< < 139 Sec1 > >
‘อำนาจแห่งมณีอัคคี มีทั้งหมด 4 ข้อ ได้แก่–
1.จะบรรลุเวทมนตร์ประเภทเพลิงทุกอย่าง
2.ความเสียหายประเภทเพลิงจะไม่สามารถทำอะไรได้ เพลิงทั้งหมดเมื่อสัมผัสกับตัวจะกลายมาเป็นการฟื้นฟูมานากับร่างกายให้แทน
3.ใช้มานาเกี่ยวกับเวทย์เพลิงน้อยลงสิบเท่า สร้างความเสียหายเกี่ยวกับเพลิงรุนแรงขึ้นห้าเท่า
4.ความสามารถติดตัว ‘พรแห่งเปลวเพลิง’ ในทุกๆหนึ่งนาที ผมจะได้รับโล่ป้องกันที่สามารถป้องกันการโจมตีที่รุนแรงได้อย่างมหาศาลโดยอัตโนมัติ’
‘อำนาจของอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง มีทั้งหมด 5 ข้อ ได้แก่–
1.วิหคอมตะจะเปิดใช้งานตลอด ทำให้ตัวผมมีสถานะเป็นอมตะทั้งร่างกายและมานา ตราบใดที่ไม่มีใครทำลายอาณาจักรเปลวเพลิงหรือว่าทำให้มานาผมหมดในคราเดียวได้ อาณาจักรแห่งนี้ก็จะคงอยู่อย่างธาวรตามใจผม
2.เวทย์เพลิงทุกอย่าง หากถูกใช้งานในอาณาจักรแห่งนี้มันจะเสียการควบคุมและสลายไปในทันที การสลายของเพลิงจะนำไปเพิ่มเพดานพลังกายและมานาของผมให้มากขึ้นได้ กล่าวคือ หากมีศัตรูใช้เวทย์ประเภทเพลิงยัดใส่รัวๆ ผมก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆอย่างไร้ที่สิ้นสุด
3.เวทมนตร์ที่ต่ำกว่าขั้นสูง จะถูกระเหยกลายเป็นมานาให้ผมโดยอัตโนมัติ
4.อาณาจักรแห่งเปลวเพลิง จะกลืนกินไม่เว้นแม้แต่วิชาไสยศาสตร์และวิชาเล่นแร่แปรธาตุระดับที่ต่ำกว่าขั้นบรรลุทั้งหมด ทั้งนี้รวมถึงวิชาดาบด้วย
5.ตัวผมจะใช้มานาเกี่ยวกับเวทย์เพลิงได้น้อยลงยี่สิบเท่า และเพลิงก็จะยกระดับพลังทำลายไปถึงสิบเท่า เวทมนตร์เพลิงทุกๆขั้นทุกรูปแบบ ตัวเองสามารถเรียนรู้ได้ในทันที และใช้ได้เลย แล้วก็ด้วยมณีอัคคีที่ได้รับการกระตุ้นจากอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงในทุกๆด้าน ทำให้ตัวผมสามารถคิดค้นเวทมนตร์ใหม่ๆได้อย่างรวดเร็วภายในอาณาจักรนี้ แน่นอนว่าหากอยู่นอกอาณาจักรแห่งนี้ ความสามารถข้อที่ 5 ก็จะยังคงอยู่ แต่จะไม่ได้ไม่ได้มีประสิทธิ์ภาพดั่งตอนอยู่ภายในอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง ..’
ห้าความสามารถ ภายใต้อาณาจักรแห่งเปลวเพลิง ทำให้ผมเข้าสู่เขตุแดนของ ‘อมตะ’ อย่างแท้จริง ข้อเสียของวิหคอมตะที่จะตายได้หากมานาหมดรึถูกฆ่าในทีเดียวได้หายไป เพราะวิหคอมตะจะถูกใช้งานตลอดเวลา ทำให้ต่อให้สติจะเลืองหายไปในการโจมตีคราเดียว ร่างกายและสติปัญญารวมถึงมานาก็จะได้รับการฟื้นฟูกลับมาจนเต็มพร้อมๆกับทีหมดสติ ตราบใดที่ยังมีอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงอยู่
วิธีเดียวที่สามารถฆ่าผมได้คือการทำให้ผมตายในทีเดียว พร้อมกันกับสภาพที่มานาหมดและพร้อมกับทำลายอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงไปด้วยในคราเดียว หากทำไม่ได้ ตัวผมก็จะกลับมาเหมือนเดิมทุกประการ
ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะ ‘มณีอัคคี’ และ ‘ข้อผิดพลาดของโลก’ ..
อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงได้สลายไปตามที่ผมสั่ง โลกแห่งเปลวเพลิงได้หวนคืนสู่จุดเริ่มต้นอย่าง ‘งานประชุมโลก’ เมื่อจบการใช้งานอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงเรียบร้อยผมก็หันไปมองอีกสามคนข้างหลัง
มิร่าเป็นคนเดียวที่ได้สติต่างกับอีกสองคนที่นอนสลบกันอยู่ เธอมองมาทางผมที่ในมือทั้งสองข้างถือเซปเตอร์เดธกับมณีอัคคีเอาไว้
“ชนะแล้วเหรอ? ราชาจอมเวทย์คนนั้น?”
“ใช่ ชนะได้แบบดูไม่ได้สุดๆเลยละ”
แม้ตัวผมจะไร้ซึ่งบาดแผล มานาเองก็ไม่หลดแม้แต่หยดเดียวก็ตามแต่-ผมชนะได้แบบไม่น่ายอมรับสุดๆ
มิร่าไม่ค่อยเข้าใจที่พูด แต่เธอคงจะไม่ชักถามไปมากกว่านี้จึงเปลี่ยนเรื่อง เธอชี้มาที่แขนทั้งสองข้างที่กำสมบัติของราชาจอมเวทย์ไว้แน่น
“..นั่นเป็นสมบัติของราชาจอมเวทย์ ..เป็นสมบัติของอาณาจักรฟัฟนิร์ ..ช่วยส่งคืนอาณาจักรได้มั้ย?”
ผมส่ายหัวให้
“ไม่ได้หรอก”
“..นั้นเหรอ”
“จะเอาไปบอกอัลเบโด้ก็ได้นะ”
“สัญญาได้รึเปล่าว่าจะไม่ทิ้งอาณาจักรฟัฟนิร์”
ผมพยักหน้าตอบกลับมิร่า เมื่อเห็นอย่างนั้นเธอก็โล่งอก
เห็นดังนั้นจึงอนุมานได้ว่ามิร่าตัดใจที่จะใช้กำลังแย่งสมบัติของอาณาจักรคืนแล้ว ทำไมกันล่ะ?
“ต้องใช้กองกำลังเท่าไหร่ในการชิงสมบัติที่นายขโมยไปกันนะ แค่นั้นไม่พอ คนที่แข็งแกร่งอย่างโดดเด่นที่มากพอจะเอาชนะนายได้ในอาณาจักรนี้ก็ไม่มีอยู่แล้ว” มิร่าหรี่ตามองร่างไร้วิญญาณของวินดาฟ “..ทางนั้นเองก็มีเอเธอร์และเจ้าหญิงมังกร คนที่แข็งแกร่งอยู่ข้างนายก็มีอีกมากมายด้วย ลำพังกองกำลังของอาณาจักรที่สูญเสียทั้งราชาจอมเวทยื ทั้งราชาอัศวิน และทั้งอำนาจมหามังกรไป ..ไม่อาจต่อกรได้อยู่แล้ว”
คนใหญ่คนโตที่คอยแบกอาณาจักรไว้บนหลังได้หายไปถึงสองคน สองคนที่หายไปนั้นยังเป็นกองกำลังหลักด้านการรบด้วย
กล่าวคือ อาณาจักรฟัฟนิร์ตอนนี้อยู่ในจุดที่ย่ำแย่ที่สุด ระดับที่ไม่อาจตามล่าคนที่ชิงสมบัติของอาณาจักรไปได้ ..แน่นอน ถ้าเกิดทุ่มกองกำลังทั้งหมดก็มีโอกาสจะชิงไปได้อยู่ แต่มันคุ้มแล้วเหรอที่จะหาเรื่องกับผม เอเธอร์แล้วก็หนิง ไม่ต้องมีผม ก็จริงที่อาจจะชนะได้หากทุ่มคนและอาวุธทุกอย่างภายในอาณาจักรจริงๆ แต่ระหว่างนั้นเอาอะไรมามั่นใจละว่าหลังจบศึกแล้วตัวเองจะไม่โดนอาณาจักรรอบๆบุกโจมตีเอา
มิร่าเข้าใจสถานะที่ย่ำแย่ของอาณาจักรตัวเองได้ดี เลยเลือกที่จะยอมผมมากกว่าสู้ด้วย ..
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะกลับไปทำงานให้อาณาจักรฟัฟนิร์ในสักวันอยู่แล้ว ปัจจุบันนี้ถ้าลำบากก็จะโผล่หัวไปช่วยเป็นครั้งคราวด้วย ของทุกอย่างหลังจากหมดยุคของฉันก็จะส่งคืนมันให้หมดนั่นแหละ”
ตามสัญญาที่ให้ไว้กับอัลเบโด้ ผมจะไม่ทิ้งอาณาจักรนี้แน่นอน ..แหงละ อาณาจักรนี้มีแองเจลิน่าอยู่เชียวนะ ผมทิ้งเธอได้ที่ไหนกัน เพราะอย่างนั้นแหละ
“หายห่วงได้ ฉันจะทำหน้าที่แทนราชาจอมเวทย์เอง”
“จะ จะขึ้นเป็นราชาจอมเวทย์แทนวินดาฟนั้นเหรอ!?”
ผมส่ายหัวตอบแทบจะทันทีด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ฉันไม่คู่ควรกับนามนั้นหรอก ไม่ได้หน้าหนาพอจะรับชื่ออันสูงส่งนั้นด้วย หมายถึงจะเป็นกำลังรบให้แทนในส่วนของราชาจอมเวทย์ก็แค่นั้น”
คิดว่าสิ่งที่ผมมี มันมากพอจะอุดรูอันใหญ่โตการหายไปของวินดาฟและคาลอสไปพร้อมๆกันได้ ..ทั้งสองคนหายไปก็เพราะผมด้วยส่วนหนึ่ง เหตุผลที่อาณาจักรฟัฟนิร์อยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่มันเป็นเพราะผม และอาจดูอวดดีไปหน่อย แต่ผมคิดว่าตัวเองตอนนี้มีพลังพอจะทดแทนในส่วนที่หายไปได้ทั้งหมด
การาวิเทีย เซปเตอร์เดธ แล้วก็มณีอัคคี ..ทุกอย่างที่มีจะรวมกันเป็นหนึ่ง และจะก่อเกิดเป็น ‘คทาเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต’ ..คทาเวทย์ที่โซล่าตั้งใจจะมอบให้ผม เจตจำนงศ์ ความปารถนาและความฝันของเธอ ผมจะทำให้เป็นจริงเอง ในเมื่อได้ของมาครบแล้วก็ได้เวลาไปขั้นต่อไป
แต่ก่อนอื่น
เมื่อสลายอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงไปแล้ว ผมก็โผล่มาอยู่กลางงานประชุมโลก รอบๆมีคนอยู่มากมาย แต่ ณ จุดกลางของงานประชุมโลกนั้นก็มีแต่คนใหญ่คนโตของอาณาจักรมหาอำนาจ
ทั้ง ราชาแห่งฟัฟนิร์อัลเบโด้ ราชาแห่งเกรลจูเลียส เจ้าชายลีออนผู้นำตัวจริงของเกรล ราชาแห่งแซร์อิซเรลันต้า รัฐมนตรีแห่งเนลยอนฮิโรชิ แล้วก็กลอเลียสกับมาเจลที่นอนสลบหน้าปูด..อยู่กันพร้อมหน้าเลยแฮะ
ผมเก็บเซปเตอร์เดธกับมณีอัคคีเข้ากระเป๋าเวทย์กระเป๋าของนักเวทย์ที่อัศวินของฟัฟนิร์ใช้ได้กัน จากนั้นก็เดินเข้าข้างหลังทุกคนที่กำลังยืนมองดูเชิงกันอยู่
เกิดอะไรขึ้นกันนะ?
“ท่านพ่อ!”
มิร่ารีบวิ่งเข้าหาอัลเบโด้ เมื่อเห็นอัลเบโด้เจ้าตัวก็สูญเสียการควบคุมวิ่งมาจับไหล่มิร่าอย่างรุนแรง
“ปลอดภัยดีสินะ มิร่า!?”
“ค่ะ ท่านพ่อ คือ..เจ็บ”
อัลเบโด้พึ่งจะสังเกตุก็รีบผละมือออกจากร่างของมิร่าทันที ก่อนจะชำเลืองมองมาทางผมและทำเก็กเข้มทันใด
“ทางเธอเองก็ด้วย ปลอดภัยดีสินะ”
“ขอโทษที่ขัดเวลาพ่อลูกนะ แต่ทางนี้มีเรื่องต้องมาบอก”
กลอเลียสกับเรลันต้าเดินมาหาผมอย่างพร้อมเพรียงกัน ข้างหลังพวกเขามีฮิโรชิแล้วก็จูเลียสกับลีออนมองมาคล้ายว่าตั้งใจจะวิเคราะห์ทุกอย่างของผม
“บุตรชายของตระกูลดราแคล์ที่มากด้วยชื่อเสียนี่”
“มาที่นี่ได้ยังไงกัน”
“ท่านแองเจลิน่าพามานั้นรึ”
พวกคนที่มาจากอาณาจักรฟัฟนิร์พากันซุบซิบถึงผม ..ผมกับอัลเบโด้จ้องหน้ากัน
“ก่อนจะเข้าเรื่อง-”
“ถ้าแองเจลิน่าละก็ปลอดภัย เธออยู่กับเซบาสเตียน”
ว่าแล้วอัลเบโด้ก็ผายมือไปทางแองเจลิน่าและเซบาสเตียน เห็นดังนั้นแล้วผมก็โล่งอก
“ยูจิแล้วก็หนิง ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง ทางนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าหากจะไปหาก็เชิญเลย แต่มีอะไรก็ช่วยแจ้งก่อนด้วย”
สมกับเป็นอัลเบโด้ เดาใจผมได้จริงๆว่าอะไรสำคัญกับผมที่สุด
“ไม่ละ จำเป็นต้องบอกธุระของฉันก่อน”
“หืม? ..”
อัลเบโด้มองไปที่ข้างหลังผม–ที่ศพของวินดาฟ
“ทุกๆท่านฟังไว้เลยก็ดี”
ผมพูดกับผู้มากล้นด้วยอำนาจทุกคนในที่แห่งนี้ ..และเล่าเรื่องที่ทางนี้เจอทั้งหมดให้ฟัง
ทั้งเรื่องคนทรยศอย่างวินดาฟ แล้วก็เรื่องมนุษย์ต้นไม้ที่เจอ ..จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าพวกมนุษย์ต้นไม้ยังอยู่รึเปล่า
****
“แหม่ๆ ทำเอาแย่เลยนะครับเนี่ย”
เอเธอร์พึมพำขึ้นขณะที่นั่งพิงเสาโดยที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและแขนขาดถึงข้างหนึ่ง เขาจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่นอนพิงเสาตรงข้ามเขา รอบตัวเด็กหนุ่มมี ‘วิญญาณร้าย’ ทวยเทพผู้ปนเปื้อนจากความชั่วร้ายทั้งมวล เทพแห่งจิตวิญญาณ ‘อานิม่า’ บินวนอยู่รอบๆด้วยสภาพที่เล็กลงกว่าก่อนหน้านี้อย่างเทียบไม่ติด ไม่ใช่แค่ขนาด พลังงานรอบตัวของอานิม่าเองก็ลดลงอย่างมหาศาลจากการต่อสู้กับเอเธอร์ ..กลับกัน ด้านเอเธอร์เองก็สาหัสเช่นกัน
“ว่าแล้วเชียว งานประชุมโลกต้องมีเรื่องน่าสนใจอยู่มากมายแน่ๆ ..ข้อผิดพลาดของโลก ผู้ถือครองอำนาจแห่งเทพ ที่สำคัญยังเป็นถึง ‘อานิม่า’ ด้วย ในส่วนลึกที่สุดของความชั่วร้ายนั้นมีผู้ที่สามารถถือครองได้ด้วยสินะครับ ช่างน่าอัศจรรย์”
เอเธอร์จ้องไปที่อานิม่าที่ค่อยๆสลายตัวกลับเข้าไปในร่างของเวฟอย่างที่ควร และทิ้งเวฟที่ไร้บาดแผลจากการต่อสู้ทั้งหมดเอาไว้คนเดียว ..ถ้าเป็นตอนนี้ อาจจะฆ่าเวฟได้ก็ได้? ถึงกระนั้นเอเธอร์ก็เลือกจะไม่ทำ
“..หืม?”
ระหว่างที่นั่งจ้องเวฟอยู่นั้นคนๆหนึ่งก็เดินเข้ามา–
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณเอเธอร์”
-ยูจิเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเอเธอร์ และชายตามองเหมือนไม่ได้สนใจอะไรนัก
“ลำบากแย่เลยนะครับ ต้องสู้ยื้อกับอานิม่าแบบนี้”
“ไม่หรอก สำหรับผมแล้วนับว่าเป็นรางวัลชีวิตที่ดีทีเดียว–ค่อนข้างประทับใจเลยละ”
“นั่นสินะครับ”
กล่าวจบยูจิก็ใช้หักล้างรักษาบาดแผลทั้งหมดให้เอเธอร์ ..
“ขอบคุณมาก ผมกำลังวิตกแทบแย่เลยครับว่าจะรักษาตัวเองยังไงดี เพราะการต่อสู้กับอานิม่าทำให้เสียมานาที่มีอยู่น้อยนิดไปจนหมดเลย”
ปากบอกว่าเรื่องใหญ่ แต่ท่าทางของเอเธอร์ดูจะไม่ใช่อย่างนั้นเลย
“ฝากดูแลอานิม่าด้วยละกันครับ–อานิม่าน่ะ จะแข็งแกร่งขึ้นตามอารมณ์อันแรงกล้า เลือกได้ อย่าได้ไปยั่วโมโหอานิม่าโดยเด็ดขาดครับ”
“เข้าใจแล้ว ช่วยได้มากเลยละครับ”
ยูจิพยักหน้ารับและเดินไปต่อ
“จะไปไหนหรือครับ?”
“ผมมีเรื่องต้องทำต่อ”
ยูจิตอบสั้นๆโดยไม่ให้เนื้อหาใดๆหลุดไป คล้ายบอกว่า–ไม่ใช่เรื่องของเอเธอร์ที่จะต้องมายุ่ง …เอเธอร์ยิ้มส่งยูจิด้วยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความจริงใจ
“เปลี่ยนไปเยอะเลยไม่ใช่เหรอครับ ..เร็วๆนี้น่าจะเกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นมากกว่านี้แน่ๆ”