
ผมแตะหน้าของตัวเองพลางหันหน้าไปมองกระจกก็พบว่าผมโทรมเอาเรื่องเลย
“มีงานนิดหน่อยน่ะ เลยโต้รุ่งมาหลายวันแล้ว”
“แต่ไม่โหมตัวเองไปหน่อยเหรอ ไม่ใช่ว่าตัวเองต้องทำคนเดียวสักหน่อย ยังมีเวลาไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นสินะ ..คืนนี้คืนสุดท้าย ถ้าตื่นแล้วช่วยทำข้าวต้นให้หน่อยนะ”
“อือ กินกาแฟหน่อยดีกว่านะ เดี่ยวเราชงให้”
“ขอบใจนะ”
เบลลามียิ้มให้ผม และชงกาแฟให้ระหว่างนั้นหนิงก็วิ่งไปเปิดตู้ผมหยิบคุกกี้ยัดเข้าปากไม่รู้กี่ชิ้นแล้ว ส่วนโซล่าก็ตัวแข็งเป็นรูปปั้นเลย
“จู๋จี๋กันต่อหน้าเลยนะคะ ..เอาเถอะ ตอนนี้ยอมไปก่อนล่ะกันคะ”
โซล่าวิ่งไปยัดคุกกี้เข้าท้องตามๆหนิง ทำให้เหลือแค่ผมกับเบลลามีทีนั่งจ้องตากันตลอดเวลา
พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย จนกระทั่งเบลลามีชงกาแฟเสร็จ
“เชิญเลย”
“ขอบคุณ ..ถ้านั้นก็”
“อือ หมดธุระแล้ว โซล่าจะอยู่ต่อรึเปล่า?”
เป็นห่วงโซล่าด้วยแหละ เบลลามีนี่นางฟ้าชัดๆ
“ไม่ล่ะ มีนัดเตะบอลกับเด็กที่หมู่บ้านกับหนิง”
“มีเงินเดิมพันหลักพันเลยนะ”
หล่อนรวยอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ ยังจะไปแข่งแย่งเงินกับเด็กอีก …โซล่าก็ด้วย โดนหนิงพาไปเสียคนไปกันใหญ่แล้ว
“ว่าแต่ฉัน พวกเธอก็โดดเรียนกันไม่ใช่รึไง”
“หลักสูตรที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิดนี่ค่ะ”
โซล่าพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แตก็นะ ระดับเธอก็ควรอย่างนั้นแหละ ทว่ามันใช่เรื่องที่จะไปเล่นเกมชิงเงินกับเด็กมั้ยเนี่ย
“ทางฉันก็ชิลๆน่ะนะ สอบได้ที่หนึ่งตลอดอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ตั้งใจเรียนแท้ๆไหงเก่งกว่าชาวบ้านฟร้ะเนี่ย”
“ผลจากการพยายามสมัยเด็กแหละ”
หนิงเชิดหน้าและหายใจฟุดฟิด โซล่าโบกมือลาผมกับเบลลามี
“เช่นนั้นขอตัวก่อนนะคะ เวลามันกระทัดรัด”
“เดี่ยวครั้งหน้าช่วยเตรียมคุกกี้รสแอปเปิ้ลเยอะๆหน่อยนะ”
“—ไปขอเอเธอร์เองสิฟร้ะ! ยัยเบื้อกนี่!!”
หนิงไม่สนไม่แคร์ผมและเปิดประตูหนีไปพร้อมกับโซล่าทันที เบลลามีโค้งศรีษะให้ผมเล็กน้อยและเดินออกจากห้องตามไป
แน่นอนว่าปิดประตูให้ด้วย เพราะเบลลามีมีมารยาทตามกับยัยหนิง
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ กะว่าจะวิเคราะห์ข้อมูลต่อแต่ ..ง่วงชะมัด
‘เบลลามีร้ายใช่เล่นนะคะ’ ยูนาพึมพำขึ้นพลางหัวเราะเบาหวิว
ร้าย? เบลลามีเนี่ยนะร้าย? นางฟ้าอย่างเบลลามีน่ะเหรอ? ..จะว่าไป นี่มันเกินกว่าที่จะง่วงได้ตามธรรมชาติแล้ว เหมือนกับความอ่อนล้าในหลายๆวันมันโถมมารวดเดียว
ผมหันไปมองกาแฟที่เบลลามีชงให้ นี่คงเป็นต้นเหตุกระมัง
“..โดนวางยาสินะ ..บ้าจริง”
‘ให้ช่วยตัดลิทธิ์ยาทิ้งดีมั้ยคะ?’
“ไม่ล่ะ ..พักผ่อนหน่อยก็ดี ไม่อยากให้เบลลามีห่วงมากนัก ..เพื่อความสบายใจ..”
