เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 213

< < 138 Sec3 > >

“ฮึก อือ..ฮึก”

มิร่ากำลังร้องไห้ เธอร้องไห้สมกับวัย อย่างไรซะ แม้จะเป็นเจ้าหญิงที่ได้รับไว้วางใจให้มาร่วมงานประชุมโลกด้วย แต่เธอก็ยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในหมู่คนใหญ่คนโตทั้งหมด เธอเป็นแค่เด็กอายุราวๆสิบสามสิบสี่เพียงเท่านั้น ย่อมยอมรับความจริงที่ต้องทิ้งเพื่อนที่พึ่งรู้จักกันไม่ได้ ทำได้เพียงฝืนใจตัวเองพาผมหนีมาตามที่คนอื่นบอก ..ตอนนี้คงจะเจ็บปวดน่าดู การที่ต้องฝืนทำเรื่องโหดร้ายขนาดนี้

นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กแบบเธอควรได้เจอเลย

“เรเซอร์ ..ทุกคนกำลังจะตาย”

แม้เพียงเวลาไม่นาน แต่เด็กที่ไม่ค่อยมีเพื่อนแบบมิร่าก็ได้พบเจอคนที่เรียกว่าเพื่อนได้เต็มปาก และทุกคนที่ว่าก็พรีกายตายเพื่อชีวิตของเธอและผม

เป็นเรื่องที่น่าเศร้า

“นั่นสินะ”

“แค่นั้นเหรอ”

“เธอต้องการให้ฉันร้องไห้นั้นสินะ?”

“..เย็นชาจังเลยนะ

..ผมถอนหายใจเฮือกโต ผมภาวนาว่าขอให้การถอนหายใจนี่ไม่ใช่การถอนหายใจครั้งสุดท้าย

 

****

โทมิเรียมองส่งเรเซอร์และมิร่าที่ตั้งใจหนีสุดชีวิต ก่อนจะหันหน้ากลับมาเผชิญกับวินดาฟ

วินดาฟชี้เซปเตอร์เดธใส่โทมิเรีย โทมิเรียเองก็ตั้งท่าร่ายเวทย์สวน

“….”

“….”

วินดาฟยิ้มออกมา

“ตระกูลอามาเทราสึมีพรสวรรค์ทางเวทมนตร์สูงจริงๆด้วย อย่างทักษะการควบคุมเวทมนตร์ประเภทน้ำที่มีเอกลักษณ์นั่น อย่างกับว่าทักษะต่างๆถูกส่งต่อมาทางสายเลือดอย่างไรอย่างนั้นเลยนะ ถ้าเป็นคนของอามาเทราสึ บางทีอาจจะขึ้นเป็นผู้ถือครองมณีวารีก็เป็นได้”

“น่าเสียดายนะคะที่คนๆนั้นไม่ใช่ฉัน”

“นั้นรึ แสดงว่ามีผู้ถือครองมณีวารีปรากฏตัวมาแล้วสินะ”

“ใช่ค่ะ” โทมิเรียยิ้มให้ “ว่าแต่ว่า ท่านวินดาฟ เหตุใดถึงได้เป็นคนทรยศหรือคะ?”

วินดาฟได้ยินก็ลูบหนวดตัวเองและแหงนหน้ามองฟ้า

“..ความกระหายกระมัง”

“ความกระหาย?”

“ฉันกระหายในเวทมนตร์ ถึงขนาดที่ว่ายอมแลกอาณาจักรของตัวเองเพื่อความเป็นไปได้ในวิชาเวทมนตร์ต่อจากนี้ คนที่เติมเต็มความกระหายให้ฉันได้ก็คือเรน เหตุผลมีอยู่แค่นั้นเลย”

“ผลประโยชน์ส่วนตัวนั้นเหรอคะ..ท่านไม่ละอายใจในฐานะราชาจอมเวทย์เลยหรือคะ?”

วินดาฟครุ่นคิดเพียงไม่นานก็ส่ายหัวให้

“ราชาจอมเวทย์ สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่คนที่รักอาณาจักรของตัวเองจริงๆ ..สุดท้ายก็เป็นแค่คนที่ใช้เวทมนตร์ได้เยี่ยมยอดที่สุดเท่าที่ทางอาณาจักรจะหาได้ และมีข้อตกลงร่วมกันก็เท่านั้น” วินดาฟพูดต่อ “ความรักในบ้านเกิดของตัวเองน่ะ ฉันไม่มีอยู่หรอก สิ่งเดียวที่ฉันสามารถรักได้คือเวทมนตร์ มีเพียงเวทมนตร์เท่านั้นที่เป็นแสงสว่างให้แก่ชีวิตของฉัน”

กล่าวจบวินดาฟก็หัวเราะเบาหวิว

“ตัวจริงของราชาจอมเวทย์ เป็นเพียงแค่ตาแก่ที่กระหายเวทมนตร์หนักถึงขั้นทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ผิดหวังหรือเปล่าล่ะ?”

โทมิเรียส่ายหัวให้ทั้งรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อความตายเบื้องหน้า

“..ในฐานะคนสำคัญที่มีส่วนสำคัญแก่อาณาจักรฉันผิดหวังค่ะ แต่ว่าในฐานะจอมเวทย์ บางทีท่านน่าจะเป็นตัวตนที่บอกความเป็นนักเวทย์ได้มากที่สุด”

สิ่งที่บอกความเป็นนักเวทย์ได้มากที่สุดก็คือ—ความรักในเวทมนตร์

เมื่อได้ยินอย่างนั้นวินดาฟก็เงียบไป ก่อนที่มานาจะถูกส่งเข้าเซปเตอร์เดธอีกครั้ง โทมิเรียสร้างโล่น้ำขึ้นมาคลุมทั้งร่าง

“จะขอจดจำชื่อของ อามาเทราสึ โทมิเรีย ในฐานะนักเวทย์เอาไว้”

แสงพุ่งผ่านน้ำไปอย่างง่ายดาย แสงนั่นทะลุท้องของโทมิเรียไป—เวทมนตร์ทั้งหมดสลายออก ทั้งกำแพงน้ำ และอาณาจักรสายน้ำล้วนสลายไปทันทีที่ผู้ใช้งานหมดสติ

ขณะที่วินดาฟกำลังจะเดินผ่านร่างของโทมิเรียไปนั้นเอง—ราเมียร์ก็พุ่งมาจากข้างหลัง

“โห๋?”

วินดาฟพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่สนอกสนใจ

“ย๊ากกกกกกกก!!!!”

ราเมียร์แผดเสียงร้องออกมาสุดชีวิต เธอเร่งทุกอย่างเท่าที่จะเร่งได้ในร่างกาย—แขนพุ่งไปทางสีข้างของวินดาฟที่มีมณีอัคคีห้อยไว้อยู่

วินดาฟเอียงตัวหลบแบบง่ายๆ และจับเซปเตอร์เดธในท่าถือหอก ราเมียร์ที่พลาดเป้าก็ตั้งใจจะพุ่งมาอีกครั้งแต่ร่างกายก็แบกรับความเสียหายไม่ไหวจนหมดสติไปอีกครั้ง

“..เล็งมณีอัคคีไว้สินะ ..อย่าบอกนะว่านี่คือเรื่องที่หนุ่มเรเซอร์บอกให้ทำ” วินดาฟลูบหนวดของตัวเอง “ถึงได้มณีอัคคีไปแต่ถ้าใช้ไม่ได้มันก็เปล่าประโยชน์ ..หรือว่าจะใช้ได้? ผู้ถือครองที่แท้จริง?”

วินดาฟยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก และเดินตรงไปต่อ โดยไม่ฆ่าราเมียร์และโทมิเรียทิ้งในทันที ต่อให้สภาพตอนนี้จะไม่ต่างกับคนตายกันแล้วก็ตาม

 

****

“เลวร้ายที่สุด..”

มิร่าทุบไปที่เขตุแดนของอาณาจักรสายลม ..ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะพยายามทำลายหรือหักล้างด้วยวิธีมากมายแค่ไหนก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมาเลย สุดท้ายก็เจอเพียงแค่ทางตัน ก่อนหน้านี้ไม่นานกำแพงน้ำและอาณาจักรสายน้ำของโทมิเรียก็พึ่งสลายไปด้วย หมายความว่าโทมิเรียเองก็แพ้ให้แก่วินดาฟแล้ว

“..ขอโทษนะ เรเซอร์ทั้งที่บอกว่าจะตอบแทนแท้ๆ แต่สุดท้ายฉันก็ยังทำอะไรเพื่อนายไม่ได้อยู่ดี ..สุดท้ายก็ใช้โอกาสที่ได้รับมาอย่างสูญเปล่า ..”

ใบหน้าของมิร่าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังเกิน ในสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเสียสติกันไปแล้วก็เป็นได้

“ต่อให้เป็นโทมิเรียหรือว่าราเมียร์ก็คลายอาณาจักรสายลมไม่ได้หรอก”

“แล้วทำไมถึง!?”

“ง่ายจะตายไป มันแค่มีความเป็นไปได้อยู่ก็เท่านั้น ..ในเวลาที่ไม่มีอะไรจะเสีย อย่างน้อยได้ลองทำก็ดีกว่าไม่ได้ลอง” ผมหันไปมองข้างหลังและอดที่จะยิ้มไม่ได้ “มาเร็วจริงๆนะ”

วินดาฟลอยมาด้วยเวทย์ลม—มิร่าหันหลังกลับไป และเอาตัวมาบังผมไว้

“หนีไป!”

“ฝากด้วย”

วินดาฟเผชิญหน้ากับมิร่าที่สั่นกลัว

“ไม่จำเป็นต้องฝืนหรอกนะ บุตรสาวของอัลเบโด้”

“ฉันชื่อว่ามิร่า–ต่างหากย่ะ!!!”

มิร่าร่ายเวทย์เพลิงที่ถนัดเข้าใส่วินดาฟ 

“[ไฟเยอร์บอล]”

“[ไฟเยอร์บอล]”

วินดาฟจงใจใช้เวทย์เดียวกันเข้าปะทะ และแน่นอนว่าผู้ชนะคือวินดาฟ มิร่าปลิวไปกับแรงปะทะนั่น ร่างกายเต็มไปด้วยแผนไฟไหม้ แต่ไม่ได้สาหัสถึงขั้นเคลื่อนไหวไม่ได้ เธอจึงลุกขึ้นมาใหม่และเริ่มร่ายเวทย์อีกครั้ง

ไม่ได้กะชนะ ไม่ได้คิดว่าจะสู้ได้ แค่ทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้

เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คนเราทำได้แค่นี้แหละ ..

“[ไฟเยอร์บอล]!!”

มิร่าตะโกนจนคอแหบ เวทมนตร์พุ่งออกไปได้แรงที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยทำได้–คราวนี้วินดาฟไม่ตอบโต้ ใช้เพียงส่วนหอกของเซปเตอร์เดธแทงเข้าแกนกลางของบอลเพลิงและจับมันเหวี่ยงขึ้นฟ้า เห็นอย่างนั้นมิร่าก็หน้าซีดแต่ก็ยังไม่หยุดกระหน่ำเวทมนตร์

“[ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] [ไฟเยอร์บอล] ..[ไฟเยอร์บอล]!!!!!!!!!”

“[ไฟเยอร์บอล]”

บอลเพลิงนับสิบลูก ถูกบอลเพลิงเพียงลูกเดียวหักล้าง

“..คึก! [ไฟเยอร์บอล]”

ได้แต่ใช้เวทย์ที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้–วินดาฟพุ่งเข้าประชิดตัวพร้อมกับหลบบอลเพลิงไปด้วย

“ฮึย!”

มิร่าจะถอยหนีแต่ก็ช้าไป เธอถูกปลายของเซปเตอร์เดธแทงเข้าที่หน้าท้องจนทะลุ ..โลหิตไหลออกจากริมฝีปาก มิร่าจ้องตาวินดาฟตรงๆก่อนที่สติจะวูบหายไปอย่างที่ควรจะเป็น วินดาฟดึงปลายของเซปเตอร์เดธออกจากร่าง และปล่อยให้ร่างนั้นกระแทกลงพื้นไป–ทว่าผมก็ออกตัวรับร่างของมิร่าเอาไว้ก่อน

“..สาวน้อยคนนี้ยอมสละชีวิตเพื่อยืดชีวิตเธอเลยนะ หนุ่มเรเซอร์ เธอกลับหันหลังกลับมาแล้วทำให้ทุกวินาทีที่เธอมอบให้สูญเปล่า” วินดาฟหรี่ตามองมิร่า “ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสงสาร”

“เธอพยายามได้ดีมากจริงๆ ..ถ้าไม่ใช่เพราะคุณวินดาฟเล่นกับเธอละก็–เรื่องมันคงจบไปง่ายๆแล้วแท้ๆ”

“หมายความว่ายังไงรึ?”

“ติดเล่นเกินไปแล้วครับ คุณน่ะ”

ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะจับจุดได้ แต่ก็ได้แล้วละ เท่านี้ก็–ฟื้นคืนทุกอย่างกลับมาอีกครั้งได้แล้ว

ฟู่ว …เปลวเพลิงสีทองปกคลุมทั่วทั้งร่างของผม วินดาฟถอยหลังไปเมื่อได้พบกับเพลิงปริศนานี่

“สิ่งนั้น..มันอะไรกัน”

บาดแผลทั้งหมดได้รับการรักษา ไม่ใช่แค่นั้น–มานาที่หายไป วงจรเวทย์ที่เสียหาย ร่างกายที่อ่อนล้า ทั้งหมดได้รับการฟื้นฟูภายในพริบตาเดียว

ร่างกายกลับมาสมบูรณ์ วงจรเวทย์และมานาที่ไม่มีแม้แต่หน่วยเดียวก็ฟื้นฟูกลับมาเท่ากับตัวผมก่อนที่จะเริ่มต่อสู้ กล่าวคือผมอยู่ในสภาพร่างกายเช่นเดียวกับเมื่อตอนเช้าของวันนี้ โดยที่ใช้เวลาไม่กี่วิในการเรียกทั้งหมดกลับคืนมา

ไม่เคยเห็นมาก่อน–แหงอยู่แล้วแหละ เหมือนกับจอมมารดิลุค ผมเองก็เป็นจอมมารเช่นกัน 

หากจอมมารเป็นเพลิงสีขาว ผมก็คือเพลิงสีทอง

ผมนั่งคุกเข่า สัมผัสไหล่ของมิร่าและทำการเผาเธอด้วยเพลิงสีทอง

ร่างกายของมิร่าได้รับการรักษาภายในพริบตาเดียว ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนปกติ–วินดาฟมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลากหลายความรู้สึก ทั้งตกใจ ทั้งตื่นกลัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งชื่นชม ในฐานะนักเวทย์ที่กระหายเวทมนตร์ยิ่งกว่าใครๆ เขาอยากจะรู้จักสิ่งนี้จนไม่เข้ามาโจมตีผมก่อน

“..มันคืออะไรกัน ไม่เคยเห็นสิ่งนั้นมาก่อนเลย ในหน้าประวัติศาสตร์เวทมนตร์เองก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน”

“ผมครุ่นคิดมาโดยตลอดว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองขาด อะไรคือสิ่งที่ควรพัฒนา อะไรคือความแข็งแกร่งที่ตัวเองมี มีอะไรที่ตัวเองทำได้บ้างต่อจากนี้” ผมลูบหัวมิร่าที่หลับปุ๋ยไปอย่างเอ็นดู “คำตอบของคำถามคือทำเหมือนเดิมนั่นแหละ ..เรียนรู้เรื่องราวให้มากกว่านี้ ทำความเข้าใจกับศัตรูให้มากกว่านี้ และลุกขึ้นสู้เรื่อยๆให้มากกว่านี้ สิ่งเดียวที่ผมสามารถทำได้คือทำเหมือนเดิมให้มากกว่าเดิม เพราะอย่างนั้นในตัวของผมจึงต้องมีเพลิงที่ไม่มีวันดับอยู่”

ผมผละตัวออกจากร่างของมิร่า และหันไปเผชิญหน้ากับวินดาฟ

“เปลวเพลิงนี่ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย ไม่ได้มีพลังทำลายล้างเหมือนเพลิงมหามังกรรึเพลิงของจอมมารอย่างดิลุค มันก็แค่เปลวเพลิงที่จะช่วยให้ผมลุกขึ้นมาได้อีกครั้งเสมอๆ ..นี่คือ [วิหคอมตะ] เพลิงอมตะที่จะฟื้นฟูทุกอย่างขึ้นมาได้เสมอ ต่อให้มานาจะเหลือเพียงแค่ศูนย์ ผมก็สามารถเค้นก้นบึ้งของก้นบึ้งเร่งให้มานาเพิ่มขึ้นเพียงหน่วยเดียว ก็เอาออกมาใช้ได้ ขอเพียงแค่จุดติด แม้จะเล็กน้อย ร่างกายและมานาก็จะได้รับการฟื้นฟู เมื่อได้รับการฟื้นฟูแล้ว ร่างกายนี้ก็สามารถสร้างเพลิงอมตะที่มากกว่าเดิมได้ หลักการณ์มันก็ง่ายๆเลย ..ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ฉันก็จะลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ”

นั่นแหละคือ [วิหคอมตะ] 

“เพลิงที่หักล้างการทำงานของเซปเตอร์เดธได้ ..นี่มันเวทมนตร์ประเภทไหนกันแน่”

แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ใบหน้าของวินดาฟเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่ปลื้มปิติ

“วิหคอมตะคอนเซปต์ไม่ใช่การรักษา แต่เป็นการฟื้นฟูทุกอย่างกลับไปดั่งเดิม มานาที่หายไป อาการง่วงนอน ภาวะร่างกายเป็นอะไรสักอย่าง ขอเพียงแค่ใช้วิหคอมตะทุกอย่างก็จะหายไป มันจึงสามารถล้างคำสาปได้ด้วย คำสาปประเภทห้ามฟื้นฟูเองก็ทำได้”

“..การฟื้นฟูที่เข้าขั้น ‘อมตะ’ สินะ ไม่ใช่แบบพวกกึ่งอมตะ การฟื้นฟูระดับเดียวกับมหามังกร ไม่สิ มองในแง่การฟื้นฟูอย่างเดียวอาจจะเหนือกว่ามหามังกรด้วยซ้ำ”

พูดว่าอมตะก็ไม่เชิง เพราะถ้าผมตายรึหมดสติก่อน ก็ใช้งานมันไม่ได้แล้ว ถึงจะจริงก็เถอะเรื่องที่ว่ามันมีการฟื้นฟูที่เหนือกว่าของมหามังกร แต่ยังเทียบความอมตะที่แท้จริงของมหามังกรที่เกิดจากความว่างเปล่าได้ไม่ได้อยู่ดี ..แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะต่อจากนี้ผมไม่มีวันหมดสติเอาง่ายๆหรอก

“เพลิงนี่คือเวทมนตร์นั้นรึ?”

“ก้ำกึ่งน่ะนะ แต่วิธีใช้มันก็ไม่ต่างกับเวทมนตร์หรอก”

เพราะต้องใช้มานาเป็นน้ำมันในการจุดไฟน่ะนะ

“..น่าสนใจจริงๆ เรเซอร์ ดราแคล์ นักเวทย์ผู้ถือครองเพลิงอมตะ”

ผมหยักไหล่ตอบวินดาฟ ก่อนจะส่งมานาเข้าไปให้ถุงมือเวทมนตร์และทำให้ ‘การาวิเทีย’ ส่องแสงอีกครั้ง

“เพราะก่อนหน้านี้มานาไม่มีเลย กว่าจะได้มานากลับคืนแค่เศษเดียวก็ต้องใช้เวลาหลายนาทีเลยแหละ ..ก่อนหน้านั้นถูกคุณวินดาฟดูแลไว้ซะเยอะเลยนะ จำเป็นต้องตอบแทนจากใจจริง”

“อยากเห็นมากกว่านี้จริงๆ ในฐานะนักเวทย์นั่นคือเปลวเพลิงที่มนุษย์ไม่มีทางจะคว้าเอาไว้ได้!”

ใช่แล้ว เพราะมันเป็นสิ่งที่มีเพียงแค่ผมที่ถือครอง ‘ข้อผิดพลาด’ เอาไว้ที่ใช้ได้ ..มันคือเพลิงที่แหกกฏของโลกใบนี้เช่นเดียวกับเพลิงสีขาวของจอมมาร แค่ทำงานและมีผลลัพธ์ต่างกันก็เท่านั้น

“สิ่งนี้คือเพลิงที่จะพลิกวงการณ์เวทมนตร์ได้ไม่ผิดแน่”

เสียใจด้วย มันจะไม่มีเรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นแน่นอน

“อยากได้มาครอบครองเหลือเกิน”

จะไม่มีทางให้ได้ไปเด็ดขาด

“ถ้าหากใช้สิ่งนั้นได้ละก็–บางที ฉันอาจจะใช้งานมณีอัคคีได้ก็เป็นได้”

น่าเสียดาย คนๆเดียวที่ใช้มณีอัคคีได้คือทางนี้ต่างหาก ..

วินดาฟตั้งท่าต่อสู้ เขาชี้เซปเตอร์เดธใส่ผม ผมเองก็เตรียมใช้งานการาวิเทีย

คนๆนี้ ราชาจอมเวทย์ตั้งใจจะช่วงชิงเวทมนตร์ไปจากผม เขาตั้งใจจะเรียนรู้ทุกอย่างที่ผมใช้ กลับกัน ผมเองก็ด้วย ผมเองก็ตั้งใจจะช่วงชิงเวทมนตร์ของชายคนนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ต่างคนต่างเรียนรู้อีกฝ่าย โดยที่เป้าหมายสูงสุดคือ—การฆ่าอีกฝ่าย

ผมจับมิร่าโยนไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้เวทย์ลมอ่อนๆอุ้มเอาไว้ไม่ให้เจ็บหนัก จากนั้นก็พุ่งตัวออก วินดาฟเองก็พุ่งตัวออกเช่นกัน–ผมโพล่งประโยคมากมายออกมาสุดเสียง

“เสริมพลังกาย] [เสริมโชค] [เสริมสติปัญญา] [เสริมประสาทสัมผัส] [เสริมระยะมองเห็น] [เสริมความเร็ว] [เสริมความเร็วการร่ายเวทย์] [เสริมการลงดาบ] [เสริมการวิ่งหนี] [เสริมการวิ่งเข้าใส่] [เสริมกล้ามเนื้อ] [เสริมการทรงตัว]”

“[เฟลมบาสเตอร์]!!”

เวทย์เพลิงขั้นบรรลุพุ่งใส่ผม—ถุงมือการาวิเทียเลืองแสง ร่างของผมถูกยกหนีขึ้นฟ้าด้วยแรงโน้มถ่วง จากนั้นตัดมิติได้พุ่งผ่านร่างผมเกิดเป็นรอยกระจกแตก พร้อมกับออร่าเสริมพลังอันมหาศาลที่พวยพุ่งออกจากตัว

“[ทลายขีดจำกัด]!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

“แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้วละ เข้าใจแล้ว!! หนุ่มเรเซอร์ เป็นเธอจริงๆด้วยสินะ—-ผู้ถือครองมณีอัคคีที่แท้จริงน่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ให้ได้แบบนี้สิ จะช่วงชิงมาให้ได้เลยคอยดู สิทธิ์พิเศษของเธอ พรสวรรค์ทั้งหมดของเธอ จะช่วงชิงมาไม่ให้เหลือสักอย่างเลยคอยดู!!”

ในที่แห่งนี้ไร้ซึ่งศีลธรรม ไร้ซึ่งความถูกต้อง ไร้ซึ่งพันธมิตร ไร้ซึ่งอำนาจ ไม่มีอะไรที่บนสังคมควรจะมีอยู่

“ทางนี้ต่างหากโว้ย!!!!!! จะช่วงชิงพรสวรรค์อันน้อยนิดของแกจนทำให้มันกลายเป็นศูนย์เลยคอยดู!”

ที่แห่งนี้จะมีก็แค่—นักเวทย์สองคนที่เข้าห้ำหั่นกันด้วยทุกอย่างที่ตัวเองมี เพื่อช่วงชิงทุกอย่างของอีกฝ่าย

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset