< < 114 Sec8 > >
“ทูตสวรรค์ ลูซิเฟอร์สินะ นายน่ะ”
หญิงสาว? เด็กสาว? ผู้หญิงที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเด็กสาวกับหญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าข้าที่นั่งลงกับพื้นอย่างหมดสภาพ ตัวนางมีใบหน้าที่งดงาม แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือเลือนผมของนางที่เป็นสีขาวราวกับภาพวาด
ช่างงดงาม ..ตัวตนของนางงดงามราวกับท่านเทพผู้สูงส่ง ไม่สิ บางทีอาจจะเหนือกว่าอีก ..ตัวข้าในฐานะทูตสวรรค์ช่างบาปหนาที่คิดเช่นนั้น
“ในที่สุดก็หมดก๊อกเสียทีนะ เล่นเอาทางเราเหนื่อยใช่ย่อยเลย”
นางกล่าวออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ข้าไม่เคยเห็นใครที่ดูสนุกกับการต่อสู้เช่นเดียวกับนางคนนี้มาก่อนเลยล่ะ ..
ตอนนี้ข้าทูตสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดถูกหญิงประหลาดโค่นลงเสียแล้ว
เป็นการต่อสู้ที่ดี แม้ว่าข้าจะพ่ายแต่ข้าก็นิยามการต่อสู้นี้ไว้ว่ายอดเยี่ยม ตลอดการต่อสู้มันเต็มไปด้วยเรื่องน่ามหัศจรรย์จากตัวเด็กสาว แม้ว่าจะอ่อนแอแต่ก็มีทริคประหลาดมาใช้รับมือกับข้าเรื่อยๆ ถ่วงเวลาให้ลูกน้องของตนเข้ามาจัดการข้าตามแต่สถานการณ์
ทุกพลังถูกใช้มาอย่างไม่ศูนย์เปล่า ทุกจังหวะใช้ขัดขวางข้าได้หมดราวกับว่ามองตัวข้าทะลุปรุโปร่ง—สุดท้ายข้าก็ติดกับสุดท้ายของนางคนนี้
เพลิงสีขาวพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของนาง ภาพลักษณ์ที่อ่อนแอถูกซัดหายไปในพริบตาเดียว รอยยิ้มของนางทำให้ข้ารู้ว่าการต่อสู้มันจบแล้ว
เพราะตรงหน้าข้าคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ข้าคิดผิดที่เลือกจะมาสู้กับเธอด้วยตัวคนเดียว เธอประกาศให้ข้ารู้โดยการฟาดเพลิงสีขาวเข้าใส่กลางตัวข้า และส่งข้าลงมากองกับพื้นดังที่เป็นอยู่เวลานี้
กระทั่งตอนนี้เพลิงสีขาวก็ยังปกคลุมตัวข้า อีกทั้งยังเผาปีกสีขาวของข้าจนเป็นธุรี เลือดไหลออกจากหัวของข้า ร่างกายถูกเผาจนไม่มีแรงจะต่อกรแล้ว ปกคลุมวิสัยทัศน์รอบๆจนหมด ทว่ามีสิ่งเดียวที่ไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังได้
นั่นก็คือ–ใบหน้าของนาง
ไม่ว่าจะอดีตหรืออนาคตอันไกลโพ้น ข้าก็จะไม่มีวันลืมโฉมหน้าของเธอ ณ ห้วงเวลานี้
“ผู้แพ้จะต้องตอบสนองสิ่งที่ผู้ชนะต้องการ ก่อนสู้กันพูดไว้แบบนั้นรึเปล่านะ?”
“ใช่แล้ว ..เชิญทำตามที่ท่านต้องการได้เลย”
“เราชื่อ ‘ดิลุค’”
“..ตามบันทึกของทวยเทพ ท่านไม่ได้มีนามว่าดิลุค”
“ใครสนกัน เราตอนนี้ชื่อดิลุคจะเรียกว่าจอมมารก็ได้ แล้วแต่จะถนัดเลย รู้ไว้แค่นี้เป็นพอ ..เอาล่ะ ลูซิเฟอร์ คำสั่งของเราก็คือ—” ดิลุคยื่นมือมาให้ข้า “มาร่วมทำลายโลกใบนี้กับเราซะ”
วินาทีนั้น
ตัวข้าได้ถวายวิญญาณรับใช้ผู้ยิ่งใหญ่ดังเช่นท่านดิลุค ข้าสาบานว่าจะตามท่านไปยันจุดจบของโลก
ทว่า
ตลอดการเดินทางนับพันปี รอยยิ้มดั่งทุกทีของท่านจอมมมารก็ค่อยๆเลือนหายไป
ท่านจอมมารไม่ใช่คนเดิมกับเมื่ออดีต
หน้าที่ของข้าในฐานะบริวาร ..คือการทวงคืนท่านดิลุคคนเดิมกลับมา จำเป็นต้องทำลายต้นกำเนิดของความฝันของท่าน ต้องทำลายต้นตอของความทุกข์นับพันปี โดยที่ให้ท่านจอมมารมาเกี่ยวด้วยไม่ได้เด็ดขาด ท่านพยายามมามากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำมากกว่านี้แล้ว พักได้แล้ว พอได้แล้ว ..ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง
ข้าถือวิสาสะทำตามใจชอบ และผลลัพธ์ตอนนี้ก็คือ ..ข้าถูกท่านผู้นั้นซัดจนกระเด็น สุดท้ายก็ต้องเดินจนมาหยุดอยู่ที่ริมหาดของเกาะวาเรอร์
ร่างกายอ่วมไปด้วยบาดแผล เหมือนกับเมื่ออดีตตรงที่เลือดท่วมหน้าข้าจงมองข้างหน้าได้ไม่ชัด แต่ตอนนี้ข้าก็รู้ดีว่าตัวเองจะต้องเดินหนีจากท่านจอมมารให้เร็วที่สุด ถ้าหนีทันข้าก็จะกลับไปวางแผนใหม่กับเรนได้อยู่
“..อา คิดถึง ‘อาซาเซล’ จัง”
ข้าพูดถึงอาซาเซลเพื่อข่มจิตใจที่ปั่นป่วนของตนเอง ใบหน้าที่มองข้าราวกับหนอนแมลงของท่านจอมมารทำให้ข้ารู้สึกใจหาย รู้สึกเจ็บปวดทรมานถึงที่สุด รู้สึกเหมือนกับต้นนรกทั้งเป็น
ข้าเดินไปเรื่อยๆปล่อยให้เลือดไหลไปตามหาด จนข้า..เดินมาถึงเรือขนาดยักษ์ของเรนเข้า
เรนเดินมาต้อนรับข้าในสภาพที่สมบูรณ์ครบถ้วน
“ถอยทัพก่อนสินะท่าน”
“ใช่ ดึงดันสู้ต่อไปมีแต่จะโดนจอมมารฆ่าเอาเปล่าๆครับ ..”
แม้เรนจะมีสีหน้าที่เจ็บใจ แต่เขาก็พยายามระงับความโกรธเอาไว้ ..เรนคือชายที่เฉลียวฉลาด แต่กลับควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย ทำให้ดูจะเอาตัวไม่ค่อยรอดในหลายๆสถานการณ์เพราะอารมณ์ชั่ววูบของตัวเอง
“แล้วพวกบิลเซบับล่ะ”
“ปล่อยไป ..ทั้งสองไม่คิดจะทำตามแผนของข้าหรอก”
ยังไงก็ไม่ตายอยู่แล้ว สักวันคงได้เจอกัน
“เข้าใจแล้ว”
ข้าเดินขึ้นเรือของเรนไป และตัวของข้าก็ค่อยๆหายไปเพราะพลังการล่องหนของเรือยักษ์นี่
ก่อนที่จะเข้าไปภายในตัวเรือ ข้าหันไปมองบนฟ้าที่ท่านจอมมารกำลังยืนอยู่ ..
****
“มีเรื่องที่เราต้องคุยกันเยอะเลยล่ะ”
“เป็นไปได้ขอแบบย่อๆล่ะกัน”
“เดี่ยวสิแก อย่ามาสั่งท่านจอมมารนะ!”
บิลเซบับเข้ามาเกาะแกะผมด้วยท่วงท่าน่ารำคาญ จอมมารหันไปยิ้มให้บิลเซบับ และนำนิ้วชี้สัมผัสที่ริมฝีปาก ทำเสียง ‘ฟูว’ เหมือนบอกให้เงียบ
อย่างกับหมา บิลเซบับเงียบตามที่จอมมารสั่ง ไม่ต้องพูดแค่ทำท่าทางก็พอแล้ว ..เชื่องมาก? ว่าไปนั่น
“เป้าหมายของเรเซอร์คืออะไรรึ?”
“ไม่ใช่เรื่องที่ทางนี้ต้องบอก”
“น่าเสียดาย เช่นนั้นเราจะบอกเป้าหมายของเราให้ก่อนล่ะกัน เผื่อว่าจะไว้ใจกันมากขึ้น–เจ็บปวดนะ ที่เรเซอร์ทำเสียงแข็งใส่เราแบบนี้น่ะ”
จอมมารพูดด้วยใบหน้าของเบลลามี ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เบลลามี ทางจอมมารก็จงใจพูดกวนผมด้วย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะรู้สึกจุกตรงอก โดนคนที่ตัวเองรักพูดใส่แบบนั้นมัน ..
“น่ารักจริงๆนะเรเซอร์เนี่ย ตัวเราในยุคนี้ยังคิดว่าเรเซอร์น่ารักเลยนะ หน้าตาดูน่ากลัวแท้ๆแต่กลับมีนิสัยที่รักสงบผิดคาด กับคนรอบตัวก็อ่อนโยน แอบน้อยใจหน่อยเพราะคิดว่าเรเซอร์จะอ่อนโยนกับทุกคน แต่ไม่ใช่ พอเห็นว่าเรเซอร์ไม่ได้ใจดีกับทุกคนก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเลยล่ะ ทำให้เผลอใจเต้นหลายจังหวะในเวลาสั้นๆเลย”
“..”
“นี่เรียกว่าความไม่บริสุทธิ์ในความรักได้รึเปล่านะ? ตัวเรานี่เห็นแก่ตัวจริงๆ”
“รีบๆบอกธุระมาได้แล้ว”
“กับคนที่ไม่ได้สนใจก็จะทำเสียงแข็งแบบนี้ใส่สินะ? เราก็เป็นเบลลามีเหมือนกันแท้ๆ ที่บอกว่าเจ็บปวดไม่ได้โกหกนะ”
จอมมารพูดไปยิ้มไป เหมือนกับในนิยายตรงที่เธอชอบพูดกวนประสาทชาวบ้านแบบไม่รู้ตัว ..ถ้ามองในด้านนี้ จะบอกว่าเหมือนเบลลามีก็ได้เหมือนกันตรงที่ชอบพูดอะไรไม่ดีออกมาแบบไม่รู้ตัวน่ะ
แต่ว่า–ยังไงก็ไม่ใช่เบลลามีอยู่ดี ต่อให้ใกล้เคียงกันแต่ก็ไม่ใช่เธอคนที่ผมรัก
จอมมารเห็นท่าทีของผมก็ถอนหายใจ
“มาเริ่มคุยกันเถอะ”
“อ่า”
“เป้าหมายของเราคือการทำลายโลก”
รู้อยู่แล้ว ทำลายโลก ทำไมทำไมก็ไม่รู้ ในนิยายไม่บอกอะไรเลย แต่ก็ไม่อะไร เพราะพูดถึงจอมมารก็ต้องนึกถึงทำลายโลกถึงจะถูก
เช็ตติ้งจืดๆที่เข้าใจง่าย แน่นอนผมไม่ได้เกลียดหรอกนะ เพราะยังไงซะนิยายที่ผมชอบเข้าขั้นบูชาก็ใช้เช็ตติ้งอย่างนี้เหมือนกัน
“อาจจะสงสัยสินะว่าเราจะทำลายโลกไปทำไม”
“ท่านจอมมาร มากกว่านี้ไม่ได้นะคะ”
บิลเซบับทำท่าจะเข้ามาห้าม
ว่าแล้วว่าต้องมีเป้าหมาย ไอ้นิยายที่เขียนมาให้อ่านนี่คลุมเครือชะมัด อยากวาร์ปไปต่อยคนเขียนสักป้าปจริงๆ
“ถ้าเราอยากได้ความร่วมมือจากเรเซอร์ เราจะต้องเล่าทุกอย่างให้ฟังสิถึงจะถูก”
“แต่ว่า”
“บิลเซบับ เด็กดี เด็กดี ยืนอยู่เฉยๆก่อนนะ”
“..ค่ะ”
..ง่ายไปมั้ย? ยัยนี่ได้ชื่อว่าปีศาจมหาบาปได้ไงเนี่ย
จอมมารหันมาคุยกับผมต่อ
“ให้พูดโดยรวมสิ่งที่เราจะทำคือการทำลายโลกแน่นอน แต่เป้าหมายในเชิงลึกคือการทำลายเนื้อในเน่าๆของโลกใบนี้”
เนื้อในเน่าๆ?
“โลกใบนี้ถูกควบคุมไว้ด้วยกฏ ชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตทุกตนบนโลกถูกควบคุมด้วยทวยเทพทั้งสิบ”
“ถูกควบคุม? ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครถูกควบคุมสักหน่อย”
“ถ้าปัจจุบันนี้ก็ใช่ เทพไม่สามารถแทรกแทรงกับผู้คนได้มาก แต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะเรา หากจำไม่ผิดเรเซอร์ศึกษาเรื่องของจอมมารเช่นเราเยอะพอตัวนี่”
จอมมารได้รับความทรงจำทั้งหมดของเบลลามีมาด้วย
“เมื่อหนึ่งหมื่นกว่าปีก่อน มนุษย์ในยุคโบราณไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างตอนนี้หรอกนะ ทุกคนเป็นเพียงแค่ทาสของทวยเทพ เป็นเพียงตุ๊กตาที่ไร้ความรู้สึก เราผู้เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ใหลไปตามกฏของทวยเทพก็คิดขึ้นมาเล่นๆว่าจะเป็นยังไงนะ ถ้าโลกใบนี้ไม่ได้มีแต่ตุ๊กตาข้ารับใช้ทวยเทพน่ะ”
แบบนี้นี่เอง ถ้าเป็นตามที่จอมมารพูดก็กล่าวได้ว่าจอมมารคือวีรชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ เธอคือคนที่ปลดปล่อยมนุษย์จากความไม่ยุติธรรมแน่นอน
มองอีกมุม จอมมารนี่ตัวหายนะของพวกเทพชัดๆ
“ด้วยเหตุนั้นข้าจึง–อาศัยช่องโหว่ของกฏของทวยเทพ ในฐานะ ‘ข้อผิดพลาดของโลก’ สร้างดาบที่สามารถตั้งกฏที่ไม่เท่าเทียมขึ้นมาได้”
ดาบที่ตัดกฏได้ ดาบสีขาวที่ใช้รักษาคนให้หายเป็นปริดทิ้งได้ในพริบตา มันคือดาบขี้โกง ตามเนื้อเรื่องดาบเล่มนี้ไม่สามารถใช้ฆ่าคนได้ แต่ใช้ฆ่าได้แค่ทวยเทพ นอกจากนั้นก็ใช้รักษาและป้องกันการโจมตีทุกรูปแบบได้ในการฟันฉับเดียว พลังของดาบเล่มนี้ก็เคยช่วยผมไว้อยู่หลายครั้ง อย่างตอนสู้กับเอเธอร์หรือเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานก็ด้วย
‘ข้อผิดพลาดของโลกดูจะเป็นสถานะที่ร้ายกายไม่ใช่หน่อยเลยนะคะ’
นั่นสินะ แต่ว่า ..ดาบของจอมมาร ผมไม่คิดว่าตัวเองจะใช้มันได้หรอก ถ้าของที่ใกล้เคียงกันอาจจะได้ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง มีขั้นตอบแบบไหนเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกไปเองว่ามันไม่ใช่ของที่เกินตัวเลย
“แน่นอนว่าการสร้างมันขึ้นมาไม่ได้ง่ายหรอกนะ ข้าจำเป็นต้องผูกบริวารของข้า ‘72 ปีศาจแห่งโซโลม่อน’ เป็นเชื้อเพลิงในการใช้งานมัน”
‘72 ปีศาจแห่งโซโลม่อน’ เป็นบริวารของจอมมารที่ตายไปตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว แน่นอนมีปีศาจเจ็ดมหาบาปที่อยู่ในกลุ่มโซโลม่อนบ้าง
พอคิดว่าบิลเซบับขึ้นเป็นปีศาจมหาบาปได้ยังไง ผมก็เหมือนจะได้คำตอบกลายๆแล้วว่าบิลเซบับที่ไม่ได้เก่งอะไรเลย อาจจะแค่บังเอิญรอดตายเหลือเจ็ดคนพอดีเลยได้ชื่อเจ็ดมหาบาปมาเลยไรงี้ ..ตัวผมช่างเสียมารยาท
“ด้วยพลังของเราและเหล่าปีศาจที่อยู่ข้างกาย ทำให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตได้ตามใจต้องการ แต่ว่ามันก็แค่ชั่วคราว อีกหลายหมื่นปีข้างหน้า เศษเสี้ยวของเทพคงจะกลับมารวมกันจนครบ และให้กำเนิดเทพดั่งเมื่อยุคโบราณขึ้นมาใหม่ นั่นจะหมายถึงจุดจบของมนุษยชาติด้วยเช่นกัน เพราะหากปราศจากข้อผิดพลาดของโลก มนุษย์ก็ไม่สามารถต่อต้านทวยเทพได้อย่างแน่นอน” จอมมารพูดต่อ “สักวัน เราคงไม่สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้แล้ว หากปราศจากข้อผิดพลาดโลกก็คงจะกลับสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง ด้วยเหตุนั้นเราเลยคิดขึ้นมาได้”
จอมมารยกมือขึ้นฟ้าอย่างอลัง
“แค่ทำลายโลกเสียก็จบ”
ช่วยโลกโดยการทำลายโลกเนี่ยนะ–จอมมารช่วยตอบข้อสงสัยที่ประชดประชันของผม
“จากนั้นก็สร้างโลกใหม่ขึ้นมา เป็นโลกที่กฏของเทพทั้งหมดถูกทำลายไปจนสิ้นแล้ว ทีนี้มนุษย์ก็จะใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องเป็นห่วง โลกใบนี้จะไม่มีเจ้าของโดยชอบธรรมอีกต่อไป”
..แบบนี้นี่เอง
จอมมารคือฮีโร่สินะ แหม่ ไม่อยากจะเชื่อเลย–ก็แย่แล้ว
“ดูดีนะ แต่ที่ทำมันก็แค่เลือกจะทิ้งคนโลกนี้และสร้างโลกใหม่ในอุดมคติของตัวเองก็เท่านั้นนี่”
“ ? ”
“โลกใบนั้นคงจะไม่มีเบลลามี ไม่มียูนา ไม่มีพี่แองเจลิน่า ไม่มีเรเซล ไม่มีอันนา ไม่มีเคียวยะ โลกที่ไม่มีทุกคนมันจะไปมีความหมายอะไร” ผมยิ้มให้จอมมาร “โลกที่ปราศจากคนที่ฉันรักน่ะมันไร้ค่า”
“เรเซอร์จะยอมให้โลกจมลงสู่ความเงียบอีกครั้งหรือ?”
“ไอ้ฉันก็อยากบอกหรอกนะว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกโดยที่ไม่ต้องทิ้งโลกเก่า แต่ดูแล้วมันคงจะเป็นไปไม่ได้”
“ใช่ เราเองก็พยายามจะทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้ โลกใบนี้จำเป็นต้องแก้ไขตั้งแต่ขั้นตอนการสร้าง หากไม่ทำอย่างนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ได้”
“ถ้านั้นก็จมๆไปเถอะโลกใบนี้”
…
“ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปพร้อมกับทุกคน ถ้าการปกป้องโลกคือการฆ่าทุกคนบนโลกใบนี้ ฉันก็จะทรยศด้วยเหตุผลส่วนตัวนี่แหละ แค่นี้ก็มากพอแล้วสำหรับการตัดสินใจทิ้งโลกใบนี้
“อย่างที่ว่าไป ฉันขอปฎิเสธคำเชิญ”
จอมมารจ้องหน้าผมสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมา และมองมาทางผมด้วยแววตาที่ดูเศร้า
“เรเซอร์ ..น่าเสียใจนะ เราเสียใจจริงๆนะ ..ถ้าแผนเราเป็นจริงมันหมายถึงการฆ่าเรเซอร์ด้วยก็จริง แต่อย่างน้อยก็ตอนนี้–เรายังไม่อยากฆ่าเรเซอร์เลย”
น่าเสียดายจริงๆนั่นแหละ–จอมมารเดินเข้าใส่ผมทันที ในมือกำเปลวเพลิงสีขาวเอาไว้
ตั้งใจจะฆ่าผม—ใครจะยอมกัน
จังหวะเดียวกันกับที่จอมมารจะเข้ามาสังหารผม
กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร!!!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงร้องของมังกรก็ดังขึ้น เมื่อหันไปทางเสียงผมก็พบกับมังกรจีนยักษ์ที่บินเข้าหาจอมมาร
‘เทียนหลง’ บินมาโดยที่บนหลังมีหนิงเกาะมาด้วย
“เทียนหลงนี่ ไม่ได้เจอกันนานนะ”
“แก ไอ้มังกรบ้า! จะฆ่าให้ได้เลยคอยดู!!!!!! จะสอนให้รู้เองว่ามาหาเรื่องท่านจอมมารจะเจออารายยยยยยยยยย”
บิลเซบับวิ่งเข้าใส่เทียนหลงแบบไม่คิดชีวิต จอมมารพุ่งไปเตะบิลเซบับให้พ้นระยะพุ่งตัวของเทียนหลง เธอกุมขมับตัวเองด้วยตอนทำ ดูจะปวดหัวกับบิลเซบับไม่น้อย ..
เทียนหลงพุ่งใส่จอมมาร ร่างของจอมมารถูกเทียนหลงชนเข้าตรงๆและลอยขึ้นฟ้าไป—-หนิงที่เกาะหลังของเทียนหลงมากระโดดลงพื้นอย่างสวยงาม
“โย่ว”
หนิงทำท่าตะเบ๊ะให้ผม—เซฟเดอะเดย์จริงๆหนิง แต็งกิ้ว