เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 190

< < 132 Sec2 > >

‘แอสทอเรียส’ อย่างน้อยก็ในนิยายต้นฉบับ เขาคือตัวละคร ‘กระสอบทรายฝ่ายตัวเทพ’ หากเรย์เป็นกระสอบทรายฝ่ายพระเอก แอสทอเรียสก็เป็นกระสอบทรายฝ่ายตัวละครที่แกร่งเข้าขั้นเทพ

ด้านพลังไม่ต้องพูดถึง ผู้กล้าเนี่ยเทพสุดๆอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขากลายร่างเป็นกระสอบทรายก็คือข้อจำกัดในการต่อสู้มากมายในเนื้อเรื่อง เช่นการโดนเล่นตัวประกัน โดนดีบัฟมากมาย เจอพวกที่ตัวเองแพ้ทาง อีกฝ่ายดวงดี บลาๆ ต่างๆมากมายทำให้สถานะของผู้กล้าไม่ต่างกับกระสอบทรายเท่าไหร่

แต่ถ้าอ่านอย่างละเอียดจริงๆก็จะรู้ว่าผู้กล้ามันโหดพอจะเดี่ยวๆกับมหามังกรได้เลย อย่างเรื่องของชินที่ผมคิดว่าตายเพราะผู้กล้า ในเหตุการณ์นั้นคือผู้กล้าเข้ามาถล่มกองทัพของฟัฟนิร์พร้อมกับกองกำลังของอาณาจักรตัวเองไม่มาก ฝ่ายฟัฟนิร์ที่มีทหารเป็นหมื่นๆคนเมื่อถูกผู้กล้าจู่โจมแบบสายฟ้าแลบก็ไปกันไม่เป็น และถูกไล่ฆ่าที่ละคนจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด

เอาเป็นว่า–ผู้กล้าเป็นหนึ่งในตัวตนที่ไม่สามารถดูถูกได้

ผมกับผู้กล้ายืนจ้องหน้ากันในระยะห่างกว่าสองเมตร 

ตั้งสองเมตร เป็นระยะที่มากพอสำหรับผมในการสังหารนักดาบขั้นบรรลุง่ายๆโดยไม่ต้องใช้ตัดมิติมาช่วย ทั้งอย่างนั้นกับผู้กล้าผมกลับไม่สามารถรู้สึกอย่างนี้ได้ ถามว่าทำไมน่ะเหรอ? แน่นอนเพราะเขาเป็นผู้กล้าไง ถึงจะเป็นนักดาบขั้นบรรลุเหมือนกัน แต่ระดับฝีมือและอุปกรณ์ที่ถือครองอยู่มันอยู่คนละระดับกับพวกนักดาบขั้นบรรลุทั่วไปเลย

ระยะห่างสองเมตร เป็นระยะที่มากพอในการที่ทั้งผมและผู้กล้าจะฆ่ากันได้ ทำให้เวลานี้ราวกับมีดาบจ่ออยู่ที่ลำคออยู่ร่ำไร

ผู้ที่เคลื่อนไหวก่อนก็คือ–ยูจิ

“..คุณคือใครกันแน่”

ยูจิเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ตกใจ ไม่ได้หวาดกลัว แต่ตกใจในอะไรบางอย่าง

ไม่รู้ด้วยเหตุใด ฝ่ายที่ตกใจดันไม่ได้มีแค่ยูจิ ผู้กล้าเมื่อได้สบตากับยูจิเจ้าตัวก็ไม่มีท่าทีระวังผม ผู้กล้าในเวลานี้ที่ไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากตั้งใจผมอาจจะฆ่าเขาได้ในทันทีก็เป็นได้

แต่ไม่จำเป็น

“..ช่วยบอกชื่–”

ก่อนที่ผู้กล้าจะได้ถามไถ่ความเป็นมา เจ้าตัวก็เรียกสติกลับมาได้ว่าตัวเองกำลังดูเชิงกับผมอยู่–จึงหันกลับมาจ้องผมแทน และไม่ได้พูดอะไรต่อ

“..”

เอาเถอะ ก่อนอื่น

“โทษทีนะครับที่ทำให้กังวล คือเมื่อกี้ไม่ตั้งใจ”

พูดจบผมก็หัวเราะแห้งๆให้ แน่นอน ผู้กล้าย่อมมองออกอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่การข่มกันเพราะแค่ตกใจ แต่เพราะความเมตตาในฐานะผู้กล้ากระมัง? หรือไม่ก็เจ้าตัวสนใจเรื่องของยูจิมากกว่า

“ไม่หรอกครับ ทางผมมากกว่า ..บางทีอาจจะเผลอเตรียมความพร้อมโดยไม่จำเป็นจงทำให้ทางพวกท่านกังวลก็เป็นได้ โปรดให้อภัยด้วย” ผู้กล้าทาบอกแนะนำตัว “กระผม ‘แอสทอเรียส’ ผู้กล้าแห่งทวีปแซร์อิซ ยินได้ที่ได้พบครับ ผู้คนจากแดนเวทมนตร์เอ๋ย”

ผมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

“โทษทีนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันโดยที่ยังกำหมัดอยู่

รินเทียมองผมด้วยตาที่เป็นประกาย

“คุณสมบัติของราชาสินะ”

ไม่ใช่ ตูแค่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้จงเกือบซวยก็เท่านั้น อย่าอวยจะได้มั้ย?

จังหวะนั้น—เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เป็นเสียงเสียดสีจากรองเท้าแต๊ะเกี้ย

ผมหันไปถามเจ้าของเสียงแต๊ะเกี้ยและเผลอทำหน้าแหยงออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ก็สมกับเป็นงานประชุมโลกแหละนะ”

ต่อจากแองเจลิน่าก็ผู้กล้าแล้วตอนนี้ก็มา—-

“ว่าไงสหาย ไม่ได้เจอกันนานนะหู้ว!!”

‘วิน’ ในชุดแสนจะสบายตามเดิมกระโดดถีบผมเป็นการทักทาย ดีที่ผมหลบได้ทัน ไม่นั้นได้อับอายขายขี้หน้าแหงๆ

“ไม่รับมุกเลยนา”

“มุกที่ต้องเจ็บตัวเพื่อแลกกับเสียหัวเราะมันจะไปมีค่าอะไร ..ก็ตามนั้น”

“เอาอีกแล้ว นายเนี่ยชอบพูดอะไรที่ดูเท่แบบไม่ดูบรรยากาศเลยนะ แบบนั้นแทนที่จะเท่มันชวนให้รู้สึกอายแทนมากกว่า”

“กำลังจะบอกว่าฉันโคตร ‘คริ้น’ สินะ ยัยลิงป่านี่”

“ละ ลิงป่า? เอ่อ เป็นไรเปล่าเนี่ย อารมณ์ไม่ค่อยดีรึเปล่า”

ผมถอนหายใจใส่

“โทษที” ผมปั้นยิ้มให้วิน “ไม่ได้เจอกันนะ คุณมิรันด้า”

…อ๊ะ

ถึงตรงนี้วินก็พึ่งจะรู้สึกตัวถึงสายตาคนรอบๆ หล่อนไม่รู้เลยว่ายูจิกับหนิงยืนมองอยู่จากข้างหลัง แน่นอนว่าไม่มีทางลืมหล่อนได้ในสองเดือนหรอก ย่อมจำได้ดีอยู่แล้วก็เธอเด่นออกจะตาย เป็นถึง ‘นักเรียนแลกเปลี่ยนจากเนลยอน’ เชียวนะ

“เห็นว่ายังสบายดีก็ดีแล้วละ คิดถึงมากเลยนะ”

“อ๊ะ ค่ะ ไม่ได้พบกันนานนะคะ” วินในโหมดมิรันด้าหันไปยิ้มให้ยูจิและหนิง “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะทั้งสอง”

เอาจริงๆไม่ต้องแอ๊บก็ได้มั้ง จะเวลาไหนหล่อนก็ประพฤติตัวเองแบบเดิมนั่นแหละ แต่ก็เอาเถอะ

“ไม่เจอกันนาน”

“ยินดีที่ได้พบอีกครั้งครับ”

ทั้งสองทักทายวินตามปกติ แอสทอเรียสหันมามองหน้าผม

“รู้จักกันด้วยหรือครับ”

“ก็นิดหน่อย เธอเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนน่ะครับ”

“นั้นเองเหรอ นักเรียนแลกเปลี่ยนสินะ เป็นคนที่ทำงานได้หลากหลายจริงๆนะครับ” แอสทอเรียสมองวินด้วยอารมณ์คล้ายอยากจะหยอกล้อ “อย่างไรก็เถอะ ไม่ได้เจอกันนานนะ ..เรียกว่ายังไงดีนะ”

“มะ ไม่ได้พบกันนานแสนนานนะคะ ท่านผู้กล้า”

“ทางนี้ก็เช่นกันครับ ..ท่านมิรันด้า”

ได้ยินเช่นนั้นวินก็ถอนหายใจโล่งอก และจู่ๆก็เดินมากำข้อมือของผม

“อธิบายที”

“ขอยืมตัวชักประเดี๋ยวเด้อ”

“ธุระเหรอ”

“ใช่ สำคัญสุดๆเลย”

ผมหันไปมองพวกยูจิแล้วโบกมือลา

“ไว้เจอกันทีหลังนะ ขอตัวก่อนนะท่านผู้กล้า”

กล่าวจบผมก็ตามวินไปติดๆ

 

****

หลังจากที่เรเซอร์เดินตามวินไปแล้ว ผู้กล้าแอสทอเรียสก็ทำท่าจะเดินเข้ามาหายูจิใกล้ๆ แต่ก็โดนหนิงเข้ามาขวางไว้ก่อน

“ห้ามเข้าใกล้เกินไป”

หนิงรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าแอสทอเรียสนั้นแข็งแกร่ง อย่างน้อยถ้าอยู่ในระยะครึ่งเมตร หนิงไม่อาจเข้าไปปกป้องยูจิได้ทันแน่นอน

กลับกันทางแอสทอเรียสก็รู้ดีว่าหนิงต่างกับคนปกติ

“..ขออภัย กระผมมีเรื่องที่อยากแลกเปลี่ยนกับท่านผู้นั้นเล็กน้อย”

“กับยูจิเหรอ?”

“ชื่อท่านยูจิสินะครับ” แอสทอเรียสถามต่อ “อีกท่าน?”

“ฉัน–ริน”

“เข้าใจแล้วครับ”

เมื่อเห็นว่ารู้จักกันแล้วแอสทอเรียสก็จะเดินเข้าไปคุยด้วย แต่ยูจิเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาก่อน

“เดี่ยวสิ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมไม่ตายหรอก”

เมื่อโดนว่าอย่างนั้นหนิงก็อยู่นิ่งทันที

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมที่ผมไม่รู้สินะครับ”

“ไม่รู้ ..แบบนี้นี่เอง ทางนี้อาจจะแค่คิดไปเองก็ได้ แต่เพื่อความแน่นอนแล้ว” 

แอสทอเรียสหยิบดาบจัสติสเทียขึ้นมาไว้ในมือ

“ดาบเล่มนี้จะตอบสนองต่อผู้มีสายเลือดของผู้กล้าเท่านั่น เมื่อผู้มีสายเลือดผู้กล้าได้ถือดาบก็จะเปล่งแสงและสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้”

ดาบในตำนาน ดาบที่ทรงพลังที่สุดบนโลก ดาบแห่งผู้กล้า หลากหลายชื่อแต่ที่แน่ๆดาบเล่มนี้คือหนึ่งในอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลก มีเครื่องหมายการันตีที่ว่าครั้งหนึ่งดาบเล่มนี้เคยถูกใช้ปราบจอมมารโดยผู้กล้ารุ่นที่หนึ่ง เพราะอย่างนั้นมันจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้กล้า

“เข้าเรื่องเลยนะ ท่านยูจิ ..ท่านอาจจะเป็นผู้มีสายเลือดของผู้กล้าอยู่ก็เป็นได้” 

สายเลือดผู้กล้า ..

“ในยุคปัจจุบัน เท่าที่ทราบมีแค่ตัวผมคนเดียวที่มีสายเลือดของผู้กล้าไหลเวียนอยู่ ทุกคนนอกจากผมได้ตายไปอย่างปริศนา อย่างท่านเอง—คนในเครือของผู้กล้าที่มีชื่อว่า ‘ยูจิ’ ก็ได้ตายไปแล้วเช่นกัน จากที่ผมเคยสืบไว้”

ยูจิไม่ได้มีสีหน้าที่ตกใจอะไร บางที..อาจจะรู้อยู่แล้วก็เป็นได้ จากเศษเสี้ยวความทรงจำในบางครั้ง หรือไม่ก็คือคิดว่าต่อให้ตัวเองมีสายเลือดของผู้กล้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“ก่อนที่จะยื่นดาบเล่มนี้ให้ ขอสอบถาม ..ท่านใช่คนในเครือผู้กล้าหรือไม่”

“ผมสูญเสียความทรงจำไปตั้งแต่เด็กแล้วครับ”

“สูญเสียความทรงจำ..ปัจจุบันอายุเท่าไหร่ครับ”

“สิบหกปีใกล้จะสิบเจ็ด”

“รู้สึกตัวเมื่อตอนอายุเท่าไหร่ครับ”

“ตอนอายุประมาณสิบเอ็ดปีได้”

แอสทอเรียสหรี่ตาลง

“ตรงทุกประการ นั่นเป็นเวลากับที่ยูจิในเครือผู้กล้าได้หายสาบสูญ เช่นนั้นขอให้ท่านช่วยทดสอบโดยการถือดาบเล่มนี้”

“จะดีเหรอครับ”

“..”

“ดาบแห่งผู้กล้าจัสติสเทียจะไม่เปลี่ยนผู้ใช้จนกว่าผู้ใช้จะตาย แม้มันจะตอบสนองแต่ผมก็ไม่อาจดึงตัวดาบออกจากฝักได้ ทว่ามันก็มีในกรณีที่–หากมีผู้คู่ควรกว่าได้ถือมัน มันจะทำการเปลี่ยนตัวผู้ใช้โดยทันที” 

“ไม่มีปัญหาครับ หากมีคนที่คู่ควรกว่าก็หมายความว่าทางนี้สอบตกในฐานะผู้กล้าก็เท่านั้น”

ยูจิพยักหน้ารับและคว้าดาบมาไว้ ..เมื่อได้สัมผัสกับดาบแสงก็สาดส่องออกมา แอสทอเรียสเห็นภาพนั้นก็ดูจะถึงพอใจ

“สายเลือดผู้กล้าในทีแรก ผมนึกว่าจะเหลือแค่ตัวผมแล้วเสียอีก รู้สึกยินดีที่อย่างน้อยก็ไม่ได้เหลือเพียงแค่ผม”

“นั้นเหรอครับ”

“ครับ ..เพราะร่างกายผมมีโครงสร้างที่แปลกประหลาด ทำให้มีลูกได้ยาก เกรงว่าสักวันสายเลือดผู้กล้าจะหมดไป” แอสทอเรียสกล่าวต่อ “หากไม่รังเกียจ สนใจจะมาเป็นคนของอาณาจักรแซร์อิซแทนหรือไม่ครับ สัญญาว่าจะดูแลโดยดี”

“จะให้ผมเป็นพ่อพันธ์ุให้หรือครับ”

“..พูดตรงๆก็ประมาณนั้น แต่ทางนี้สัญญาว่าจะดูแลท่านให้ดีที่สุด”

ได้ยินอย่างนั้นตรงๆหนิงก็ปรี๊ดแตก

“ไอ้บ้านี่!! คิดจะให้ยูจิทำอะไรกันหะ!?”

“ผมไม่รังเกียจหรอกนะครับหากจะเป็นผู้หญิงที่ท่านยูจิเป็นคนเลือก ..ถ้ามีคนรักอยู่แล้วก็ดีเลยครับ”

“ยะ อย่ามาบ้านะ ไม่ใช่คนรักอะไรกันสักหน่อย!”

“อย่างที่คุณรินบอก ผมกับเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆพิเศษ”

“หงะ”

หนิงตัวแข็งทื่อทันที แต่ในสถานการณ์นี้ไม่มีใครสนใจเลย ..

“เช่นนั้นก็”

“อย่างไรก็ตาม ทางผมขอปฏิเสธครับ”

“..น่าเสียดายนะครับ”

เมื่อพูดคุยกันจบแล้ว แอสทอเรียสก็รับดาบคืนจากยูจิ

“เหมือนว่าดาบจะยังเลือกผมอยู่นะ”

“นั่นสินะครับ ..ถ้ายังไง ช่วยเล่าเรื่องครอบครัวและตัวผมก่อนที่จะหายสาบสูญได้รึเปล่าครับ”

แอสทอเรียสครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ

“ขอโทษด้วยนะครับ ผมและบ้านของท่านไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันมากเสียเท่าไหร่ บางทีอาจจะไม่เคยเจอหน้ากันตรงๆก็เป็นได้ที่รู้จักนามของท่านเป็นเพราะผมไปสืบมาทีหลังครับ ..หลังจากที่คนในตระกูลค่อยๆตายหรือหายสาบสูญกันไป แต่” แอสทอเรียสจ้องดวงตาของยูจิตรงๆ “ผมสามารถบอกได้แค่ว่า ..พ่อและแม่ของท่านยูจิได้เสียไปแล้วครับ ในเวลาเดียวกับที่ท่านได้หายสาบสูญ ..ระหว่างทางกลับจากงานฉลองวันเกิดของเจ้าหญิงแห่งฟัฟนิร์”

“คาดว่าเป็นการฆาตกรรมโดยกลุ่มโจรป่าครับ”

“..ขอบคุณมากครับ”

คุยจบแล้วแอสทอเรียสก็โค้งศรีษะให้ยูจิเล็กน้อย และเดินผ่านพวกยูจิไป

“ครอบครัวตายกันไปหมด ตัวเองสูญเสียตัวตน ..ตอนนี้ผมกลายเป็นตัวอะไรแล้วกันนะ” ยูจิหัวเราะแห้งๆ “ผู้มีสิทธิ์เป็นผู้กล้า? ร่างเกิดใหม่ของทวยเทพ? เด็กที่หายสาบสูญ? ..” 

ยูจิก้มหน้าหนีต่อทุกสิ่ง ..ทว่าพร้อมกันนั้น สัมผัสอ่อนๆก็ผุดขึ้นบนหัวของยูจิ

“ยูจิก็คือยูจินั่นแหละ”

หนิงนำมือมาทาบไว้บนหัวของยูจิ เธอยิ้มให้กับยูจิที่สูงเท่ากันกับเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับสามารถวางมือไว้บนหัวได้แบบไม่ได้ดูฝืนอะไร

“จะว่าไปยูจิเนี่ยตัวเตี้ยกว่าที่คิดอีกนะ”

“…”

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset