< < 116 Sec2 > >
เพราะสังหรณ์ใจไม่ดีเลยวิ่งมาทางที่เกิดปฏิกิริยามานา และพอมาถึงที่ ผมก็ได้พบเห็นภาพเบื้องหน้านั่นทำให้ผมแทบจะล้มทั้งยืน ..สภาพที่ยับเยินของทุกคน
คุณมิรันด้านอนอยู่บนพื้นในสภาพที่ตัวขาดครึ่ง ใกล้จะตายเต็มทีแล้ว ..คุณเรเซอร์เองก็ด้วย เขากำลังโดนเพลิงสีขาวคลอกอยู่จนไม่เห็นแม้แต่ผิวร่าง ถึงกระนั้นก็สัมผัสกลิ่นอายได้ว่าคือคุณเรเซอร์ ตามพื้นตั้งแต่ข้างหน้าไปจนถึงป่าก็มีลอยเลือด–เป็นคุณหนิงไม่ผิดแน่ ตอนนี้เขาเป็นยังไงกันนะ ..ไม่รู้เลย
อาจจะตายแล้วก็ได้ ..เหมือนกับ
สุดท้ายคือคุณโซล่า
เธอตายแล้ว
ผมนั่งลงกับพื้นและสัมผัสบริเวณต้นคอของเธอ ..ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ ถ้าตอนนี้ล่ะก็–ยังไม่สาย
“[หักล้าง]”
ไม่ได้ ไม่สามารถหักล้างได้
“[หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง] [หักล้าง]”
ทั้งหมดมันเปล่าประโยชน์ ..ไม่มีวิญญาณอยู่ในร่างของเธอแล้ว
เป็นไปไม่ได้ ถ้าพึ่งตายอย่างน้อยก็ต้องยังอยู่ใกล้ๆสิ หายไปเลยแบบนี้มันผิดจากปกติ—ไม่จริงใช่ไหม ไม่เอานะ แบบนี้น่ะมัน..มัน
ผมจับศรีษะของตัวเองและขยี้ผม
“ครั้งนี้เองก็ ..อีกแล้วเหรอ”
‘เศษเสี้ยวความทรงจำ’ ไหลเข้ามาในหัว ความทรงจำของตัวผม? มันย้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง เรื่องราวการสูญเสียครั้งสำคัญมันฉายซ้ำไปมาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่สามารถพูดอะไรได้แล้วนอกจาก ‘อีกแล้วเหรอ’
เศษเสี้ยวความทรงจำมันบอกมาว่าไม่ว่าจะกี่ครั้ง ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ผมไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้—มันไม่ใช่โชคชะตา แต่เป็นความไร้พลังของผมเอง
“..ทำไมกัน”
ผมหันไปมองคุณเบลลามี ..
“ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยล่ะครับ ..คุณน่ะไม่ได้เห็นพวกเราเป็นเพื่อนเหรอไง”
ไร้เหตุผลที่สุด ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมถึงทำเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าคุณเบลลามีรักคุณเรเซอร์เหรอ? ทำไมถึงทำอย่างนั้นล่ะ? ผมอยากจะรู้เหลือเกิน ..ถ้ารู้บางทีผมอาจจะให้อภัยเธอได้ …
เธอไม่ตอบอะไร คำตอบคือการเดินเข้าหาผมพร้อมกับดาบบนมือนั่น ไม่จำเป็นต้องเดาเลย คำตอบของเธอคือ—ไม่ใช่
‘ยูจิ รีบถอยออกมา’
อลันเตือนด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แต่..ตอนนี้ผมไม่สามารถยอมรับได้อีกแล้ว
“..อะไรกันท่าทางแบบนั้น ..ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอครับ”
“ไม่จำเป็น”
ไม่จำเป็นนั้นเหรอ—-ราวกับอะไรบางอย่างได้พังทลายลงมา
“อย่ามาล้อเล่นนะ ..คิดว่าพวกเราเป็นอะไรกันหะ!!!?”
‘ยูจิ!!’
ผมเสียสติโดยสมบูรณ์ ในหัวตอนนี้มีแต่ความต้องการที่จะเด็ดหัวของคุณเบลลามีทิ้งเสียจึงพุ่งตัวออกไปโดยไม่สนอะไร
คุณเบลลามีตอบโต้โดยการก้าวเท้าถอยหลังและเหวี่ยงดาบเฉือนแขนขวาอย่างงดงาม ไม่มีการเคลื่อนไหวที่สูญเปล่าเลย ต้องบอกว่าทุกการเคลื่อนไหวมันสมบูรณ์แบบ ในฐานะนักดาบแล้วอาจจะเหนือกว่าเรย์เสียอีก ..เอ๊ะ
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ไม่ใช่ของคุณเบลลามี เธอไม่มีทางทำอย่างนี้ได้
ตุ้บ.. แขนขวาหล่นลงพื้น ช่างง่ายดายและรวดเร็ว
อีกทั้ง ..
“..รักษาไม่ได้”
‘ดาบแห่งโซโลม่อนมีความสามารถในการสังหารและตัดพลังของทวยเทพ ..ถ้าอยากจะรักษาแขนคืนก็ต้องชนะให้ได้ก่อนครับ’
ดาบแห่งโซโลม่อน? มีนคืออะไรกันล่ะ
คุณเบลลามีไม่รอให้คิดอะไร เธอเดินเข้าใส่ ตั้งใจจะสังหารให้โดยเร็วที่สุดอีกทั้ง–คิดจะทำทั้งหมดด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ทั้งการฆ่าคุณโซล่าทั้งการฆ่าผม สำหรับเธอมันคง..เป็นแค่เรื่องน่าเบื่อสินะ การฆ่าเพื่อนของตัวเองน่ะมันง่ายเหมือนกับการแกว่งดาบครั้งสองครั้งเลยเหรอ?
ทั้งๆที่สิ่งที่สำคัญที่สุดของผมคือทุกคนแท้ๆ ผมพร้อมจะแลกทุกอย่างที่มีเพื่อปกป้องทุกคน แล้วทำไมถึงได้ทำแบบนี้ ..ทำไมถึงได้หักหลังผมแบบนี้–อภัยให้ไม่ได้
ในมือกำแขนข้างที่ขาดไว้ กัดฟันกรามแน่นและโพล่งออกมา
“..[ออโรโบรอส]”
นามที่แท้จริงของออร่าไหลเข้ามาในหัว ไม่จำเป็นต้องชักถามหรืออะไร ทั้งหมดคือเรื่องปกติที่ผมจะรู้นามที่แท้จริง
พลังมากมายไหลเข้าสู่ร่างกาย ทั้งร่างกาย เวทมนตร์ ไสยศาสตร์ เล่นแร่แปรธาตุหรือกระทั่งวิชาการอาวุธทุกแขนงต่าง ภูมิความรู้ทั้งหมดไหลเข้าสู่ร่างประหนึ่งกับครั้งหนึ่งเคยเรียนรู้มันมาแล้ว
ในทุกอย่างที่ไหลเข้ามาอยู่ในขั้น ‘สูงสุด’ ไม่ใช่ ‘บรรลุ’ แต่เป็น ‘สูงสุด’ หรือขีดสุดที่จะไปถึงได้ของทุกๆสาย จุดสูงสุดของโลกอยู่ใมือของยูจิทั้งหมด
ดวงตาเองก็พลันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองชั่วขณะ
ทั้งผมและคุณเบลลามีต่างรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ดี
“นี่เองเหรอ ศาสตร์ของเทพแห่งวัฐจักร–ในยุคโบราณไม่เห็นจะรู้เลยนะว่าแข็งแกร่งถึงขนาดนี้” จอมมารหรี่ตามอง “การบัฟเหรอ? การเลียนแบบพลังทั้งหมดบนโลกเหรอ? ออร่า พลังของนายคืออะไรกันแน่ ช่วยแสดงให้เห็นทีสิ มีแค่นายนั่นแหละที่เราไม่สามารถเข้าใจหลักการได้”
ผมพุ่งใส่พร้อมกับปล่อยหมัดออกมา
ร่างกายเบามาก เสมือนว่าไม่มีน้ำหนัก
“–เร็ว”
เธอใช้แขนซ้ายรับหมัดตรงเอาไว้ได้ ช้ากว่าแต่ก็คาดเดาการเคลื่อนไหวของผมได้ ถึงกระนั้นร่างก็ปลิวไปกับแรงกระแทกที่มหาศาลของหมัด เพียงการป้องกันเปล่าๆไม่มากพอจะหยุดยั้งอะไรได้—ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรอให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้
“ออกมาซะ ..[ดาบแห่งแสง]”
เวทมนตร์ขั้นสูงที่เรียกดาบแสงออกมาได้—ทักษะการต่อสู้ การตัดสินใจ สกิล ทุกอย่างไหลเข้ามาในหัวโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องคิดขั้นหนึ่งขั้นสองขั้นสามที่ทำก็แค่ปล่อยร่างกายไปตามสัญชาตญาณ
จากนั้นผมก็พุ่งตามไปด้วยความเร็วที่อยู่จุดสูงสุดของโลกใบนี้
****
หาได้ยากที่จอมมารจะอยู่ในสภาพนอนมองพระจันทร์
“ความเร็วนั่นมันอะไรกัน ..ราวกับผู้ที่รวดเร็วที่สุดในยุคโบราณไม่มีผิด ..พลังของออร่าคือจุดสูงสุดของความเร็วแล้วหนึ่ง แล้วก็ ..หมัดนั่นมีความรุนแรงทัดเทียมกับ ‘ผู้สยบปฐพี’ หมายความว่ามีจุดสูงสุดของการใช้ทักษะหมัดด้วยอีกหนึ่งอย่าง”
จอมมารพึมพำในขณะที่ตัวเองกำลังนอนอยู่บนโขกหิน แขนซ้ายที่ใช้ป้องกันหักเละจนอยู่ในรูปที่น่าสยดสยอง ประหนึ่งว่าถูกบด เธอใช้แขนขวาที่สภาพยังดีใช้ดาบแห่งโซโลม่อนช่วยรักษาบาดแผลจนหายดีได้ในพริบตาเดียว จากนั้นก็ค่อยๆพยุงร่างขึ้นมา ทว่า
“ดูเหมือนจะยากเกินกว่าที่คาดไว้–”
“[ดาบประกายแสง]”
เร็วมาก ร่างของยูจิไม่ทันจะโผล่ให้จอมมารเห็น ตัวของจอมมารก็ถูกตัดครึ่งก่อนแล้ว–ความเร็วที่ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าให้ทันได้ ไม่มีทาง ต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่มีทางจะตามความเร็วของยูจิในตอนนี้ได้ง่ายๆ
แต่เพราะคาดเดาไว้แล้วว่าจะโดนเล่นงานอย่างนี้ จอมมารเลยเตรียมการณ์ใช้ดาบแห่งโซโลม่อนตั้งแต่ก่อนจะถูกสะบั้น
ดาบแห่งโซโลม่อนรักษาจอมมารให้กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างทันท่วงที
จากนั้นก็ใช้เพลิงสีขาวขยายวงเพื่อยืดเวลาหายใจให้ตัวเอง ไม่มีทางที่ยูจิจะฝ่ามันมาได้ ในขณะนั้นจอมมารก็
“[เสริมพลังกาย] [เสริมโชค] [เสริมสติปัญญา] [เสริมประสาทสัมผัส] [เสริมระยะมองเห็น] [เสริมความเร็ว] [เสริมความเร็วการร่ายเวทย์] [เสริมการลงดาบ] [เสริมการวิ่งหนี] [เสริมการวิ่งเข้าใส่] [เสริมกล้ามเนื้อ]”
ทุกอย่างคือเวทมนตร์เฉพาะของจอมมาร บนโลกนี้ไม่มีเวทย์เสริมประสิทธิภาพใดๆทั้งนั้น มากสุดก็เสริมได้แค่ประสาทสัมผัส แต่จอมมารคือข้อผิดพลาดจึงสามารถคิดค้นและใช้มันได้แค่เพียงผู้เดียว
“[เสริมการลอยตัว] [เสริมการลอยน้ำ] [เสริมการเดิน] [เสริมการเกาะผืนดิน] [เสริมกระปีนไต่] [เสริมการทรงตัว]”
เมื่อกล่าวทั้งหมดจบจอมมารก็สลายเพลิงสีขาว และจากนั้นหัวก็ถูกธนูแสงปักเข้ากลางหน้าผากทันที—เหมือนกับ [ดาบแห่งแสง] ยูจิก็ใช้ [ธนูแห่งแสง] ในการโจมตีจอมมาร แม้แขนจะขาดไปข้างหนึ่งแต่ยูจิก็ใช้ปากแทนแขนอีกข้าง มันเป็นไปไม่ได้แต่ด้วยทักษะสูงสุดมันทำให้เป็นไปได้ เพียงแต่เวทมนตร์ [ธนูแห่งแสง] ไม่มีอยู่บนโลก ..นั่นหมายความว่ายูจิเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเอง
อีกทั้งยังทักษะการใช้ธนูที่เข้าขั้นสูงสุดนั่นเอง
ทั้งการคิดค้นเวทมนตร์ ทั้งทักษะการใช้ธนูอยู่จุดสูงสุดทั้งสองอย่าง
แน่นอนว่า–จอมมารเองก็เดาทั้งหมดไว้ได้ และวางดาบแห่งโซโลม่อนไว้ตำแหน่งที่รักษาตัวเองได้ทุกเมื่อ ถ้าหากไม่ได้เตรียมรักษาไว้ล่ะก็..จอมมารได้แพ้ไปแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้
“ทักษะการคิดค้นเวทมนตร์ที่ทัดเทียมกับ ‘มหาปราชญ์’ ทักษะการใช้ธนูที่ทัดเทียมกับราชาผู้พิชิต ‘โอริเวอร์’ ..ความสามารถที่หลุดบาลานซ์ไปไกลนี่มันอะไร แม้แต่เทพมังกรคนนั้นยังรู้จักคำว่าพอเหมาะพอดีเลยนะ แล้วนี่มันอะไร เรากำลังเจอกับตัวอะไรกันแน่”
จอมมารแหงนหน้ามองยูจิที่ลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้า และยิงลูกธนูใส่เข้ามา
“ไม่คิดว่าจะแกร่งเท่ากับเอเธอร์หรอกนะ แต่–สำหรับเราไม่ว่าคนไหนก็อันตรายพอกัน”
จอมมารใช้ดาบแห่งโซโลม่อนปัดลูกศรไปกว่าครึ่ง ทว่าศรอีกครึ่งที่เหลือก็วับหายไปปรากฏเป็นยูจิที่ลงมาอยู่ข้างหลังจอมมารแทน
(—ทักษะเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงสุดที่สามารถนำมาประยุกต์กับการต่อสู้ได้ นี่คือทักษะของนักเล่นแร่แปรธาตุที่ทรงพลังที่สุด—-เอาอีกแล้ว จุดสูงสุดอีกแล้ว)
พุ่งตัวหนีแต่ก็ถูก [หักล้าง] ดึงกลับมาจุดเดิม
[หลุดดำ] ปรากฏขึ้นตรงหน้ายูจิ และพริบตาเดียวมันก็ถูกสลายด้วยการร่ายเวทย์ซ้อนทับ
“–อึก”
จอมมารถูกซัดเข้ากลางท้อง ร่างที่แสนบางปลิวไกลนับหลายกิโลมิตร
ตู้ม!!!!!!! สุดท้ายจอมมารก็ไปกระแทกเข้ากับผิวน้ำรอบๆเกาะวาเรอร์ แต่เพราะ [เสริมการลอยน้ำ] ทำให้ร่างไม่จม
“..คนเดียวที่มีปัญญาพอจะเข้าใจหลุมดำและซ้อนทับเวทย์ทำให้ผลลัพธ์ไม่เกิดได้ ..มีแค่ ‘เซียน’ เท่านั้น ทักษะการวิเคราะห์ก็อยู่จุดสูงสุดด้วยหรือเนี่ย”
จอมมารรักษาบาดแผลเสร็จก็ลุกขึ้นยืนบนผิวน้ำ และจับตามองยูจิที่ลอยตามมา
ไม่มีทีท่าว่าจะพุ่งเข้าใส่—แต่กลับยิงบีมออกมา
“ทัดเทียมกับ..เทพมังกร ..อะไรกัน พลังทำลายก็ด้วยเหรอ?” จอมมารถอนหายใจ “เป็นความสามารถที่ไม่เลวนะ ออร่า”
แทนที่จะใช้ดาบแห่งโซโลม่อน จอมมารกลับเลือกจะอัดเพลิงสีขาวสวนไป
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แรงปะทะที่สูสีกันทำให้ผิวน้ำรอบๆเกิดสั่นไหวไม่หยุด ไม่ใช่แค่เสียงจากตัวเกาะที่ใกล้จะจม เสียงปะทะของจอมมารและยูจิก็ดังพอๆกัน
“แบบนี้นี่เองนี่คือขีดจำกัดสินะ”
ยูจิพุ่งมาข้างหลังจอมมาร และเตะจอมมารปลิวกลับเข้าเกาะ
ร่างของจอมมารปลิวชนเกาะ ชนต้นไม้บ้างประปรายและทะลุทั้งหมด ต่อให้ทะลุได้แต่ร่างกายก็สาหัสจากแรงกระแทกที่นับไม่ถ้วน จอมมารกลิ้งตามพื้นในสนามโรงเรียนตามเดิม เหมือนว่ายูจิจะเล็งระยะทั้งหมดไว้ได้อย่างสมบูรณ์
จอมมารค่อยๆลุกขึ้นหลังจากรักษาตัวเองเสร็จ
“การเตะนั่นก็ด้วย จุดสูงสุดเหมือนกัน ยังไงก็ช่าง..เข้ามา”
บีมพุ่งเข้าใส่จอมมารแบบไม่รอให้หายใจ—จอมมารกางโล่เพลิงสีขาวออกมาแทนที่จะยิงสวนหรือใช้ดาบแห่งโซโลม่อนทำลายทิ้งเสีย ทำให้ตัวเองเสียเปรียบโดยใช่เหตุ ด้วยเหตุนั้นช่องว่างจึงเปิดขึ้นให้ยูจิง่ายๆ
ด้วยความเร็วที่สูงที่สุด ยูจิพุ่งมาโผล่ข้างหลังของจอมมาร หมายจะฆ่าจอมมารที่เปิดช่องว่างทิ้ง—ทว่า
“ยังอ่อนประสบการณ์”
จอมมารแทงดาบแห่งโซโลม่อนสวน ..มันทะลุเข้าไปในอกของยูจิ พลังกายเหนือมนุษย์ทั้งหมดพลันหายไปจนทำให้ร่างของยูจิไม่สามารถขยับได้ เพียงแต่
“อะไรกัน แค่เฉียดเองเหรอ”
เหมือนว่าจะแทงพลาดจากหัวใจไปเล็กน้อย ถ้าเกิดไม่พลาดยูจิได้ตายเหมือนกับโซล่าแล้วแน่ๆ
“..อั้ก”
เลือดพุ่งออกจากปากของยูจิ เลือดกระเซ็นโดนแก้มของจอมมารเล็กน้อย แต่จอมมารเวลานี้ไม่ได้ใส่ใจอะไร เธอดึงดาบแห่งโซโลม่อนออกมา และปล่อยให้ยูจิทรุดลงกับพื้นในสภาพหมดแรง ดวงตาสีเหลืองค่อยๆจางหายไปพร้อมกับพลังมากมายที่ไหลเข้าร่างก็พลันหายไปจนหมด ..หมดสภาพแล้ว
ยูจิแหงนหน้ามองจอมมารด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“จุดสูงสุดที่ใช้มันไม่ใช่ของที่ใช้พร้อมกันได้ แต่ต้องสลับไปมาใช้ทีล่ะอย่าง เรื่องนั้นเรายืนยันได้ก็ตอนที่ถูกซัดไปทะเลนั่นแหละ พอทดสอบอะไรสักหน่อยก็เลยรู้ ..พอรู้อย่างนั้นเลยหลอกล่อให้พุ่งมาในระยะดาบที่เราส่งไปถึงนายได้ นั่นแหละคือเหตุผลที่แพ้ ถ้าเกิดไม่วู่วามพยายามเลี่ยงก็คงไม่จบอย่างนี้” จอมมารพูดต่อ “และหากอยู่ในโหมดของ ‘เซียน’ คงไม่มีทางพลาดท่าหรอก เพราะจะคาดเดาการกระทำของเราได้ทั้งหมด เพราะเซียนมีสติปัญญาทัดเทียมกับเรา ..ถึงต้องบอกไงว่าประสบการณ์ยังต่างกัน เอาแต่พึ่งพลังของออร่าอย่างเดียวไม่พอสำหรับโค่นเราหรอกนะ”
หากยูจิมีสติปัญญาทัดเทียมกับจอมมาร ผู้แพ้อาจจะไม่ใช่ยูจิก็เป็นได้ ..ไม่สิ คงจะต้องลงเอยอย่างนั้นแหละ ยังไงซะ ยูจิก็คือผู้มีชะตาต้องโค่นจอมมาร ถ้าไม่เลือดร้อนเกินไปก็ไม่มีทางแพ้
“..”
ยูจิไม่ได้ตอบอะไร ทำแต่ตาเหม่อลอยคล้ายคนหมดสติ
“ใช้งานร่างกายหนักเกินไปจนหลับไม่ไหวสินะสภาพอย่างนี้ ..เช่นนั้นก็คงไม่จำเป็นต้องพูดมากกว่านี้แล้ว”
ทันทีที่หมดขอบเขตุการทำงานของ [ออโรโบรอส] ร่างกายก็ต้องรับความเสียหายที่มหาศาลรวมถึงสติสัมปชัญญะด้วย ..ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่าอยู่ดีสำหรับพลังสุดจะขี้โกงเมื่อครู่
…
“หลับให้สบายล่ะ ยูจิ”
เป็นครั้งแรกตั้งแต่สู้กับยูจิที่จอมมารแสดงสีหน้า
ป.ล.ดักไว้ก่อนเผื่อมีคนบอกว่าแก็งพระเอกกากนะครับ เพราะบอกก่อนหน้าโดนจอมมารกระทืบทุกคน ที่กากไม่ใช่แก็งพระเอกแต่บอสที่เจอเก่งเกินไปครับ(ฮา) ให้ตัวโหดๆในเรื่องตัวอื่นแบบ คาลอส มหาภูต บลาๆมาเจอก็เละเหมือนกันหมดครับ
ป.ล.2 จะลบ ปล จะลบ ปล หลังลงได้สักพักนะครับ กันคนมาอ่านทีหลังไม่อิน (ฮา)