< < 128 > >
แม้จะเป็นโลกต่างมิติอย่างโลกของปวงภูตก็ไม่อาจรอดผ่านจากยามราตรีไปได้ ยังไงเสียที่แห่งนี้ก็ใกล้เคียงกับมิติสะท้อนของโลกมากกว่าโลกใบใหม่เลย
ณ เวลาปัจจุบัน ท้องฟ้าของโลกปวงภูตได้แปรเปลี่ยนเป็นตอนกลางคืนดั่งโลกมนุษย์ ถึงกระนั้นโลกของปวงภูตก็มีแสงที่เหล่าภูตช่วยกันสร้างเพื่อไม่ให้ที่แห่งนี้มืดสนิท
แสงมากมายส่งแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า บรรยากาศเช่นนี้ช่างเหมาะกับการตั้งแคมป์หรือนั่งดื่มเหลือเกิน ..ในมุมมองของคนมีอายุน่ะนะ
“อาา สดชื่นจริงๆ มีแค่สุรานี่แหละที่เรายอมรับฝีมือของพวกมนุษย์”
เซเนีย มหาภูตผู้ยิ่งใหญ่ ขรณนี้เธอกำลังนั่งซดเหล้าอยู่บนยอดต้นไม้ยักษ์ โดยที่ปูเสื่อและวางกลับแกล้มมากมายเอาไว้
หากมีคนเห็นเซเนียในสภาพนี้ เครดิตการเป็นมหาภูตน่าจะลดหายไปราวครึ่งหนึ่งได้ เพราะอย่างนั้นการกินเหล้าดูดาวของเธอจึงถือว่าเป็นความลับสูงสุด คนที่สามารถนั่งกินหรือนั่งดูเธอกินได้มีแค่สหายที่รู้ธาตุแท้กันและกันดังเช่น—ยูนาเท่านั้น
“ยังทำตัวได้ไม่น่านับถือเหมือนเดิมเลยนะคะ ถ้าสักวันความแตกขึ้นมาคงหมดความน่านับหน้า ..ปรับปรุงตัวซะนะคะ ในฐานะมหาภูต”
ยูนาในโลกของเหล่าภูตเธอสามารถเดินแยกจากเรเซอร์ได้ตามใจชอบ จะบอกว่าโลกแห่งนี้ทำให้เธอเป็นอิสระก็คงได้ และหากอยู่ไกลกันเกินไปก็ไม่สามารถอ่านใจกันได้ด้วย
ประจวบเหมาะกับที่เธอต้องอับอายอย่างมากเมื่อถูกเรเซอร์อ่านใจ เธอเลยเลือกจะไม่เข้าใกล้เรเซอร์ตอนอยู่โลกนี้มากนัก ..
“ขี้บ่นจริงๆนา คิดว่าเราพยายามอย่างหนักเพื่อบรรลุขั้น ‘ภูตสวรรค์’ ไปทำไมกัน”
“เพื่อเป็นพลังให้ฉันกำราบมหามังกรสินะคะ ก่อนจะมาถึงจุดนี้เธอน่ะ–เป็นตัวถ่วงนะ รู้ตัวรึเปล่าคะ?”
“พูดอะไรของเธอกัน ผิดแล้วๆ เราพยายามอย่างหนักเพื่อได้รับร่างกายที่รับรสชาตินี่ได้ต่างหาก รสชาติของสุราและยาเสพมีแค่ร่างสวรรค์เท่านั้นนา ที่ลิ้มลองได้”
พูดจบเซเนียก็กระดกอึดใหญ่ และทำเสียงฟินอย่างหาที่สุดได้
“ไม่ใช่แค่ในฐานะมหาภูต ในฐานะภูตด้วยกันก็ควรปรับปรุงตัว”
ยูนาถอนหายใจเฮือกโต เธอไม่ได้ร่วมวงกินเหล้าด้วย ส่วหนึ่งเป็นเพราะยูนาเกลียดพวกสิ่งมึนเมาที่สุด เพราะเธอเป็นคนคออ่อน และอีกส่วนคือเธอปรากฏในร่างวิญญาณซึ่งไม่อาจแตะหรือรับรสอะไรได้เลย
“ฉันละสงสัยจริงๆว่าของพวกนี้มีดีอะไร” ยูนาเบะปากไม่พอใจ “ตอนฉันกินมีแต่จะขาดสติและทำเรื่องน่าอับอาย”
“อืม จำได้เลยๆ วันที่เมาเธอซัดเจ้าหนุ่มเรนจนเข้าโรงพยาบาลไม่พอยังเข้าไปหาเรื่องอาจารย์(ราชาไสยศาสตร์ แรกซ์)จนทั้งร้านพัง พอเสร็จกินเลี้ยงก็กลับบ้านไปทำท่าทางออดอ้อนใส่ซากุระอีก ฮ่าๆๆๆๆ นึกแล้วก็ขำ วีรสตรีผู้แสนเย็นชาและจริงจังคนนั้นกลายเป็นไอ้ขี้เมาสร้างปัญหาเนี่ย”
เซเนียทุบพื้นดัง ตู้ม!!!! ตู้ม!!! ทำเอาต้นไม้ถึงกับสะเทือนเพราะอำนาจมหาภูต
“มีเล่นมุกสัปดลด้วยนะ–อุ้บ!! อย่างฮา!!
“ถ้าเกิดฉันสามารถใช้ตัดมิติได้ในตอนนี้ ฉันจะปิดปากภูตชั้นต่ำอย่างเธอเป็นคนแรกเลยค่ะ”
“ทำได้ก็ทำ”
เซเนียหยิบปลาหมึกแห้งเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
นอกจากภูตสวรรค์แล้ว ภูตระดับที่ต่ำกว่าจะไม่สามารถรับรสชาติได้ ภูตจะต้องกินมานาที่อยู่รอบตัวเองประทังชีวิตหรือทำพันธสัญญาแลกกับมานาของสิ่งมีชีวิตเอา ..แน่นอนภูตก็มีความรู้สึก บางทีก็มีอิจฉาสิ่งมีชีวิตที่กินเพื่อความสุขได้เหมือนกัน
เพราะอย่างนั้นแหละ ภูตสวรรค์ทุกคนถึงได้กลายเป็นขี้เมาหรือพวกติดยากัน
ยูนาหลับตานึกถึงภูตสวรรค์หลายตนที่ผ่านมาในชีวิตตัวเองก็รู้สึกปวดขมับ เพราะทุกตนชอบดื่มเหล้าเข้าขั้นบ้าคลั่งเหมือนเซเนีย บางคนก็หนักกว่า บางคน..ก็เป็นพวกสายเขียวขั้นสุด เจอหน้าทีไรก็เห็นเคลิ้มตลอด
แน่นอนว่าอะไรที่เยอะไปมันไม่ดี แต่ภูตสวรรค์มีภูมิต้านทาน ทำให้การรับประทานของพวกนี้เป็นก็เพื่อความสุขของตัวเองทั้งนั้น
“จะว่าไป ‘เรลเดีย’ เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
เรลเดียหนึ่งในภูตสวรรค์ที่ยังมีชีวิตอยู่
“น่าจะวิจัยสมุนไพรอยู่ที่ไหนสักที่แหละนา”
“แบบนี้นี่เอง ..แล้ว ‘วิลรันเทีย’ ละ?”
“ตายไปแล้วมั้ง”
เซเนียตอบแบบส่งๆ ยูนาเห็นก็อดถอนหายใจไม่ได้
“ภูตสวรรค์เป็นตัวตนสำคัญในหมู่ภูตนะ เธอควรจะให้ความใส่ใจมากกว่านี้ ทางที่ดีต้องดึงมาอยู่ป่ามหาภูตด้วยให้ได้ด้วยซ้ำ”
“นั่นมันเป็นสิ่งที่มหาภูตคนก่อนตั้งใจทำนี่ ไม่ใช่นโยบายของป่ามหาภูตสักหน่อย และถึงมันจะมีประโยชน์ก็กว่าเถอะ แต่..แม้แต่ภูตก็ควรมีอิสระนะยูนา” เซเนียหัวเราะขึ้นจมูก “ก่อนอื่น แทนที่จะมาสนใจปัญหาแทนเรา เอาตัวเองให้รอดก่อนไม่ดีกว่าหรือ”
เซเนียเท้าคางมองยูนา
“สภาพตอนนี้ย่ำแย่สุดๆเลยไม่ใช่หรือไง–ทำเป็นอายที่เขาสามารถอ่านใจตัวเองได้ จริงๆแล้วก็แค่พยายามหนีเพื่อไม่ให้ เรเซอร์ ดราแคล์ รู้ความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองสินะ”
ที่แห่งนี้เรเซอร์สามารถอ่านความคิดของยูนาได้ ..วันดีคืนดี เรเซอร์อาจจะจับได้ว่ายูนากำลังโกหกเรื่องการใช้ [ดาบสะบั้นมิติ] อยู่ ..นั่นคือสิ่งที่ยูนากลัวที่สุด เพราะถ้าเรเซอร์รู้ เขาจะไม่มีทางฝืนยูนาเด็ดขาด และกลับกัน เรเซอร์จะกลับมาฝืนตัวเองอีกครั้ง
“รู้ด้วยเหรอคะ คิดว่าตัวเองก็ตั้งใจปิดแล้วแท้ๆเชียว”
“จะบอกให้นะว่า–อย่าได้ดูถูกมหาภูตเป็นอันขาด ..กับอีแค่ดูกระแสมานาและอ่านมันออกมาไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย” เซเนียหรี่ตามองทะลุทุกอย่างทะลุปุโปร่ง “100 ปี คือเวลาของเธอในตอนนี้ และหากฝืนต่อไปอีกสักครั้ง เวลาจะเหลือ 50 ปี อีกครั้งจะเหลือ 25 ปี และอีกครั้ง..เธอจะหายไปจากโลกใบนี้ทันที”
เซเนียเงียบไปสักพักก่อนพูดต่อ
“ไม่ใช่สลายแล้วไปเกิดใหม่ หรือว่าสูญเสียตัวตนความรู้สึก แต่ตัวตนของเธอจะถูกทำเหมือนไม่เคยมีอยู่บนโลกใบนี้นับตั้งแต่ที่หมดเวลา จะไม่มีวัฐจักรหรือการไหลเวียนรอเธออยู่ มีเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น ..หรือก็คือสถานที่ที่ผู้คนพากันนิยามว่า ‘นรก’”
นรกไม่ใช่บทลงโทษ ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือความว่างเปล่า–เป็นจุดสูงสุดของความโศกเศร้าเท่าที่จะนึกได้
“ต่อให้จะมีเวลาเหลืออยู่ แต่เธอได้เปิดประตูไปนรกแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลา ต่อให้เธอจะรักษาวิญญาณในอีกร้อยปีได้ก็ตาม ..ตั้งแต่ที่เราถือกำเนิดขึ้น เราไม่เคยพบผู้ใดที่ได้ลงนรกมาก่อนเลย จะบอกว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจก็ว่าได้”
เซเนียยิ้มให้ยูนาอย่างอ่อนล้า
“แต่อย่างน้อยๆ ..ก็ไม่อยากให้คนๆนั้นเป็นยูนาสักเท่าไหร่ ร้อยปีสำหรับเราแล้วมันสั้นมากนะ ยูนา”
เซเนียพึมพำอย่างเศร้าใจ สำหรับเธอ..แม้จะทะเลาะกันบ่อย แต่อย่างไรทั้งสองก็คือ–สหายที่ร่วมฝ่าฝันทุกอย่างมาด้วยกัน
สามารถพูดได้เต็มปากว่า ‘เพื่อน’
การที่สักวันเพื่อนของตัวเองจะต้องลงนรก ไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกเศร้าแทนอยู่แล้ว ถึงกระนั้นใบหน้าของยูนาผู้ที่ต้องลงนรกกลับไร้ซึ่งความเศร้าเสียใจ
“..บางที ฉันอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว”
“คงอย่างนั้น เจอกันอีกคราวหน้า เธออาจจะเลือกฝืนตัวเองและหายไปเลยก็เป็นได้ 100 ปี ที่ว่าคือกรณีที่เธอไม่ฝืนตัวเองใช้ท่าแปลกๆอีก”
“ตามนั้นค่ะ”
“คิดดีแล้วเหรอ?”
“เรื่องอะไรเหรอคะ?”
“..ที่เลือกจะลงนรกด้วยตัวเองน่ะ เรเซอร์ ดราแคล์ คนนั้นมีค่าให้เธอทำขนาดนั้นเลยเหรอ”
..ยูนายิ้มออกมา–เป็นรอยยิ้มที่หาดูได้ยาก เซเนียไม่เคยเห็นรอยยิ้มนี้มาตั้งแต่สมัยสองสามพันปีก่อนแล้ว ทำให้อดรู้สึกแปลกใจปนดีใจไม่ได้
“เซเนีย ตลอดการใช้ชีวิตในฐานะวิญญาณของฉันมันไม่ต่างกับนรกสักเท่าไหร่ ไม่สิ มันคือนรกไม่ผิดแน่ ในที่ที่ว่างเปล่า ฉันไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากนั่งคิดถึงความผิดพลาดของตัวเอง คิดถึงแต่หน้าของคนที่ตายไปแล้ว คนที่ฉันไม่อาจคว้าไว้ได้ ทุกอย่างมันฉายซ้ำไปมาในห้องเล็กๆ ..ชีวิตดำเนินเช่นนั้นวนไปมา ในทุกๆวัน มันแสนยาวนาน สองพันปีที่ผ่านมา มันยาวนานเหลือเกิน–จนกระทั่งวันหนึ่ง มาสเตอร์ได้เดินเข้ามา”
เรเซอร์ ดราแคล์ได้ดินเข้ามาในห้องที่แสนว่างเปล่าของยูนา และยื่นมือมา
“สำหรับฉันช่วงเวลานั้นจนถึงตอนนี้ ..มันมากพอจะอุดความทุกข์ตลอดสองพันปี และบางทีก็มากพอจะต้องทนทุกข์ไปตลอดกาลด้วย” ยูนาหัวเราะเบาหวิว “คิดซะว่าเป็นการแลกเปลี่ยน ..ฉันจะมีความสุขให้มากที่สุด และ–ลงนรกทั้งรอยยิ้ม นั่นคือสิ่งที่ฉันเลือก เป็นเป้าหมายของฉัน”
“..สรุปแล้วการก้าวข้ามอดีตที่เธอแสวงหามันคืออะไร”
“มันคือการที่ฉันในตอนนี้มีความสุขอยู่ค่ะ–ซึ่งมันได้เป็นจริงไปนานแล้ว ตั้งแต่ที่มาสเตอร์ได้ยื่นมือมาให้ฉัน”
….
“เซเนีย”
“ว่าไง”
“หลังจากที่ฉันหายไป ถ้าหากมาสเตอร์เจอปัญหาที่ยากจะผ่านไปได้ ช่วยเขาหน่อยได้รึเปล่าคะ? แม้ว่าตอนนั้นมาสเตอร์จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจนไม่จำเป็นต้องมีฉันแล้วก็ตาม แต่ปัญหาที่เขาต้องเผชิญมันไม่ใช่เรื่องที่แก้ได้ด้วยตัวคนเดียว ..และแค่พลังไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ถ้ามีเธออยู่ด้วยอาจจะทำให้มาสเตอร์มองหลายสิ่งได้กว้างขึ้น”
“..ไว้ตอนนั้น เราจะตัดสินใจเองว่าจำเป็นหรือไม่”
ยูนาถอนหายใจโล่งอก
“ได้ยินแค่นี้ก็ดีใจแล้วค่ะ”
จนถึงวาระสุดท้าย ..ยูนาก็ยังคงมีความสุขได้อย่างแน่นอน
เซเนียคิดเช่นนั้นจากใจจริง และอวยพรให้เป็นดังที่หวัง ..เซเนียยิ้มออกมา
“บ้าจังเลยนะ ..ตั้งแต่วันแรกที่เราได้พบกัน ยูนายังบ้าไม่เปลี่ยนไปเลย”
วันแรกที่ทั้งสองได้เจอกันคือในป่าที่ไม่ใช่ป่ามหาภูต เซเนียเป็นเพียงภูตป่าที่ถูกถอดทิ้ง เธอถูกนักผจญภัยหลอกทำพันธสัญญาและยกเลิกสัญญาเมื่อคิดจะนำเธอไปขาย
ภูตในสมัยนั้นมีอยู่เยอะมาก เรียกได้ว่าเป็นแหล่งพลังหลักของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ทำให้เกิดการซื้อขายภูตเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
เซเนียคือเหยื่อตนหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังจะถูกนำไปขายให้นักสะสม ระหว่างนั้นยูนาก็ได้เข้ามาช่วยเธอไว้ และทำพันธสัญญากับเธอด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า–ตัวเองไม่มีดาบใช้สู้กับพวกโจร
กับอีแค่อยากได้ดาบ ถึงกับยอมทำพันธสัญญากับภูตเป็นสิบปีเนี่ยนะ?
บ้าบอ ถึงอย่างนั้น รู้ตัวอีกที ทั้งสองก็กลายเป็นคู่หู จากดาบธรรมดาก็แปรเปลี่ยนเป็นดาบชั้นยอดเมื่อขึ้นเป็น ‘ภูตผู้พิทักษ์’ และไม่นานก็กลายเป็น ‘ภูตสวรรค์’ และถูกบันทึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในดาบที่ทรงพลังที่สุดบนโลก
เส้นทางชีวิตของเซเนียไม่อาจเกิดได้เลยหากปราศจากยูนา ..
“เอาเป็นว่า–ดื่มเหล้าอีกสักหน่อยดีกว่า”
“ให้ตายสิ”
ทั้งสองนั่งมองท้องฟ้าด้วยกัน โดยคิดไว้ในใจว่า–นี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย
****
เวลาผ่านไปเร็วราวกับโกหก
รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว
เรเซอร์ หนิง ยูจิ และเทียนหลง ขณะนี้กำลังยืนอยู่ตรงจุดผ่านของรถไฟ–และสามารถมองเห็นได้ชัดว่าถึงจะมาด้วยกัน แต่บรรยกาศนั้นถูกแยกเป็นสองกลุ่ม
แม้จะผ่านมาถึงสองเดือน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้รับการแก้ไขเลย .
“ยูนา”
‘มีอะไรหรือคะ?’
เพราะยังเช้าอยู่เรเซอร์จึงพูดคุยกับยูนาได้ตามปกติ
“ดาบสะบั้นมิติสามารถใช้ได้ทุกเมื่ออยู่รึเปล่า”
‘เตรียมการณ์ทั้งหมดเอาไว้แล้วค่ะ หากมาสเตอร์ต้องการจะใช้ก็ใช้ได้เลย ..’
“เข้าใจแล้ว ขอบใจที่ยอมทำตามฉันนะ เพราะความสามารถนั้นทำให้อิสระในชีวิตเธอหายไปเยอะเลย ..”
‘ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกค่ะ มาสเตอร์’
เพราะที่ต้องขอบคุณมันทางนี้ต่างหาก
ปู๊นๆ เสียงวิ่งของรถไฟดังขึ้น
ทุกคนพากันหันไปทางรถไฟอย่างตื่นตัว
“ไปกันเถอะ”
‘เข้าใจแล้วค่ะ’
ได้เวลาที่จะต้อง–ไปร่วมงานประชุมโลกแล้ว