เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 140: แหงนหน้ามองฟ้า (4)

< < 109Sec4 > >

ทันทีที่ตกเย็นทุกคนก็แยกย้ายกันไปหาที่อยู่ของ ‘เทียนหลง’ ภายในวงที่จำกัดไว้กัน ในวันแรกไม่มีใครหาเจอ เอเธอร์คาดว่าขั้นต่ำสองวันพวกเราคงจะเจอ ทว่าความจริงมันกลับไม่ใช่อย่างนั้น แม้จะผ่านไปสามวันแล้วก็ตามที พวกเราก็ยังหาไม่เจอเลย ..

ช่วงเย็นของวันที่หกในสัปดาห์นี้ หรืออีกสองวันก่อนที่จะต้องกลับอาณาจักรฟัฟนิร์ ผมนั่งอยู่บนโขกหินโดยที่เอเธอร์นังถัดจากผมไปหนึ่งโขกหิน

อย่างที่รู้กันดีว่าพวกเรากำลังเจอปัญหาใหญ่เข้า นั่นคือพวกเราไม่ทราบที่อยู่ของเทียนหลง–ไม่สิ ต้องบอกว่าทราบแล้ว แต่หายังไงก็หาไม่เจอถึงจะถูก เพราะเรื่องมันเป็นมาแบบนี้มันเลยเป็นปัญหาใหญ่ ในเมื่อหาทั้งเกาะแล้วยังไม่เจอเทียนหลง แล้วเทียนหลงหายไปไหนกันละ? มันไม่ใช่ปัญหาที่แค่ทุ่มเวลาทั้งหมดก็หาได้เจอ แต่เป็นปัญหาที่ต้องไขปริศนา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด

ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่แรก ..

“เอาจริงเหรอเนี่ย ..ทำมาตั้งขนาดนี้แล้วแท้ๆ” ผมขยี้ผมตัวเองพลางกัดฟันกรามแน่น

“ช่วยไม่ได้นะครับ คงต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่แรก”

“..แต่ว่าเวลามัน”

“ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่าจะลาเรียนเพื่อมาหาเทียนหลงต่อเหรอครับ? ในที่แรกน่ะ จำได้ว่าเคยพูดไว้นะครับ ในเมื่อเตรียมใจไว้ขนาดนั้นแล้วก็ไม่เห็นมีปัญหาเลยสักนิด”

ผมอยากจะสวนกลับไปว่า–ผมต้องเตรียมเวลาสำหรับรับเหตุการณ์ต่างๆในอนาคตด้วย มั่นใจว่าหลายต่อหลายอย่างคงจะเกิดขึ้นกันมาติดๆ แต่เอเธอร์ไม่รู้ มีแค่ผมที่รู้ นั่นล่ะคือความแตกต่างของผมที่รู้เรื่องราวในนิยายมาก่อน เขาจึงยังใจเย็นได้อย่างนี้ ..ไม่สิ อย่างเอเธอร์ต่อให้รู้ว่าทางข้างหน้าจะมีหายนะเยอะแค่ไหน เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วล่ะมั้ง ก็เอเธอร์น่ะแข็งแกร่งจะตายไป

ตัวตนนี่แข็งแกร่งที่สุดในโลก คือโฉมของเอเธอร์ 

“ก็จริง แต่ใช่ว่าจะมีปัญหานี้ให้เคลียร์แค่อย่างเดียวสักหน่อย”

“ก็อาจจะใช่ แต่ไม่มีอะไรมายืนยันว่าจะเกิดเรื่องขึ้นหรอกนะครับ”

“แล้วถ้ามันเกิดขึ้นมาล่ะ? ถ้าเกิดวิทยาลัยเวทย์มนต์โดนบุกในตอนที่ฉันอยู่เกาะวาเรอร์ล่ะ?”

เอเธอร์ลูบคางครุ่นคิดชั่วหนึ่งพลันจะยิ้มออกมา

“เวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่ก็ให้พวกผมจัดการเอาสิครับ”

“..นั่นสินะ”

ผมถอนหายใจเฮือกโต และคิดจะเอาอย่างที่เอเธอร์ว่านั่นแหละ ยังไงซะเอเธอร์ก็เป็นคนที่พุ่งพาได้ยิ่งกว่าผมเยอะ

จากนั้นก็ไม่รู้จะคุยอะไรกันเลยนั่งเงียบยาวเลย

“มาแล้ว”

เสียงที่สุดจะน่ารัก งามเลิศประเสริฐศรีดังขึ้น ผมรีบปั้นยิ้มให้เจ้าของเสียง—ให้เบลลามีที่เดินถือกระติกน้ำมาด้วยแขนสองข้าง

เบลลามีเดินมาหยุดที่ผมและวางกระติกน้ำเอาไว้โขกหินตรงกลางระหว่างผมกับเอเธอร์ พอวางเสร็จเธอก็ปาดเหงื่อ อยากจะบอกว่าเป็นการปาดเหงื่อที่น่ารักมาก รักเลย ยกให้เป็นทูลหัวเลยครับ

“เอาน้ำมาให้”

เบลลามีตักหน้าในกระติกใส่แก้วและยื่นมาให้ผม

“ขอบใจนะ”

ผมรับไว้ด้วยความปลื้มปิติ

“อือ เอเธอร์ล่ะ?”

“ร่างกายผมไม่กระหายน้ำน่ะครับ เก็บน้ำไว้ให้คนอื่นจะดีกว่า”

ร่างกายของเอเธอร์ปฎิเสธธรรมชาติ ทำให้เขาไม่หิวข้าว ไม่หิวน้ำ ไม่เหนื่อย ไม่โดนปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเล่นงาน จึงไม่จำเป็นต้องกินอะไรก็ได้ ที่เห็นว่าจิบชาหรือกินขนมธัญพืชเนี่ยของโปรดเฉยๆ กินเพราะชอบหมดนั่นล่ะ

“อือ ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกเรานะ”

พูดจบเบลลามีก็รับแก้วคืนจากผมและแบกกระติกน้ำไปบริการคนอื่นตามจุดต่างๆต่อ …ผมหันไปหาเอเธอร์และหรี่ตามองอย่างนึกสงสัย

“มีปัญหาอะไรก็บอกเรา นั่นไม่ใช่ประโยคที่เบลลามีจะพูดกับคนอื่นนอกจากฉันหรอกนะ”

“นอกจากเรเซอร์หรือครับ เรเซอร์กังวลเรื่องความพิเศษของตัวเองที่มีกับเบลลามีเขาเหรอครับ?”

“เออสิ! รู้จักคำว่าหึงมั้ยน่ะ!?”

เอเธอร์หัวเราะเบาหวิว

“ไม่เห็นมีอะไรน่าหึงเลยนะครับ”

“ทุกตรงนั่นแหละ เข้าใจความหมายของคำว่า นอกจากฉัน รึเปล่าหะ?”

“เข้าใจครับ พอนึกดูแล้วก็น่ากังวลไม่น้อยนะครับ หากมองในมุมเลวร้ายหน่อย เรเซอร์คงจะกำลังคิดว่าผมกับเบลลามีมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยกัน ซึ่งบอกอีกมุมก็คือการนอกใจดีๆนี่เอง แม้หากมองตามสถานะจริงๆแล้วไม่ใช่ก็ตาม ว่าง่ายๆเรเซอร์หึงคนที่ตัวเองกำลังพัฒนาความสัมพันธ์ด้วยอยู่”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับที่เอเธอร์สรุปทุกประการ

“ด้วยความที่ยังพัฒนาความสัมพันธ์จึงมีความเป็นไปได้ที่เบลลามีจะเปลี่ยนคนที่สนใจ สิ่งสังเกตุแรกคือการที่เธอปฎิบัติกับผมทัดเทียมกับเรเซอร์”

“ใช่เลยๆ แล้วจะไม่ให้หึงยังไงล่ะหะ?”

“นับว่ามีเหตุผลที่จะหึง เพียงแต่ ..ลองนึกถึงนิสัยผมกับนิสัยเบลลามีดูก่อนสิครับ”

….อ่า

พอนึกตามที่เอเธอร์ว่าแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้งทั้งหมดเลยล่ะ

“คนอย่างเอเธอร์ไม่มีทางมีความรักเชิงๆนั้นกับใครได้หรอก เบลลามีด้วย จริงๆที่เบลลามีรักฉันเนี่ยเป็นเรื่องที่โอกาสเป็นไปได้น้อยมากเลย”

แต่เดิมสองคนนี้ก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะแอบคิดว่า—อ๊ะ คนๆนี้ใจดีกัน ชอบค่ะ หรือ อ๊ะ คนๆนี้ใกล้ไปแล้ว ..ไม่มีทาง ไม่มีทางเลยสักนิด

ถ้าเป็นเบลลามี เวลามีคนมาใกล้ชิดในตอนแรกน่าจะคิดว่า ‘ตั้งใจจะแพร่เชื้อโรครึเปล่านะ จะว่าไปรบกวนเวลาอ่านหนังสือเราจัง’ T T คิดแล้วก็น้ำตาจะไหล ตอนที่เบลลามียังไม่เปิดใจผมแทบจะใจสลายตลอดเวลาโดนเธอพูดร้ายๆใส่ตลอดเลย ถึงจะไม่ตั้งใจก็เถอะ

แล้วในมุมเอเธอร์ล่ะ ‘พูดเยอะจริงๆ’ น่าจะคิดแค่นี้แน่ๆ

“ว่าไงดี พอนึกแล้วก็ใช่แฮะ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมเบลลามีถึงได้ดูสนิทสนมกับนายจัง ไม่ได้คุยกันบ่อยแท้ๆ”

สุดท้ายก็ยังหึงอยู่ดีนั่นแหละนะ เอเธอร์ชำเลืองมองผมและยิ้มมุมปาก

“เรื่องนั้นผมก็สงสัยเหมือนกันครับ เบลลามีชอบมาทำดีกับผมบ่อยๆ ทางผมก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกับเบลลามีเขาด้วย”

พอนึกแล้วก็ใช่ ตลอดมา เวลาเอเธอร์คุยกับเบลลามีจะดูเป็นกันเองเล็กน้อย หากให้เทียบระดับความเป็นกันเองแล้วก็น่าจะ เรเซอร์ > เคียวยะ,โซเฟีย > เอเธอร์ > ยูจิ > หนิง,เรย์,กอรี่,ไอริส และนอกนั้นก็พอๆกันหมดเลย ..คนอื่นน่ะปกติ แต่เอเธอร์ปกติไม่ได้คุยกับเบลลามีเลยไม่ใช่รึไง น่าแปลกใจชะมัด

ไม่ใช่แค่เบลลามีอีก เอเธอร์ก็ด้วย …

“อย่าบอกนะว่า—-คู่ในโชคชะตา!”

บ้าเอ้ย คู่แข่งตัวเบิ้มมาแล้ว!

“เอาแต่คิดแบบนั้นมันเสียมารยาทกับเบลลามีเขาไม่ใช่เหรอครับ”

“อ่า ..มันก็ใช่แหละ” ผมหรี่ตามอง “แต่ต่อให้ไม่ต้องมองในฐานะคนรัก ความสัมพันธ์ของนายกับเบลลามีก็น่าสงสัยนิดหน่อยล่ะนะ”

“เรื่องนั้น ..ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน”

เอเธอร์แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามเย็นด้วยความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก ..

“อย่างที่รู้ว่าความทรงจำของผมช่วงสมัยก่อนจะหายไปแทบทั้งหมด”

“จะบอกว่าในส่วนลึกของความทรงจำมีอะไรบางอย่างอยู่สินะ แต่ว่านะ ..เมื่อร้อยปีก่อนหรือพันปีก่อน เบลลามียังไม่ได้เกิดหรอกนะ”

ไม่มีทางเป็นเบลลามี ..แต่ถ้าเป็นจอมมารแทนก็ว่าไปอย่าง มีความเป็นไปได้ว่าช่วงชีวิตก่อนยุคนี้เอเธอร์เคยได้พบกับจอมมารและคุ้นเคยกับจอมมาร ทำให้ดูเป็นกันเองกับเบลลามี แต่..เป็นกันเองกับจอมมารเนี่ยนะ? นอกจากปีศาจมหาบาป ผมนึกภาพคนอื่นไม่ออกเลยแฮะ

“เรื่องนั้นไม่มีใครรู้หรอกครับ ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องค้นหาอะไรด้วย ..เพราะผมไม่อยากรับรู้”

ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่สายตาก่อนที่เอเธอร์จะผละตัวออกจากโขกหินมันดูน่ากลัวต่างจากทุกที

“ทำงานต่อกันดีกว่าครับ” 

เอเธอร์กลับมาปั้นยิ้มตามเดิม

สุดท้ายพวกเราก็หาเทียนหลงไม่เจอ ไม่รู้ทำไม แต่เหมือนว่าจะมีคนมาเจอเทียนหลงก่อนแล้ว และปกปิดมันเอาไว้ สุดท้ายผมก็ต้องตัดสินใจดรอปเรียนเพื่อมาค้นหาเทียนหลงต่อ

****

ในคืนวันนั้น ผมนอนพักผ่อนอยู่ในห้องด้วยสภาพที่สุดจะเพลียร์

ทำพลาดไปตรงไหนกัน ทั้งคืนผมเอาแต่คิดถึงความผิดพลาดของตัวเองจนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อค”

“อือ”

เสียงเบลลามีขานรับ เธอดันประตูเข้าห้องนอนผม อย่างแรกที่เธอทำคือกวาดสายตาไปรอบๆ เมื่อเจอผมก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องผมและเก็บรองเท้าเข้าที่ก่อนจะเดินมาหาผม

ผมสังเกตุท่วงท่าการเก็บของหรือขยับขาขยับแขนทุกวินาทีของเธอแบบไม่วางตา เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเลยตั้งใจมองและเก็บไว้ในความทรงจำให้หมด

บนเกาะวาเรอร์ มีแค่เบลลามีนี่แหละที่ช่วยให้ผมลืมเรื่องเครียดทั้งหมดได้ นี่สินะ..พลังแห่งความรัก ..ความรักนี่ดีจังนะ ก็ความรักคือต้นกำเนิดของทุกอย่างนี่นา ที่ผมพยายามอย่างหนักบนเกาะวาเรอร์ก็เพื่อตอบสนองความรักของผมที่มีให้ทุกคน ความรักไม่จำกัดว่าชอบคนๆหนึ่ง แต่มันเป็นไปได้หลายทางกว่านั้น และรักได้ในทุกสิ่ง

อย่างเรน หมอนั่นรักในความอมตะ หรืออย่างผมที่รักผู้มีพระคุณของตัวเองทุกคน พวกเราเหมือนกันตรงที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตอบแทนความรักในใจของตัวเอง

“มีธุระอะไรเหรอ?”

“ไม่ได้มีอะไรหรอก” เบลลามีสะอึกไปแปปหนึ่ง “เราแค่อยากมาหา”

..ถ้าถามว่าผมรักเบลลามีแบบไหน ผมจะตอบทันทีว่ารักแบบคนรัก ในตอนแรกอาจเป็นแบบผู้มีพระคุณ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผมรักเธอเหมือนที่รักเรเซลกับอันนาเลย

“แต่มาแปลกจังนะ มาตั้งดึกดื่นแบบนี้”

“ปกติเรเซอร์ไม่ว่างไม่ใช่เหรอ?”

“อ่า ..นั่นสินะ”

ก็จริงแหละ ผมไม่มีเวลาให้เบลลามีเลยพักหลังๆมานี้ น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผมกลัวว่าจะโดนเอเธอร์ตลบหลังแบบไม่สมเหตุสมผลล่ะมั้ง

“พวกเราตกลงกันไว้ว่าจะทำความรู้จักกันจนจบการศึกษาก่อน แต่ว่า ..เราไม่ได้ทำความรู้จักอะไรกันเลย แบบนั้นมันจะไม่ตรงกับที่คุยไว้”

“พูดเป็นพิธีจังเลยนะ”

ผมพูดกึ่งๆหยอกล้อไป แต่ไม่รู้ทำไมเบลลามีถึงทำหน้าเหวอใส่ น่าแปลก เบลลามีไม่ค่อยแสดงสีหน้าแท้ๆแต่เธอกำลังทำหน้าเหวออยู่

“เราอยากอยู่กับเรเซอร์ มีแค่นั้นแหละใจจริงของเรา ไม่ได้เป็นพิธีอะไรนะ ความรู้สึกของเราไม่ใช่ของที่เป็นไปตามพิธีนะ”

ที่พูดคงไปกระตุ้นอะไรบางอย่างเข้าแฮะ เผลอทำให้เบลลามีมีน้ำโฮหน่อยนึงไปซะแล้ว

“โทษทีนะ”

“..เราต่างหาก เรเซอร์พึ่งเหนื่อยมาแท้ๆแต่เห็นแก่ตัว แค่เรารั้งอยากได้เวลาของเรเซอร์ ขอโทษนะที่ทำตัวไม่ดี”

“พูดถึงเห็นแก่ตัว ฉันเองก็ใช่ย่อย ..แต่เอาเถอะ”

ผมลุกขึ้นออกจากเตียงและลงไปนั่งบนโซฟาแทน

“เห็นว่าเคียวยะมันกำลังเขียนนิยายใหม่อยู่ล่ะ”

จากนั้นก็เริ่มชวนเบลลามีคุย เธอยิ้มเบาหวิวและนั่งคุยกับผม บางครั้งขาของพวกเราก็ชนกันหรืออยู่ๆไหล่ก็ชนกัน แต่ว่าไม่มีฝ่ายไหนขยับตัวหนีเลย ผมกับเบลลามีนั่งใกล้กันมากจนอีกหน่อยหน้าก็ชนกัน

พวกเราคุยเรื่องทั่วๆไปจนถึงเรื่องของเรเซลและอันนา เบลลามีอยากรู้จักสองคนนี้ไว้ก่อน มีคุยเรื่องของเอเธอร์ด้วย แน่นอนว่าถามแบบเล่นๆไม่ได้อะไรมาก แต่ดันโดนเบลลามีดุใส่เฉยเลย ไม่รู้เหตุใด ผมถึงฟินแปลกๆเวลาโดนเบลลามีดุ บางทีผมอาจจะเป็น M (มาโซคิส)

ถึงจะต่างเรื่องกัน แต่ทุกเรื่องขอแค่ได้คุยกับเบลลามีมันก็สนุกไปหมด ..

“เบลลามีทำไมถึงไม่คบกับฉันไปเลยล่ะ?”

จู่ๆผมก็ถามขึ้นมา เป็นคำถามที่ตรงและดูเห็นแก่ตัวนิดหน่อย ..แต่ความเกรงใจต่อกัน ว่าตามตรงระหว่างพวกเรามันลดไปเยอะเลย ทั้งทางผมและทางเบลลามี

“ทำไมเหรอ?”

“อืม”

“ถ้าต้องแยกจากกัน มันจะได้เศร้าน้อยลง ..เหรอ?”

“คิดแบบนั้นเองเหรอเนี่ย นั่นเรียกว่ารักหวังเลิกได้รึเปล่านะ”

พอโดนหยอกแบบนั้นเบลลามีก็ส่ายหัวให้รัวๆ

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเรา เรเซอร์จะได้เศร้าน้อยลง”

“มันไม่มีน้อยหรือมากหรอกนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเบลลามี ฉันเศร้าหมดแหละ ทางที่ดีอย่าให้เกิดอะไรขึ้นดีกว่า”

“อือ จะพยายาม”

หน้าเบลลามีแดงจนถึงใบหู เห็นแล้วผมก็อยากหยอกเล่นอีกหน่อย แต่ผมดันไม่มีอารมณ์แกล้งเธอเลย เพราะ..เบลลามีกังวลว่าวันหนึ่งตัวเองจะหายไป

ไม่ต้องรอให้ถึงวันที่เธอหายไป แค่ตอนนี้ เบลลามีแค่บอกว่าตัวเองอาจจะหายไปในอนาคต ผมก็กลัวและเศร้าใจสุดๆแล้ว รู้สึกว่าถ้าใครเป็นต้นเหตุทำให้เบลลามีคิดแบบนี้ แค่คิด ผมก็อาจโกรธระดับเกินสมควร ต่อให้เป็นคนที่สนิทด้วยอย่างเคียวยะก็ตาม 

ผมกลัวว่าเธอจะหายไปสุดๆเลยล่ะ

“ทำไมถึงคิดว่าตัวเองจะหายไปล่ะ”

“..ไม่รู้สิ เพราะปกติมันเป็นแบบนี้ตลอดรึเปล่านะ?” เบลลามีหรี่ตาลง “ความตายกับเรา ดูไม่ใช่อะไรที่ห่างไกลกันเลย ถ้าวันหนึ่งเราตาย เราคงจะไม่คิดอะไรมาก ..คงคิดดีใจด้วยล่ะ ว่าอย่างน้อยเราก็ได้พบเจอกับเรเซอร์”

คิดเหมือนกับในนิยายสินะ ตอนนี้เธอยังคิดว่าต่อให้ตัวเองตายไป แต่ความสุขที่มีอยู่ตอนนี้ก็ทำให้เธอไม่เสียดายชีวิตแล้ว นั่นน่ะน่าเศร้านะ ..ผมไม่อยากให้เบลลามีคิดอย่างนี้เลยสักนิด ผมมาที่นี่เพราะอยากเปลี่ยนตอนจบ—ผมอยากให้เบลลามีรู้สึกเสียใจถ้าต้องตาย

ผมอ้าแขนออกและกอดเบลลามีไปโดยไม่รู้ตัว และไม่คิดจะผละตัวออกด้วยหลังกอดไปแล้ว เบลลามีนิ่งสนิท ตัวแข็งทื่อไม่ได้ขยับร่างกายหนี แต่นั่งนิ่งๆด้วยใบหน้างงๆ—ไม่นานแก้มก็แดงแต่ก็ไม่หนี กลับกัน เธอกอดผมกลับ

ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันเห็นแก่ตัว มันจะมีอะไรดีกว่าการที่ตัวเองตายได้แบบไม่เสียดายชีวิตแล้วล่ะ? ก็จริง แต่ว่าสำหรับผมไม่ใช่ ผมอยากมีชีวิต อยากให้เธอมีชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อยากดิ้นรนและมีชีวิตด้วยกัน ..เรื่องที่ตายแบบไม่เสียดายน่ะ เอาไว้ตอนแก่ดีกว่า สำหรับตอนนี้ต้องอยู่ด้วยกันสิถึงจะถูก

“ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอหายไปเด็ดขาด เธอเองก็อย่าหายไปด้วย อย่าคิดว่าหายไปก็ไม่เป็นไรด้วย ..ได้โปรด ขอร้องล่ะ” ผมกัดฟันกรามแน่น ใบหน้าของตัวเองตอนนี้คงจะดูน่าสมเพชเอาเรื่องเลย ใบหน้าที่หวาดกลัวนี้น่ะ “อย่าทิ้งฉันไว้เลยนะ”

..เบลลามีทำเพียงลูบหัวผม โดยที่เธอไม่ได้พูดตอบกลับอะไรเลยสักอย่าง นั่นทำให้ผมรู้สึกกลัวยิ่งกว่าเดิม

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset