< < 139 Sec3 > >
“สัญญาทีสิว่าจะไม่แสดงท่าทีอวดดีไม่รู้จักขอโทษคนอื่นอีก”
“..สัญญาค่ะ..แล้วก็ขอโทษค่ะ ..เซียน”
“เซียน?”
“คุณเซียน ..ค่ะ”
ร่างของฟัฟนิร์ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงที่ใช้สำหรับรักษาร่างกาย เซียนยืนเท้าสะเอวมองสภาพเช่นนั้นอย่างพึงพอใจ
“รู้ว่าตัวเองผิดแล้วใช่มั้ย?”
“รู้ว่าตัวเองผิดจากใจจริงเลยค่ะ’
“แล้วทำไมผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ไม่ยักจะโผล่มาขอโทษข้าเลยละ ทั้งเรื่องที่ทำลายบ้านที่ข้าทุ่มแรงสร้างนับพันปี แล้วโบ้ยความผิดทั้งหมดไปให้จอมมารสหายเก่าของข้ากับตัวข้าแตกแยกกัน เธอหนีไปหน้าตาเฉยแล้วปล่อยให้เพื่อนแท้ทั้งสองทะเลาะกัน แค่นั้นไม่พอ พอโดนจับใต่ได้แล้ว แทนที่จะออกมาขอโทษแล้วรับโทษ สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร?”
…ฟัฟนิร์เม้มปากเข้าหากัน ส่งสายตาอ้อนวอนทั้งน้ำตามา–ชินโค้งตัวเข้ามาถาม
“ท่านฟัฟนิร์ ทำไมหรือครับ”
“เราไม่อยากรับโทษอ่า”
“…”
เซียนเห็นก็ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหัวไปมา
“ให้ตายสิฟัฟนิร์ คุณช่างเป็นตัวก่อเรื่องชั้นยอดของโลกใบนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่มีปัญหากับข้า แต่ยังไปมีปัญหากับคนอื่นไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่คนที่ตอนแรกดูจะไปได้ดีกับตัวเอง รู้รึเปล่าว่าทำไมเรื่องมันถึงเละไปได้ขนาดนี้ ทำไมรอบตัวเธอถึงมีแต่คนที่มีปัญหากับเธอ” เซียนพูดออกมาอย่างมีเหตุผลด้วยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน “เพราะเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขาดการวิเคราะห์แยกแยะไงละ คุณมหามังกรฟัฟนิร์ ผู้มีสติปัญญาในฐานะผู้สูงส่ง แต่ดันทำตัวติดดินประหนึ่งพวกมังกรสวะไร้สติปัญญา ต่อจากข้า ก็ไปรับโทษที่ก่อไว้ให้ราชามังกรตนปัจจุบัน กับผู้กล้าคนปัจจุบัน แล้วก็ราชาแห่งแซร์อิซต่อซะนะครับ”
เซียนพูดเน้นคำด้วยรอยยิ้มก็จริง แต่น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยเสียงที่อาฆาตอันน่าหวาดกลัวอยู่ ..นี่แหละสาเหตุที่ฟัฟนิร์ไม่กล้าไปหาเซียนตรงๆ เพราะเธอรู้ว่าถ้าเธอไปเจอกับเซียนเข้า ตัวเธอน่าจะโดนเซียนเล่นยับยิ่งกว่าตอนนี้ที่มีเกราะป้องกันอย่าง-ทำฟัฟนิร์มากไปไม่ได้
อุปลักษณ์นิสัยของชายผู้มีชื่อว่ารอบรู้ที่สุดบนโลกนั้นก็อย่างที่เห็น เขาคือคนที่หน้าตาดูใจดี แต่จริงๆแล้วเป็นคนโหดร้ายที่ใช้คำรุนแรงไม่พอ ยังจี้จุดคนอื่นได้อย่างเก่งกาจ ว่าโดยง่าย เป็นพวกปากเสียแบบผู้ดีนั่นแหละ
ชินซึ่งได้รับฟังความเห็นอันจริงใจจากเซียนเข้าก็ถึงกับเหงื่อตก และหันไปมองฟัฟนิร์ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
“มะ ไม่เยอะไปหน่อยหรือครับท่านฟัฟนิร์ จำนวนคนที่ท่านไปก่อปัญหาให้เนี่ย!? ผมสุดจะเชื่อเลย!”
“ช่วยไม่ได้นี่นา!! ข้าไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ไม่เคยตั้งใจจะทำให้ใครเดือดร้อนเลยนะ! ทำไมทุกคนต้องโทษแต่ข้าด้วยละ โฮ่!!!! ตอนของเซียน-ของคุณเซียน ข้าก็แค่หิวจนทนไม่ไหวแล้วดันเห็นบ้านของคุณเซียนเป็นวัวยักษ์เอง”
“ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะท่านเดินทางแบบมั่วซั่ว ขาดการวางแผนไม่ใช่รึไงครับ!?”
“พอคิดว่า อา ซวยแล้ว ตายแน่เรา ก็เลยโยนความผิดไปให้จอมมารซะเลย!!”
“แย่ที่สุดครับ โยนความผิดให้คนอื่นเนี่ย จอมมารยังไม่ทำอย่างนั้นเลยนะครับ!”
“..รู้ดีแล้วน่า ..อย่าย้ำนักสิ”
ฟัฟนิร์นั่งกอดเข่าสะอื้นระหว่างที่ถูกชินที่สวมบทคุณแม่ดุ ..เซียนมองชินอย่างสนอกสนใจ
“คุณดูดีกว่าฟัฟนิร์เยอะเลยนะ ทั้งสง่างามและมีสามัญสำนึกที่ดี หากไม่รังเกียจ สนใจจะขึ้นเป็นมหามังกรเพียงหนึ่งเดียวแทนรึไม่ครับ?”
“หงะ!!!!!”
“ไม่ดีกว่าครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของชิน ฟัฟนิร์ก็โล่งอก
ชินหันไปมองฟัฟนิร์ที่ใช้แขนบางๆของตัวเองเช็ดน้ำตาออกในท่านั่งกอดเข่า สภาพของฟัฟนิร์ไม่เหมือนกับมหามังกรผู้ยิ่งใหญ่ เธอนั้นไม่ต่างกับเด็กน้อยที่โดนดุอย่างรุนแรงเลย
“ท่านฟัฟนิร์คือผู้มีพระคุณครับ ต่อให้จะเป็นคนไม่ได้เรื่องแค่ไหน ผมก็ไม่อาจทิ้งไว้เฉยๆได้” ชินยิ้มเจื่อนๆ “ถึงเห็นแบบนี้ แต่ท่านฟัฟนิร์ก็มีเรื่องดีๆอยู่บ้างนะครับ สักสองสามเรื่อง ไม่ได้เยอะก็จริง แต่ก็น่าคิดนะครับว่าคนที่ไม่ได้เรื่องขนาดนี้ กลับมีข้อดีกับเขาได้เหมือนกันเนี่ย”
“ตะ ..ต้าวชิน”
ฟัฟนิร์มองชินด้วยใบหน้าประหนึ่งพบแม่พระ แม้ที่พูดจะเหมือนการหลอกด่าหน่อยๆก็ตามที
“ท่านเซียน”
“?”
“อาจจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ช่วยยกโทษให้ท่านฟัฟนิร์ได้รึไม่ครับ”
“ความตั้งใจตลอดพันปีของข้าถูกทำลายเลยนะ แค่นั้นไม่พอ เธอยังเป็นต้นเหตุให้ข้าทะเลาะกับเพื่อนรักด้วยสิ ไม่คิดว่าการขอโทษเพราะจนมุมมันดูน่าเกียจไปหน่อยเหรอครับ?”
ได้ยินอย่างนั้นชินก็ได้แต่ยิ้มตอบแบบไม่สู้ดีนัก
ปัญหาที่ก่อดูผิวเผินอาจไม่น่าใหญ่อะไรมาก แต่หากมองดูดีๆนับว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่เลย ดูไม่ใช่เรื่องที่จะขอโทษให้จบๆกันได้เสียเท่าไหร่
“นั่นสินะครับ แต่ถึงยังไง ก็ไม่จำเป็นต้องยกโทษให้ก็ได้ครับ ทางนี้แค่อยากจะขอโทษแทนท่านฟัฟนิร์ อย่างน้อยๆ ถ้าไม่จำเป็น ผมก็ไม่อยากให้ทำท่านฟัฟนิร์มากไปกว่านี้ เพราะเป็นผู้มีพระคุณและคนสำคัญ พอเห็นเธอถูกกระทำมากเข้าจิตใจนี้ก็ไม่อาจจะทนไหวได้ ..หากไม่ได้ ถ้าไม่พอใจก็มาลงที่ผมสักครึ่งหนึ่งก็ได้ครับ อย่างไรซะ ชีวิตของผมก็ได้มาจากครึ่งหนึ่งของท่านฟัฟนิร์ หากมองว่าผมคือท่านฟัฟนิร์อีกคนก็สมควมจะได้รับโทษเช่นกัน”
ชินคุกเข่าลงกับพื้น และก้มศรีษะให้แก่เซียน ท่วงท่าการขยับ และแววตาของชินนั้นเต็มไปด้วยความสง่างามซึ่งเกิดมาจากใจจริงอันงดงาม
“ต้าวชิน ..”
เซียนมองสองมหามังกรเพลิงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
“เข้าใจแล้ว จะยกโทษให้เป็นกรณีพิเศษ”
ฟัฟนิร์ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มร่าและวิ่งไปกอดตอชินทันที
“ไม่ได้ต้าวชิน ข้าน่าจะตายไปแล้วแน่ๆ ขอบใจน้า!!”
“ในภายภาคหน้าก็อย่าก่อเรื่องอีกนะขอรับท่านฟัฟนิร์”
“อื้อๆๆๆ สัญญาเลย!”
เซียนเดินไปอยู่ตรงหน้าของชิน และจับไปที่มือของชิน
“ลุกขึ้นเถิด”
แม้จะเป็นคนปากเสีย แต่หากเป็นผู้ที่คนๆนี้รู้สึกเคราพ เขาจะแสดงท่าทีให้เกียรติอย่างถึงที่สุด และจะไม่ยอมให้คนที่ตัวเองยอมรับนั้นต้องอยู่ในสภาพที่น่าอับอายด้วย
“อ๊ะ ครับ”
เมื่อชินลุกขึ้นแล้วเซียนก็คุกเข่าแทน และจูบไปที่มือของชิน ….
“หงะ..ชะ ชะ ชิน”
ฟัฟนิร์ตัวแข็งทื่อ ชินเองก็ด้วย
“ถูกใจแล้วละครับ คุณช่างเป็นตัวตนที่งดงามที่ยากจะพบเห็น ทั้งจิตใจที่สูงส่ง และจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์นั่นทำเอาใจน้อยๆของข้าสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”
“นี่หรือว่า ..ผมโดนจีบเหรอครับเนี่ย”
ชินใช้แขนที่ว่างเกาแก้มแบบลำบากใจ
“ใช่แล้ว ยากที่จะเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ตัวข้าที่อยู่คนเดียวมาตลอดนับหมื่นปี ในที่สุดก็ปารถนาจะหลุดพ้นจากการใช้ชีวิตคนเดียว เพียงแค่แรกพบ การเปลี่ยนแปลงทางความคิดก็เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ช่างน่าแปลกใจ”
เซียนเอียงศรีษะเล็กน้อย และหรี่ตาลง เขาใช้แววตาและใบหน้าที่งามเป็นทุนเดิมของตัวเองให้เป็นประโยชน์
“สนใจจะเป็นภรรยาของผมหรือไม่?”
“น่าเศร้านัก แต่เกรงว่าต้องปฏิเสธขอรับ”
ชินนำมือทาบอกและส่ายหัวให้เซียน
“มีคนที่กำลังรอผมอยู่ครับ กับคนๆนั้นผมได้ทำพันธสัญญาชั่วชีวิตกับเขาไปแล้ว”
“ถึงจะเป็นแค่สัญญานายบ่าวก็เถอะนะ”
ฟัฟนิร์โพล่งขึ้นแบบไม่ดูบรรยากาศ
“อะไรกันครับ ชิน ไม่สิ ชินดร้า แค่สัญญานายบ่าวเอง ข้าไม่ถือหรอกนะหากคุณจะมีนายเหนือหัวน่ะ”
ชินแก้มแดงแจ๋ขึ้นมา และมองแรนไปทางฟัฟนิร์–ฟัฟนิร์ที่รู้สึกตัวก็หันหน้าหนีไปทางอื่น และทำผิวปาก
“ถึงอย่างไร ผมก็ไม่อาจตอบรับคำขอได้ขอรับ ..เพราะผมคิดว่าตนเองควรให้ความสนใจกับเป้าหมายของตัวเองก่อน แล้วก็เรื่องของนายของผมด้วย”
“นั้นเองหรือ ช่างน่าเสียดาย เช่นนั้นข้าก็คงจะต้องตัดใจอย่างยากลำบาก แม้จะรู้ว่าการตัดใจนั้นยาก แต่ก็ต้องลอง ..อย่างไรซะ ตัวข้าก็มีชีวิตอยู่ได้อีกเป็นหมื่นๆปี อย่างน้อยใช้เวลาสักพันปีก็คงจะเยียวยาได้”
พอได้ฟังอย่างนั้นชินก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ ต่างกับฟัฟนิร์ที่แอบยิ้มสะใจ
เซียนหยิบสมุดบันทึกขนาดเล็กขึ้นมาจด ..ชินจ้องสมุดเล่มนั้น และพอมองให้ดีๆก็เห็นว่าตัวสมุดบันทึกมีชื่อว่า ‘บันทึกการหาภรรยา Vol.10’
“..เอ่อ..ท่านเซียน..หนังสือเล่มนั้นมัน”
“นี่เป็นบันทึกการเดินทางหาภรรยาตลอดชีวิตของข้าครับ”
เซียนใช้เวลาจดเพียงเชี่ยววิเดียว จากนั้นก็เก็บสมุดบันทึกเข้ากระเป๋า
“โดนปฏิเสธครั้งที่ ‘หนึ่งพัน’ แล้วสินะ นับว่าเป็นเลขที่สวยทีเดียว”
….
ว่าตามตรง ในฐานะผู้หญิง ชินรู้สึกดีใจนิดหน่อยที่มีคนมาขอแต่งงานด้วย แม้จะไม่อยากและตัดสินใจปฏิเสธอย่างแน่นอนไปแล้ว แต่ก็มีคนอยากแต่งงานกับตัวเองด้วยอยู่ กับชินที่ไม่มั่นใจในด้านหญิงสาวของตัวเอง ย่อมดีใจนิดหน่อย ทว่าพอเห็นแบบนี้ความดีใจทั้งหมดก็หายไป
“ไม่อยากคิดเลยนะครับว่าตัวข้าจะถูกปฏิเสธนับพันครั้งได้แล้ว ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบันไม่มีหญิงใดสนใจข้าเลย”
“ลำบากแย่เลยนะครับ เอ่อ อ่า ผมคิดว่าสักวันท่านเซียนจะต้องพบคนที่เหมาะสมแน่ๆครับ”
ได้ยินอย่างนั้นเซียนก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย และส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยสเน่ห์มาให้
“แอบมีใจให้แล้วสินะครับ”
“…”
ชินไม่รู้จะพูดอะไรดี ..บางที เซียนอาจจะเป็นคนที่พิลึกเกินคาดคนหนึ่งก็เป็นได้–ฟัฟนิร์เดินมาบังชินไว้
“พอแค่นี้เถอะ เซียน..คุณเซียน อย่างที่เห็นต้าวชินไม่เล่นด้วย เชิญไปหาคนที่ 1001 1002 1003 ต่อไปได้เลย”
“เธอเนี่ยนะ ถึงข้าจะยกโทษให้แล้วก็ใช่ว่าจะมาปากเสียใส่กันได้นะ”
“..ขอโทษค่ะ”
เซียนถอนหายใจ และเดินลงไปนั่งบนโขกหินแถวๆนี้
“เข้าใจแล้ว ข้าจะตัดใจ” เซียนนำพัดลายอินทรีย์ขึ้นมากางออก และใช้พัดนั่นบังปากของตัวเองเอาไว้ “เช่นนั้นก็มาเข้าเรื่องดีกว่า”
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องเป้าหมายที่พวกคุณคิดจะทำต่อจากนี้ยังไงละ โค่นเนลยอน? ช่วยเนลยอน?”
..ฟัฟนิร์ส่งสายตาจริงจังไปทางเซียนเป็นคราแรก พอถูกสายตาเช่นนั้นจ้อง เซียนก็แปลกใจนิดหน่อย เพราะมันต่างกับฟัฟนิร์ไม่ได้เรื่องยามปกติ
“หมายความว่ายังไงกันแน่ เจ้าคิดจะเข้าร่วมเรื่องของโลกนี้ด้วยรึ? ทั้งๆที่ห่างหายไปจากโลกนี้ตั้งแต่ยุคผู้กล้าแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้ามีสถานะไม่ต่างกับผู้เฝ้าดูอย่าง ‘ไอโด-เวโด้(เทพแห่งธรรมชาติ)’ หรือไง”
“ข้าเป็นเพียงชายผู้รักสันโดษ เป็นผู้ที่ไม่ต้องการมีปัญหาโดยไม่จำเป็น ต่างกับ ไอโด-เวโด้ ที่เป็นผู้เฝ้ามองอย่างแท้จริงนัก”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“ข้าแค่คิดสนใจและอยากให้ความร่วมมือด้วยเล็กน้อย ..เมื่อไม่กี่ปีก่อน ข้าเผอิญไปพบกับผู้มีคุณสมบัติเป็นจอมมารเข้าน่ะนะ”
ฟัฟนิร์ลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกับชิน
“ชื่อของมนุษย์ผู้นั้นคือ?”
“เรเซอร์ ดราแคล์”
“แบบนี้นี่เอง แล้วตัดใจจะทำอะไรต่อล่ะ”
“ข้าอยากทราบเป้าหมายทั้งหมดของเธอ จากนั้นก็จะนำมันไปเล่าให้ เรเซอร์ ดราแคล์ ฟังแทนพวกเธอ” เซียนพูดต่อ “ยังไงเสีย พวกเธอก็คิดจะออกจากปัญหาคราวนี้อยู่แล้วนี่ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ไปเล่าเรื่องที่จะทำต่อจากนี้ให้คนๆนั้นฟังเลย”
ฟัฟนิร์พยักหน้ารับ
“ทีแรกก็ตัดใจจะไปหา แต่เพราะปัญหาหลายๆอย่างทำให้คิดว่าแยกกันจะดีกว่า”
“เพราะเธอมีปัญหากับคนในงานประชุมโลกค่อนข้างมาก ทำให้เจอตรงๆไม่ได้ ต้องไว้โอกาสหน้า แต่คงยากที่จะพบกันได้ง่ายๆอีก คิดว่าการหาโอกาสลมแล้งๆเช่นนั้นมันเสียเวลา ข้าเลยจะเป็นคนส่งสารให้แทน”
“เข้าใจแล้ว”
ชินที่เห็นฟัฟนิร์รับคำง่ายๆเช่นนั้นก็แปลกใจ
“จะเล่าแผนทั้งหมดให้ฟังดีหรือครับ?”
“ดีสิ ถึงเซียน ..คุณเซียนจะเป็นคนปากเสีย แต่คนๆนี้ไม่มีทางโกหกแน่นอน”
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ในเมื่อเข้าใจตรงกันก็ได้เวลาเล่าให้ข้าฟังได้แล้ว ถึงเป้าหมายของเนลยอน แล้วก็เป้าหมายของฟัฟนิร์”
ฟัฟนิร์เล่าทุกอย่างให้ฟังจนหมด เรื่องที่อยากจะบอกให้เรเซอร์รู้ก็คือทุกอย่างที่ตัวเองกำลังจะทำและทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และอีกหลายๆสิ่ง
เมื่อเซียนฟังทุกอย่างที่ฟัฟนิร์พูดแล้ว เจ้าตัวก็ถึงกับใช้พัดเคาะหัวตัวเองเบาๆราวสามทีเป็นอันปรับอารมณ์และความคิด
“แบบนี้นี่เอง เล่นใหญ่น่าดูเลยนะ”
“ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วสิ’
ฟัฟนิร์กำหมัดแน่น และใช้ดวงตาสีเพลิงของตัวเองจ้องไปยังนัยน์ตาอันเปี่ยมด้วยปัญญาของเซียน
“–การจะหยุดความทะเยอทะยานของเนลยอนให้ได้น่ะ มันมีแต่จะต้องทำอย่างนี้นี่แหละ”
****
ภายในงานประชุมโลก บนพื้นมีร่างกายที่กำลังรักษาอย่างช้าๆของมหามังกรวารี ‘เนลยอน’ อยู่ ร่างกายนั้นค่อยๆขยับตามพื้นไปอย่างสุดแสนจะลำบาก-แม้จะมีพลังรักษา แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะที่เหลืออยู่มีเพียง 1/10 เท่านั้น ยิ่งกว่านั้นยังโดนการโจมตีของตัวตนผู้พิเศษเข้าไปอีก การรักษาย่อมช้าลงจากเดิมอย่างเทียบไม่ติด
ระหว่างที่กำลังคลายอย่างช้าๆนั้น วินก็โผล่มาจากข้างหลังโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง
“โย่ว ว่าไงเนลยอน ลำบากแย่เลยนา ไปเจอใครเข้ามาล่ะนั่น”
“วิน มาได้สักที”
“อย่าพูดเหมือนรอมานานแล้วอย่างนั้นสิ นายพึ่งเรียกตะกี้เองไม่ใช่รึไง?”
“ช่างเรื่องนั้นก่อน ..เจ้าลิงรีบพาข้ากลับอาณาจักรได้แล้ว”
วินทำหน้าไม่ค่อยพอใจออกมา
“ไหงบอกว่าจะปล่อยให้เที่ยวหลังจบงานหน่อยไง ทางนี้ยังไม่ได้ไปบ๊ะบ๊ายกับก๊วนผู้ใช้วิญญาณระดับเทพเลยนา”
“ทำตามที่สั่งซะ!”
เนลยอนมองวินด้วยสายตาที่โกรธใครมาก็ไม่รู้ ..วินได้แต่ต้องทำตามใจเนลยอนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรซะตัวเองก็มีหน้าที่เป็นลูกน้องที่คอยทำตามคำสั่งของเนลยอนโดยตรง
“..เฮ้อ เข้าใจแล้วๆ รีบกลับก่อนเลยละกัน หวังว่าท่านโทมิเรียกับท่านไรเดนจะไม่เป็นอะไรไปนะ ว่าแต่จะรีบกลับไปทำอะไรล่ะนั่น?”
“ได้เวลาเริ่มแผนการณ์ขั้นสุดท้ายแล้ว”
…
“ไม่ใช่ว่ายังได้ของที่ต้องการมาไม่ครบรึไง”
“ครบตั้งนานแล้วต่างหาก แค่เจ้าบ้านั่นมันโลภเกินไปจนทำเรื่องค่อยๆเสียเข้าเรื่อยๆก็เท่านั้น ถ้าไม่รีบเริ่มขั้นตอนสุดท้ายเข้า มีแต่จะเสียไปเรื่อยๆ”
…วินถอนหายใจ และหรี่ตามองเนลยอนแบบเซ็งๆ
“เจ้านั่นที่ว่า ไม่เห็นจะเคยเล่าให้ฉันฟังเลยนะ ไปติดต่อใครลับๆมากันล่ะ”
“สักวันเจ้าจะรู้เอง ตอนนี้ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ”
“จ้า จ้า กลับดีกว่าเนอะ”
พูดจบวินก็หยิบคริสตัลออกมาจากกระเป๋าและบีบมันทิ้ง พลันใดนั้นทั้งสองก็หายตัวไปจากงานประชุมโลก ..เพื่อที่จะไปสู่การเตรียมตัวขั้นสุดท้าย
ป.ล.ขอโทษที่ตอนนี้ลงช้าไปนะครับ พอดีผมโดนล่อลวงโดยสื่อบันเทิงน่ะครับ (ฮา) ตอนส่วนของวันจันทร์ผมก็ลงเหมือนเดิมนะ