เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 175

< < 124 Sec 4 > >

“แบบนี้นี่เอง เป็นไปตามที่คาดไว้เลยนะคะ”

แองเจลิน่าพึมพำพลางจิบชาไปด้วย อัลเบิร์ดพยักหน้ารับด้วยท่าทางเกร็งๆ แม้เขาจะเป็นว่าที่ราชาคนต่อไป แต่ออร่าไม่อาจเทียบแองเจลิน่าที่ฐานะต่ำกว่าได้เลย

ถ้าที่แห่งนี้เป็นอัลเบโด้ที่มานั่ง ท่าทางของแองเจลิน่าคงจะไม่ชิลเช่นนี้แน่ เรื่องนี้แน่นอนทางผมก็ด้วย 

หนิงที่นั่งถัดจากผมหยิบคุกกี้กินและฟังรายละเอียดงานประชุมโลกไปด้วย บ้างก็ขอชาจากอัลเบิร์ดโต้งๆ ไร้ซึ่งความเกรงใจ ..แต่น่าแปลกที่อัลเบิร์ดไม่ได้ว่าอะไรเลย แทนที่จะหยิ่งในศักดิ์ศรี อัลเบิร์ดกลับเป็นคนที่กลัวในตำแหน่งของตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะมีแต่ตำแหน่ง กลัวว่าตัวเองจะไร้น้ำยา ต่างๆนานาที่คิดทำให้อัลเบิร์ดกลายเป็นคนไม่ได้ความเล็กน้อย

จะบอกว่าเป็นพวกความมั่นใจในตัวเองต่ำก็ได้ ทั้งๆที่เกิดมาในจุดที่ทุกคนสรรเสริญแท้ๆ

เป็นเคสที่แปลก แต่ในโลกเก่าก็มีคนอย่างนี้อยู่เหมือนกัน ลูกชายนักฟุตบอลที่อยากเป็นนักฟุตบอลแต่พอโตได้หน่อยก็ล้มเลิกความฝัน เพราะขาดความมั่นใจในตัวเอง

จุดนี้คนรอบตัวจะต้องคอยดึงออกมาจากจุดๆนั้นให้ได้ แต่กรณีของอัลเบิร์ดว่าตามตรงคงยาก มีแต่จะต้องขึ้นเป็นราชาต่อจากอัลเบโด้เพราะถูกบังคับ

เลวร้ายที่สุดอาจถึงจุดที่เป็นเพียงราชาหุ่นเชิดก็เป็นได้ ..คิดไปไกลรึเปล่านะ? อัลเบิร์ดเองก็ยังโตได้อีกมากแท้ๆ มีเวลาอีกเป็นสิบยี่สิบปีเลยกว่าจะถึงจุดนั้น 

บางทีคิดมากไปก็ไม่ดีกับตัวเอง เลิกดีกว่า

ผมปรับความคิดในหัว และจดจ่อกับเรื่องของอัลเบิร์ดในทุกๆรายละเอียด

อีกสองเดือนต่อจากนี้ จะมีงานประชุมโลกขึ้น อาณาจักร จักรวรรดิ หรือเมืองที่ร่วมพันธมิตรตั้งแต่หลังจบสงครามแย่งชิงอำนาจทุกแห่งจะมาพูดคุยกันในหัวข้อหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นเรื่องหายนะบนเกาะวาเรอร์ ..เรื่องเกี่ยวกับอาชญากรโลกอย่างเรน

เจ้าภาพคือ ‘ราชามังกร กิโดร่า’ ในนิยายต้นฉบับเขาคือตัวละครสำคัญ และเป็นตัวละครที่แกร่งเข้าขั้นเหนือสามัญสำนึกที่โผล่มาตนแรกในเรื่อง

ความแข็งแกร่งของกิโดร่าในนิยายต้นฉบับบรรยายไว้ได้ดีมาก รัศมีของผู้เป็นราชาเองก็มีไม่แพ้อัลเบโด้เลย เป็นชายที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความน่าเกรงขาม ..หากจำไม่ผิด เขาขึ้นเป็นราชามังกรมาตั้งแต่ยุคมังกรธาตุแล้วกระมัง? ในทีแรกไม่ได้ก่อตั้งเขตุของตัวเอง แต่หลังยุคแย่งชิงอำนาจก็เริ่มมีจักรวรรดิราชามังกรขึ้นมา และเริ่มมีอิทธิพลตั้งแต่ยุคผู้กล้าจนมาถึงปัจจุบัน อำนาจของจักรวรรดิราชามังกรก็สะสมมาจนยิ่งใหญ่ไม่แพ้สี่มหาอำนาจเลย

การที่จักรวรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นเจ้าภาพให้งานระดับโลกมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ..แต่ที่ทำให้รู้สึกน่าแปลกคือกิโดร่ามักจะไม่ยุ่งกับคนอื่นเท่าไหร่ การที่เขาเคลื่อนไหวด้วยตัวเองนี่มันหมายความว่าโลกกำลังถึงจุดที่ลำบากจริงๆแล้วสินะ?

ผมนึกถึงหน้าของเรนและจอมมารขึ้นมา

ก็ควรจะอย่างนั้น หากผลงานทั้งหมดของจอมมารโดนโยนไปให้เรน ทำให้เรนกลายเป็นตัวอันตรายที่สุด

ผมที่รู้ความจริงอยู่แล้วไม่คิดจะพูดอะไร เพราะสำหรับผม มีแต่ได้กับได้ มีคนมาช่วยลากหัวเรนออกจากรูแบบนี้มันเข้าทางผมเลยละ ..

“ด้วยเหตุนั้นจึงอยากขอความร่วมมือกับทุกคนครับ”

“ตกลง”

ไม่มีเหตุผลต้องปฎิเสธ

“ถ้าเรเซอร์เอาฉันก็เอาด้วยงั้น”

หนิงตอบแบบว่าง่าย เล่นเอาอยากสวนไปเลยว่า–อย่าพูดเหมือนไปเดินเล่นสิฟร้ะ ..ช่างเถอะ อัลเบโด้อยากได้ตัวหนิงคงอยากให้ช่วยอะไรสักอย่าง ถ้าจำเป็นจริงๆผมว่าให้หนิงช่วยหน่อยก็ดี

แองเจลิน่าเองก็แน่นอน

“ในฐานะตัวแทนของดยุคฉันต้องร่วมด้วยอยู่แล้วค่ะ”

“เข้าใจแล้วครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ”

“คิดว่าเป็นคำบ่นจากพี่สาวต่างสายเลือดก็ได้นะ อัลเบิร์ด”

“..ครับ?”

อัลเบิร์ดเอียงคอฉงน หนิงเห็นก็ถอนหายใจ

“ทำตัวให้มันดูแข็งแรงหน่อยสิ ทำตัวเหยาะแหยะแบบนั้นเดี่ยวก็โดนดูถูกเอาหรอก”

“..นะ นั่นสินะครับ”

แองเจลิน่าเอียงคอมองตาม และเขยิบมากระซิบข้างหูผม

“เห็นหนิงเขาวางตัวว่าเป็นพี่สาวเจ้าชายเขาด้วย ..นี่หมายความว่ายังไงจ๊ะ หรือเพราะนับถือกันในฐานะพี่ฐานะน้อง?”

“เป็นพี่สาวแท้ๆเลยครับ”

อะไรสักอย่าดังมากจากหนิง มันเป็นเสียงประหลาดที่คล้ายเสียงอะไรสักอย่างตก

หนิงค่อยๆหันมายิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มแสนอัมหิต

“ยังไงก็–ช่วยอธิบายให้ทีฟังด้วยนะจ๊ะ”

“นะ แน่นอน”

เรื่องของหนิง และเรื่องบุกประสาทเทล่าเทล ผมจงใจไม่เล่าให้ฟังเองแหละ ..ถึงสุดท้ายจะหนีไม่พ้นก็เถอะ

 

****

ภายในรถไฟที่โดยสารปกติของนักเรียน

โซเฟียได้แต่งงกับเรื่องบางเรื่องจนตัวคัน ไม่ถามไม่ขยับคงไม่ได้ เธอจึงเอ่ยถามเบลลามีเพื่อนสนิทของเธอ

“ยูจิเป็นอะไรไปเหรอ?”