ถือว่ารับความหวังดีของเบลลามี..น่ะนะ
‘เช่นนั้น หลับฝันดีนะคะ มาสเตอร์’
สุดท้ายผมก็ทนลิทธิ์ยาไม่ไหวจนต้องนอนตั้งแต่เย็นๆ ได้พักผ่อนอย่างที่เบลลามีขอให้ทำแล้วล่ะ
****
“โย่ว!! สหายเลิฟเรเซอร์ ได้เวลาไปตามหาก้อนมานาแล้…ว..อ่าว”
มิรันด้าหรือวิน พุ่งเข้ามาภายในห้องของเรเซอร์และพบว่าเขากำลังหลับอยู่
ในช่วงสามสัปดาห์มานี้ คนที่สนิทกับวินที่สุดก็คือเรเซอร์ ทำให้บ่อยครั้งที่สองคนนี้จะคุยเล่นกันหรืออย่างวินที่บางครั้งก็เรียกเรเซอร์ว่า–สหายเลิฟ
ทว่าพอเห็นเรเซอร์ หลับปุ๋ยอารมณ์เธอก็ดิ่งทันที
“นึกว่าระดับเรเซอร์จะโต้รุ่งได้สักเจ็ดวันซะอีก อะไรกัน แค่สี่วันก็ไม่ไหวแล้วสินะ”
‘ร่างกายคนปกติไม่ได้พิเศษแบบมนุษย์ทดลองนะวิน เธออาจอยู่ได้แบบไม่หลับได้หนึ่งเดือน แต่คนธรรมดาแค่สามวันก็ปางตายแล้วล่ะ ..ที่สำคัญเหมือนจะโดนวางยาแฮะ’
“โดนวางยาแล้วหลับปุ๋ยอย่างนี้ แปลว่าไม่มีทางมีวิญญาณระดับเทพหรอกเนอะ”
ถ้ามีก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ง่ายๆ ทว่า ..
“พิสูจน์ก่อนก็ดี สภาพแบบนี้เหมือนเปิดทางให้ดูแบบสบายๆเลย ..เอาล่ะ งานฉันจะได้ไปต่อสักที ไม่อยากคว้าน้ำเหลวแล้วกลับไปโดนเนลยอนบ่นด้วยสิ”
วินแสยะยิ้มและกำลังจะยื่นมือไปสัมผัสเรเซอร์ แต่เธอก็หยุดมือไว้ก่อน ..
“..จารย์ขา”
‘อะไรคะ?’
ทั้งสองรับมุกกันได้อย่างยอดเยี่ยม
“จะว่าไปเรเซอร์ก็เคยปล่อยหนูไปหลายรอบนี่เนอะ ทั้งๆที่บ่อยครั้งสามารถกดดันให้หนูเผยตัวจริงได้ ทำไมล่ะ?”
‘คงเป็นเพราะต่อให้รู้ไปก็ไม่ได้อะไร สู้ไม่รู้แล้วสานสัมพันธ์แบบมิตรภาพไปจะดีกว่า ..บนโลกนี้ ทุกทางออกไม่ได้มีแต่การใช้กำลังหรือชนะอีกฝ่ายหรอกนะ’
ไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง ไม่จำเป็นต้องชนะ แค่พอใจทั้งสองฝ่ายก็พอ ..นั่นสินะ
วินแอบยิ้มกับตัวเอง และแอบคิดในใจว่า–ในวันที่ตัวเองตายไป อยากให้เรเซอร์ช่วยอยู่ข้างๆน้องสาวของเธอจัง ถ้าเป็นคนแบบเรเซอร์คงจะพาน้องสาวไปในทางที่ดีต่างกับที่ตัวเธอเป็นตอนนี้ได้แน่ๆ
(ถ้าขอเจ้าหญิงโทมิเรีย ท่านน่าจะช่วยฉันได้อยู่ ..) วินคิด
“พอจารย์พูดแล้วก็มีเหตุผล เข้าใจล่ะ คิดซะว่าเป็นสัญญามิตรภาพระหว่างเรา ฉันจะไม่ล้วงความลับของสหายเลิฟล่ะกัน ..เอาล่ะๆ ในเมื่อหลับแล้วฉันก็ทำงานคนเดียวแทนก็ได้ ไหนๆแผนที่ ..อ่านี่ไง โห เขียนซะเยอะเลย ทำเอานึกถึงเนลยอนจอมบ้างานเลย”
มิรันด้ากำลังถือกองเอกสารหลายสิบแผ่น ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ได้ต่างกับปกติสักเท่าไหร่ เพราะเนลยอนเจ้านายของเธอก็ทำงานระดับเดียวกับเรเซอร์ตลอเวลา
“ไม่รู้ไปเอาไฟมาจากไหนนะ คนจำพวกนี้ ..ช่างเถอะ ปะ จารย์ ไล่กระทืบต้นไม้ปีศาจเล่นสักต้นสองต้นแล้วพักดีกว่า”
‘อ่า ไปกันเถอะ’
วินเดินออกจากห้องไป …โดยที่หารู้เลยว่าที่พวกเอ็งสองคนคุยกันมันเข้าหู—ยูนาหมดเลย
ยูนาหัวเระาแห้งๆให้กับความบ๊องของวิน เธอควรจะรู้แท้ๆว่าวิญญาณระดับเทพไม่สามารถหลับได้ ถ้าหากจะตีวงให้เรเซอร์เป็นคนน่าสงสัยก็ไม่ควรคุยกับวิญญาณระดับเทพของตัวเองต่อหน้าคนอื่น ไม่นั้นอีกฝ่ายจะจับได้แน่ๆพอรู้ตัว
‘ไม่คิดเลยนะคะว่าเนลยอนจะส่งคนแบบนี้มาทำงานเป็นสายลับ ..ว่าแต่วิญญาณระดับเทพของมิรันด้าคือใครกัน ..แล้วก็ทำงานให้เนลยอนอยู่ด้วยนี่ ..ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพที่ทำงานให้เนลยอน ถ้าจำไม่ผิด—-เอ๊ะ’
มีอยู่คนเดียวนี่แหละ และเป็นคนที่ยูนารู้จักดีด้วย
‘..อาจารย์’
วิญญาณระดับเทพของมิรันด้าคือ ‘แรกซ์’ ราชาไสยศาสตร์ผู้เป็นอาจารย์ให้กับยูนาเมื่ออดีต