เพียงคำถามสั้นๆก็ทำให้ทุกคนที่ไปเกาะวาเรอร์นั่งเงียบ ..มีแค่เคียวยะที่ทำเสียงหัวเราะขึ้นจมูก แต่จะนับว่านี่คือการออกความเห็นก็คงไม่ได้ โซเฟียจึงทำเมินเคียวยะไป

เบลลามีผู้ถูกถามค่อยๆหันไปมองโซเฟียด้วยรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเศร้า

“ความผิดตัวเราเอง”

“เอ๊ะ? จริงเหรอ? เรื่องอะไรล่ะ?”

“เบลลามีไม่ได้ผิด”

ฝั่งเคียวยะดันยืนยันอย่างอื่นแทน โซเฟียยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่

“ยูจิมันแค่สติแตกไปเอง ท่าทางแต่แรกมันก็ดูไหลไปกับคนอื่นได้ง่ายด้วยไม่ใช่รึไง จะไปหลงกลคนอื่นหรือบ้าไปเองกับเรื่องสักเรื่องเข้าในสักวันก็ไม่แปลก ทั้งหมดคือปัญหาของมันก็แก้ด้วยตัวเองไป แต่อย่าได้ดึงเบลลามีเป็นคนผิดเด็ดขาด ..เข้าใจตรงกัน? เรื่องมันแค่นั้น”

“สะ เสียมารยาทจังนะไปว่าคนอื่นอย่างนั้นเนี่ย เลวจริงๆเฟ้ยแกน่ะ แล้วยูจินี่ก็เพื่อนนะปล่อยไปได้ที่ไหน”

โซเฟียด่าเคียวยะข้ามฝั่งที่นั่ง เคียวยะหัวเราะขี้นจมูกใส่อีกรอบ

“แกนี่เย็นชากับยูจิจริงนะ”

กอรี่ที่นั่งข้างๆบ่นขึ้นมา

“เย็นชา? ก็ท่าทางปกติไม่ใช่รึไง”

“แบบว่านั่นไง ถ้าเป็นแกจะต้องไปคุยกับยูจิลับหลังมาแล้วแน่ๆไรงี้ อ๊ะ จุดนี้พวกเราก็ไม่รู้นี่นะ”

“ไร้สาระ ทางนี้บอกเรื่องยูจิมันไปหมดแล้ว จบแค่นี้นะ ไม่ต้องมาชวนคุยแล้ว”

พูดจบเคียวยะก็หันหน้าหนีไปทางอื่น คนอื่นได้แต่ถอนหายใจให้เคียวยะ ยกเว้นไอริสคนเดียวผู้มองเคียวยะอย่างทะลุปุโปร่ง

“คนปากไม่ตรงกับใจ”

“หุบปากไปซะ”

“ฮิฮิ”

ไอริสหัวเราะได้ใจ—เรย์มองภาพสองคนนี้ทำกึ่งจู๋จี๋กันด้วยใบหน้าบึ้งตึง ..

“เรย์พอรู้อะไรบ้างมั้ย?”

โซเฟียหันมาถามเรย์แทน

“..เหมือนว่าเรเซอร์กับยูจิจะทะเลาะกันอยู่ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดน่ะนะ เพราะจะไปถามยูจิก็ไม่ค่อยจะว่าง เหมือนโดนหลบหน้าหน่อยๆด้วย พอเดินไปถามเรเซอร์ก็บอกแค่ว่าไม่ได้ทะเลาะกัน”

“เข้าใจยากจังเลยนะ ..เพื่อนกันแท้ๆ”

ทุกคน ยกเว้นเคียวยะและไอริสหันมามองโซเฟียด้วยใบหน้าที่สดชื่น ในช่วงหลายวันนี้ไม่ได้เห็นอะไรที่เยียวยาจิตใจมานานแล้วน่ะนะ ..

“โซเฟียช่วยอยู่เป็นประมุขของพวกเราต่อไปนะ อย่าไปมีแฟนหรือเปลี่ยนนิสัยเลยนะ”

“หา? ไม่เอาย่ะ นักเลงก็ต้องคู่กับแฟนหนุ่มโฉดๆเซ้”

เดือนก่อนหล่อนพึ่งไปหลงคนแก่เองไม่ใช่เรอะ—-ถึงตัวจริงจะเป็นเรเซอร์ก็เหอะ ความจริงนี้ทำให้ไม่มีใครกล้าแย้งขึ้นมา เพราะมีแต่จะทำให้โซเฟียซ้ำใจเปล่าๆ

จากนั้นบรรยากาศจึงดำเนินกลับไปเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น

แม้ว่าจะขาดคนสำคัญในนั้นอยู่หลายคนเลยก็ตาม

 

****

ยูจิยืนชมวิวอยู่นอกตัวรถไฟ โดยที่มีเทียนหลงคอยเฝ้าระวัง

“..งานประชุมโลกนั้นเหรอ”

..ไม่ใช่

ยูจิไม่ได้ชมวิว แต่กำลังดักฟังอยู่ต่างหาก

บนมือของเทียนหลงส่งคลื่นเสียงที่เชื่อมต่อกับห้อง VIP มาให้ยูจิฟังตามคำสั่ง

“จากที่ได้ยินเหมือนว่าผมเองก็ถูกชวนด้วยอีกต่อหนึ่งนะครับ”

“จะร่วมด้วยหรือเปล่าคะ?”

“แน่นอนครับ ก้าวแรกของผมควรเริ่มจากไหน งานประชุมโลกนี่แหละคือคำตอบของก้าวแรก ..” ยูจิพิงที่กั้นและมองไปบนฟ้า “ตั้งแต่วันนั้นผมก็ติดต่อออร่าไม่ได้เลย สิ่งที่เขารู้ผมยังรู้ไม่หมด ออร่าบอกแค่ว่าให้ฆ่าคุณเรเซอร์ซะ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูก”

เทียนหลงหรี่ตามองยูจิ

“เหตุใดการฆ่าจอมมารถึงเป็นเรื่องที่ผิดหรือคะ?”

“เพราะเขาคือเพื่อนละมั้งครับ ..”

ถึงจะไว้ใจไม่ได้แล้ว แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป–ความอ่อนโยนของยูจิทำให้เรเซอร์กับยูจิยังไม่แตกหักจนถึงขั้นหันดาบเข้าหากัน อย่างมากตอนนี้ก็แค่พยายามไม่ยุ่งกันแค่นั้น

“อย่างน้อยผมก็อยากให้เขามีความสุข”

เศษเสี้ยวความทรงจำมากมายยังวนเวียนอยู่ในหัวของยูจิ ..ความรู้สึกที่ปารถนาจะให้คนสำคัญของตัวเองมีความสุขมันไม่ได้หายไปไหน

การฆ่าเรเซอร์จึงเป็นเรื่องต้องห้าม

“..ท่านยูจิ สักวันท่านจะเสียใจกับทางเลือก”

“พูดเหมือนออร่าเลยนะ”

“ค่ะ เพราะตัวตนของจอมมาร คือจุดจบของโลกใบนี้ เป็นไปได้ข้าก็อยากให้ท่านรับรู้ด้วยตัวเองได้ก่อนจะสาย”

“…นั้นเหรอ”

 

****

ภายในห้อง VIP

“อีกสองเดือนสินะ ถ้านั้นคุณเรเซอร์ คุณหนิง ทั้งสองมาพักที่เขตุดูแลของราชวงศ์ก่อนดีมั้ยครับ”

อัลเบิร์ดยื่นข้อเสนอมา

“ไม่ละๆ”

ผมส่ายหัวตอบ

“เช่นนั้นจะพักที่ไหนกันหรือครับ? วิทยาลัยเวทมนตร์มีกำหนดว่าจะปิดตัวยาวเพื่อเคลียร์หลายๆปัญหาก่อนด้วยนะครับ”

“ฉันมีที่เก็บตัวดีๆอยู่แล้ว ขอรับไว้แค่น้ำใจนะ”

“ที่เก็บตัวหรือครับ?”

“อ่า ..ว่าจะไปเก็บตัวที่เมืองชันไมหน่อยน่ะ”

พูดให้ถูกคือที่ ‘ป่ามหาภูต’ มากกว่า ..ไม่ได้ไปมาเสียนานจะเป็นยังไงบ้างนะ

..บันทึกของโซล่าย้อนเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง เรื่องราวของผมและเธอในฝัน มันมีเรื่องของ ‘ลีน่า’ และผมหลังเรื่องราวในนิยายต้นฉบับด้วย ดูจากรายละเอียดแล้วในฝันของโซล่าคือเรื่องเดียวกับนิยายต้นฉบับแน่นอน แม้แต่บทอัฟเตอร์สตอรี่ของผมเองก็ยังเหมือนเป๊ะๆเลย

คนรักของผมในนิยายต้นฉบับ ลีน่า ..เพราะเรื่องของโซล่าทำให้ผมนึกถึงเธอเป็นคนแรก บางทีอาจรู้อะไรบางอย่างมากยิ่งขึ้นจากเธอก็ได้–เกี่ยวกับโลกใบนี้

แน่นอนสำคัญที่สุด ..จะเป็นยังไงบ้างนะตอนนี้ ตอนเด็ก และช่วงผู้ใหญ่ ผมรู้จักเธอดี แต่มีแค่ช่วงวัยรุ่นกำลังโตเนี่ยแหละที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง

แอบสงสัยเหมือนกันแฮะ

 

****

“ฮึบ ฮึบ ฮึบ ฮึบ 1 2 1 2 ฮึบ!”

เด็กสาวในชุดแม่ชี วัยราวๆ 12 ปี ด้วยความที่เลือนผมถูกปิดไว้ด้วยชุดคลุมของแม่ชี ทำให้เห็นเพียงแค่ปลายผมสีเหลืองที่ยาวผ่านชุดแม่ชีลงไปเกือบๆจะลากพื้น สูงตามมาตรฐานของเด็กวัยเดียวกัน ดูเป็นเพียงแค่เด็กสาวน่ารักธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปเท่านั้น หากแต่พูดถึงจุดเด่นของเธอ ก็คงจะเป็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นตลอด

ด้วยรอยยิ้มนั้นทำให้ทุกคนต่างรักและเอ็นดูเธอ แม้แต่คนในเมืองชันไมก็ด้วย

“เป็นไงบ้างจ๊ะ”

“วันนี้เองก็มาจ่ายตลาดสิน้า”

“เดี่ยววันนี้ป้าเอาแครอทไปฝากนะ”

“นี่ๆ พรุ่งนี้มาช่วยลุงหน่อยได้รึเปล่า”

ระหว่างทางเดินในเมืองชันไม ทุกคน โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่พากันล้อมเธอ และพูดคุยเรื่องของตัวเองกับเธอด้วยรอยยิ้มเหมือนดั่งที่เด็กสาวยิ้ม

แม้ว่าจะโดนล้อมไปด้วยคนมากมาย แต่เธอไม่ได้รำคาญแม้แต่น้อย เพราะอย่างนั้นรอยยิ้มของเธอจึงไร้ซึ่งความเสแสร้งใดๆ ไม่จำเป็นต้องฝืนยิ้มให้ใคร

“ขอบคุณค่า ลุงเอียง ป้าวี ป้าเดียน แล้วก็ลุงเจย์ พรุ่งนี้ด้วยหนูไปช่วยนะคะ”

ประหนึ่งว่าเธอคือพระอาทิตย์เคลื่อนที่ ในเมืองชันไมตัวตนของเธอเปรียบได้กับพระอาทิตย์

“ฝากทักทายบาทหลวงด้วยนะจ๊ะ ‘ลีน่า’”

“ค่าาา”

เธอมีชื่อว่า ‘ลีน่า’ เด็กสาวผู้เป็นภรรยาของเรเซอร์ ดราแคล์ในนิยายต้นฉบับ ตัวเธอในตอนนี้มีอายุเพียง 12 ปี เท่านั้น ซึ่งกำลังจะเข้าสู่วัยแรกแย้ม

ลีน่าโบกมือลาทุกคนโดยที่มืออีกข้างถือของเกินกว่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะแบกได้ชิลๆ จากนั้นก็พุ่งออกจากเมืองชันไมไปด้วยรอยยิ้ม

และตามสไตล์ดวงซวยของเธอ เธอสะดุดพื้นราวสามครั้ง แต่ก็ทรงตัวให้ไม่ล้มได้ตลอด

เมื่อลีน่าวิ่งไปไกลจนลับสายตา เหล่าป้าๆลุงๆก็รวมตัวกันพูดคุยเกี่ยวกับเธอด้วยท่าทางเป็นห่วง

“ป้าละเป็นห่วงว่าลีน่าจะโดนพวกขุนนางจับตัวไป เพราะยังไงก็หน้าตาดีด้วยสิ”

“นั่นสินะ เด็กสาวร่าเริงแบบลีน่าเป็นเป้าหมายของพวกขุนนางซวยด้วยสิ”

สำหรับยุคนี้ การที่คนๆหนึ่งจะถูกลักพาตัวไปไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เพราะไม่มีหลักฐานการกระทำชัดเจนถึงขนาดเอาผิดได้ จึงเป็นช่องว่างให้ผู้มีอำนาจทำตามใจชอบ ..กับเด็กสาวสามัญชน แค่หิ้วไปสักคนสองคน พวกฝ่ายรักษาความปลอดภัยคงจะปล่อยๆไป

ลีน่ายิ่งเด่นอยู่ด้วย ไม่แปลกที่ทุกคนจะเป็นห่วง

แต่ว่า

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าเรื่องนั้น”

คุณลุงที่เป็นหัวโจกกอดอกโพล่งขึ้น

“โบสถ์ของบาทหลวงอยู่ในความดูแลโดยตรงของตระกูลดราแคล์นี่”

“เอ๊ะ จริงเหรอเนี่ย ไม่เห็นรู้เลย”

“เออสิ ก็ทางนั้นไม่อยากประกาศมาโต้งๆ ฉันก็แอบได้ยินมาอีกทีเหมือนกันนะว่า ..หนูลีน่าของพวกเรากำลังกิ๊กกับลูกชายของตระกูลดราแคล์แหละ”

“ ” ” ” “เอ๋!!!!?” ” ” ” ”

ทุกคนพากันผสานเสียงร้อง

“ไม่ได้โดนบังคับใช่มั้ย!?”

“ถ้าอีกฝ่ายเป็นตระกูลดราแคล์นี่ ..ตะ แต่ว่า ตระกูลดราแคล์ไม่มีข่าวลือเสียๆหายๆเลยนะ”

“ยกเว้นเรื่องของลูกชายคนนั้นน่ะนะ ..แต่เอาเถอะ ทางนี้ก็ไม่รู้รายละเอียดเท่าไหร่ด้วยก็หวังว่าทางนั้นจะไม่ได้บังคับลีน่าของพวกเราอ่ะนะ ..ที่จะพูดคือไม่มีใครบ้าพอมายุ่งกับตระกูลดราแคล์หรอก วางใจได้ๆ”

วางใจได้ที่ไหน—-ทุกคนคิดเช่นนั้นพร้อมเพรียงกัน มีแค่ตาลุงหัวโจกเท่านั้นที่คิดไปคนละทาง

ส่วนทางด้านลีน่านั้น …

“หือ ฮือ หือ หา หือ”

กำลังร้องเพลงแบบไม่ได้ทำนองด้วยอารมณ์ดี 

อนึ่งเธอร้องเพลงได้ห่วยแตก

“วันนี้ทำอะไรกินดีนะ”

กำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดั่งที่เรเซอร์ต้องการ

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset