< < 143 Sec1 > >
“เช่นนั้นหากมีรายละเอียดอะไรต้องการคุยเพิ่มเติมก็ติดต่อข้ามาได้เลยนะ”
“เข้าใจแล้ว”
ทันทีที่คุยธุระจบ เซียนก็แยกตัวกับผมบริเวณหน้าโรงแรมทันที เป็นไปได้ผมก็อยากพูดคุยหลายๆเรื่องกับเซียนมากกว่านี้ เพราะมีเรื่องของเอเธอร์ เรื่องของโซล่า หลายๆอย่างที่สงสัย แต่เหมือนว่าเขาอยากจะรีบสร้างคทาเวทย์ให้เสร็จได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเลยไม่อยากขัดอารมณ์ผู้สร้างเสียเท่าไหร่
ผมมองส่งเซียนที่ค่อยๆเดินไกลออกไป พร้อมกันยืนรอคนที่กำลังจะมาเป็นรายต่อไป
อย่างที่บอกเซียนไป ธุระผมเองก็แน่นตัวพอสมควร-ผมหันไปทางคนที่เดินมาหา และยิ้มให้
“เมื่อคืนสบายดีรึเปล่า เวฟ”
คนที่มาหาผมก็คือ ‘เวฟ’ ผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพ ‘วาราลี่’ และผู้ใช้ 72 อาวุธทลายโลกา ดาบโลหิต ..อีกทั้ง จากการบอกเล่าของเอเธอร์ เขายังเป็นถึงหนึ่งในผู้ถือครองอำนาจแห่งเทพ ‘อานิม่า’ ด้วยแหละ
เป็นตัวตนที่เต็มไปด้วยของเสริมมากมายเท่าที่จะหาได้ในโลกใบนี้ กล่าวคือเป็นคนที่ดูใกล้เคียงกับยูจิยังไงชอบกล
“เตียงที่จักรวรรดิเตรียมไว้ให้นั้นดีทีเดียว ไม่มีปัญหา” เวฟจ้องหน้าผมและโพล่งอย่างจริงจัง “ที่สำคัญ ตามสัญญาที่ให้ไว้”
“รู้แล้วน่า ..จะไปหาครอบครัวที่ผลัดจากกันใช่มั้ย?”
“อ่า นายบอกว่ารู้นี่”
ผมพยักหน้ารับ
“รีบรึเปล่าล่ะ?”
“ขอเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”
ในใจของเวฟเต็มไปด้วยความรีบร้อน อย่างไรซะ การตามหาครอบครัวของตัวเองก็คือเป้าหมายสำคัญที่สุดของเวฟ การที่ตัวผมที่รู้เบาะแสทั้งหมดมาอยู่ตรงหน้านั้นเปรียบได้ดั่งก้าวสำคัญอันใหญ่โตที่อาจพาไปสู่ตอบจบของการตามหาได้ง่ายๆเลยละ
“ไปเลยละกัน”
“ไม่เตรียมของหน่อยเหรอ?”
“ใส่สัมภาระทั้งหมดไว้ในกระเป๋าเวทมนตร์แล้วละ”
ก่อนที่ผมจะเดินไปนั้น–
“ไปด้วยสิ”
หนิงยืนเชิดหน้ากอดอกอยู่ข้างหลัง
“นั่นใคร?” เวฟเอ่ยถาม
“เพื่อนของฉันเอง” ผมหันไปมองหนิง “ไม่ไปตามหายูจิเหรอ? นึกว่าเธออยากจะทำอย่างนี้มากกว่าอีกนะ”
“นายที่ตอนนี้ไม่มีทั้งการาวิเทีย เซปเตอร์เดธ แล้วก็มณีอัคคีนี่ ปล่อยไปก็มีโอกาสตายนี่?”
นั่นสินะ เทียบกับตอนมีสามอย่างนั้น ผมอาจจะตายก็ได้ ในกรณีที่ซวยไปเจอพวกท็อปโลกสองคน หรือไม่ก็เทพดาบ ..ทีแรกคิดว่ากรณีพวกนั้นเป็นไปได้ยาก แต่ไม่ใช่ ตอนนี้พวกเราอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกหมายหัวอยู่ อะไรๆจะเกิดก็เกิดได้ทั้งนั้นแหละ
“พูดตามตรงก็อยากไปตามหายูจิอยู่นะ แต่ปล่อยนายไปคนเดียวมันอันตรายเกินไป”
“นั่นสินะ นั้นก็ไปเลยละกัน มีเธอไว้ก่อนก็ปลอดภัยกับฉันมากกว่าน่ะนะ แล้วก็หลายๆอย่างสะดวกกว่าด้วย ..”
****
ผมพาทุกคนมาโผล่อยู่บริเวณทุ่งหญ้านอกตัวเมือง ตอนนี้อยู่ไกลในระดับที่คนในเมืองยากจะสามารถมองเห็นได้ ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการจะให้เป็น
เมื่อเห็นว่าอยู่ในจุดที่ดีพอแล้ว ผมก็หันไปคุยกับหนิง
“ช่วยพาไปส่งหน่อยได้รึเปล่า หนิง”
“เข้าใจละ ก่อนอื่น หันหน้าไปทางอื่นที่สิ”
ผมหันหน้าไปทางอื่นตามที่หนิงบอก เวฟที่งงๆก็ไม่ได้หันไปตามผม แต่หนิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรและเริ่มถอดเสื้อผ้าออก—ทันใดนั้น ใบหน้าของเวฟก็แดงแจ๋ เจ้าตัวเอามือมาปิดหน้าตัวเองพร้อมกับควันที่ลอยขึ้นมา
“จะ จะ จู่ๆทำอะไรเนี่ย!? อยู่ๆก็มาแก้ผ้าเนี่ย!?”
ท่าทางที่ดูเงียบขรีมพลันหายไปเอาง่ายๆ เวฟกลายเป็นเด็กขี้อายที่ไร้พิษภัยชั่วขณะหนึ่ง
“เอาเถอะน่า นายเองก็หันหน้าไปทางอื่นได้ละ”
“อะ อื้อ!”
เวฟทำตามที่ผมบอก จากนั้นพวกเราก็รอให้หนิงถอดเสื้อผ้าออกจนหมด—
“[ปลดปล่อย]”
หนิงพึมพำสั้นๆ จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นรูปทรงของมังกรฟัฟนิร์ขนาดยักษ์—ผมและเวฟหันไปมองพร้อมกัน เวฟที่เห็นหนิงก็ตกใจและดึงดาบออกมาตั้งท่าเตรียมสู้
“มะ มะ มะ มังกร มหามังกร!? มหามังกรไม่ใช่รึไงนั่น!”
“ใจเย็นก่อน นั่นหนิง”
หนิงในร่างที่แท้จริงทำการย่อขนาดตัวเองให้เหลือเพียงแค่ 3 เมตร เพื่อให้สะดวกกับการเดินทางต่อจากนี้
‘เสียมารยาทซะจริงๆนะ ถึงจะเป็นมังกรแต่ทางนี้คือมังกรมีสติปัญญาเชียวนะ’ หนิงร่างมังกรถอนหายใจเป็นเพลิง ‘เอาเป็นว่ารีบๆขึ้นมาได้ละ ฉันอยากไปถึงก่อนค่ำ เมื่อเช้ายังไม่ได้อาบน้ำเลย เหนียวตัวไปหมดละ’
“ใช้เพลิงทำความสะอาดร่างกายเอาสิ”
‘มันคนละฟิลกันย่ะ!’
“ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละเวฟ รีบขึ้นมาก่อนที่ยัยนี่จะวีนแตกดีกว่า”
ปล่อยให้วีนแตก ทั้งผม ทั้งเวฟได้โดนเผาทั้งเป็นแหงๆ ช่วงนี้ยิ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ด้วย
“..อะ อ่า เข้าใจแล้ว”
เวฟขึ้นมาตามที่บอก จากนั้นร่างของผมกับเวฟก็ถูกคลุมไว้ด้วยเพลิงของหนิง แม้กระนั้นก็สัมผัสไม่ได้ถึงไอร้อนเลย
‘จะไปไหนล่ะ?’
“สถานที่ที่รวมไว้ซึ่งความชั่วร้ายทั้งหมดของโลก ..ป่าอาถรรพ์ ‘เรนสเลฟ’ ”
กล่าวจบหนิงก็สยายปีก และบินขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะออกบินด้วยความเร็วสูงระดับที่หากไม่มีเพลิงของหนิงโอบอุ้มเอาไว้ ร่างของพวกผมได้แหลกไปกับลมกระแทกหรือไม่ก็ได้ตกลงไปสู่พื้นแล้วอย่างแน่นอน
****
ใช้เวลาอยู่ราวสามชั่วโมง หนิงก็พามาลอยอยู่บนบริเวณของป่าอาถรรพ์เรนสเลฟ หล่อนลอยไปมาอยู่รอบป่าอาถรรพ์อย่างน่าแปลกใจ
“เป็นอะไรไปหนิง”
‘บริเวณรอบป่ามีออร่าน่าหยะแหยงโชยออกมา ไม่อยากเสียดเข้าไปไกลเลย’
ออร่าน่าหยะแหยง? ผมลองเพ่งสมาธิไปที่การรับกลิ่นของตัวเอง ..จริงด้วย น่าหยะแหยงจนอยากจะอ้วกเลย
“ถ้านั้นไปลงไปหน้าทางเข้าก่อนก็ได้”
‘เข้าใจละ’
ว่าแล้วหนิงก็บินไปที่หน้าทางเข้าของป่า และค่อยๆปล่อยตัวลงที่นั่น
ช่างน่าแปลก บริเวณป่าอาถรรพ์นั้นเต็มไปด้วยผืนหญ้าสีดำ แต่บริเวณที่ผมยืนอยู่คือผืนหญ้าสีเขียวอ่อนอันสวยงาม ต่างกันสุดขั้วสุดๆ ทำเอาให้รู้สึกว่าไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ยว่านี่คือป่าอาถรรพ์อันเป็นจุดรวมความชั่วร้ายทั้งหมดของโลก
ร่างของหนิงค่อยๆเทียบกับพื้นอย่างช้าๆ ผมและเวฟกระโดดลงจากหลังของหนิง จากนั้นหล่อนก็กลับร่างเดิมอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงสลายออกและเผยให้เห็นร่างที่ไร้เครื่องนุ่นห่ม
ผมหันหน้าหนีก่อนที่หนิงจะสั่ง ต่างกับเวฟที่คงถูกรูปโฉมที่งดงามที่สุดนั่นล่อหลอกเข้า
“หันไปทางอื่นได้แล้ว”
“อ๊ะ ทะ โทษที”
เมื่อเจอสายตาที่ประหนึ่งว่ามองแมลงของหนิงเข้า เวฟก็รีบหันหน้าตามคำสั่ง
“จะว่าไปหล่อนเนี่ยไม่มีความเขินอายเลยนะ ต่างกับตอนอยู่กับยูจิชะมัด”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ กับอีแค่พวกชั้นต่ำมองฉันไม่อะไรมากหรอก นอกจากรำคาญสายตา ..แต่ยูจิ..เห็นไม่ได้หรอก ถ้าเห็นต้องเห็นเวลาสำคัญเท่านั้น”
หนิงพึมพำอย่างเขินอาย ท่าทางต่างกับตอนมองเวฟราวฟ้ากับเหส
เวลาสำคัญสินะ เวลาสำคัญที่ว่ามันเวลาไหนกันนะ ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันดี
“นี่ฉันโดนเกลียดอยู่สินะ รู้สึกผิดเรื่องที่มองอยู่หรอก แต่ทางนั้นจู่ๆก็ทำนู่นทำนี่โดยไม่บอกสักอย่าง จะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกบ้างมันแปลกตรงไหน”
“อย่าไปใส่ใจเลย ตอนนี้หนิงกำลังอารมณ์เสียอยู่น่ะ”
“นั้นเหรอ ..กับคนที่ทะเลาะกันเมื่อวานสินะ”
เวฟเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยพอยอมรับได้แบบไม่อยากยอมสักเท่าไหร่ หนิงตอนนี้อยู่ในสภาพที่พร้อมวีนใส่ทุกคน เพราะเรื่องของยูจิทำให้เจ้าตัวอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ แน่นอนทางผมตอนนี้ก็ไม่ได้อารมณ์ดีนักเท่าไหร่ แค่ผมควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าหนิงก็เท่านั้น
“เสร็จแล้ว”
พอหนิงแต่งตัวเสร็จ พวกเราก็หันไปมองหน้ากันตามปกติ
“ถ้านั้นก็-เข้าไปเลยดีมั้ย?”
“ฉันขอรออยู่ข้างนอกไม่ได้เหรอ?”
“หล่อนเนี่ยนะ ไม่ใช่ว่าทางหล่อนเป็นคนบอกว่าจะมาช่วยปกป้องฉันหรือไง?”
“…มันเหม็นอ่ะ”
ผมถอนหายใจ จากนั้นก็เดินไปจับไหล่หนิง
“[ป้องกันกลิ่นเหม็น]”
ผมใช้การอวยพรแบบเดียวกับจอมมาร เสริมการป้องกันให้หนิง จากนั้นก็เดินไปจับไหล่เวฟและเสริมพรแบบเดียวกันให้ ก่อนที่สุดท้ายจะจับตัวเองและทำการเสริมพร
“ในเมื่อจัดการปัญหาทั้งหมดยิบย่อยจบแล้วก็เข้าเรื่องเลยดีกว่า–เวฟ พอมาอยู่ตรงนี้แล้ว นายนึกอะไรออกบ้างรึเปล่า?”
“….รู้สึกเหมือนเคยมาแล้ว”
“ดีเลย ถ้านั้นก็รีบไปกันดีกว่า”
ผมก้าวขาเข้าไปภายในเขตุของป่าอาถรรพ์โดยไม่รอใคร พริบตาเดียวที่ก้าวขาเข้าไปแม้แต่เซนเดียว ทิวทัศน์โดยรอบก็แปรเปลี่ยน ทองฟ้ายามบ่ายแปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนอันน่าหวาดกลัว เสมือนว่ากำลังยืนอยู่ในป่าภายในภาพยนตร์สยองขวัญ ซึ่งมีทั้งต้นไม้หลอนๆกับหมอกปกคลุมอยู่ตลอด และน่าแปลกอีกหนึ่ง ที่ถึงจะมืดยังไง ถึงจะไม่มีแสงจากดวงจันทร์ แต่มันก็ไม่ได้มืดถึงขนาดมองอะไรไม่เห็นเลย มันเป็นมืดสีฟ้าจางๆที่สามารถเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
..นี่สิน่า ป่าอาถรรพ์ เหมือนกับเรื่องราวในนิยายต้นฉบับ–ที่ยูจิเคยมา
ป่าอาถรรพ์ ‘เรนสเลฟ’ สถานที่ในตำนานที่ถูกบันทึกไว้ว่ามีอยู่ตั้งแต่ยุคมังกรธาตุ และบางที มันอาจจะเคยอยู่มาก่อนหน้านี้แล้วด้วยซ้ำ แค่ไม่มีใครเคยพบเห็นมันและสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ละนะ ตามชื่อของมันเลย ที่แห่งนี้คือป่าอาถรรพ์ เมื่อใดที่เข้าไปภายในป่าแล้วก็ยากที่จะออกมาได้ โดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุ
แต่บอกตามตรง ผมรู้จักป่านี่ดีในระดับหนึ่งเลยละ เพราะมันคือป่าที่เคยปรากฏในเนื้อเรื่องหลัก และมีโมเม้นต์สำคัญภายในป่าอยู่ด้วย
มันเป็นเนื้อเรื่องช่วงที่ยูจิโดนลากเข้าป่าไปโดยบังเอิญ และก็ถูกทำให้ติดอยู่ที่แห่งนั้น และต้องหาทางออกให้ได้ แน่นอนว่าด้วยความเป็นนิยายแนวแฟนตาซีสมัยนี้ ในเวลานั้นก็มีตัวละครหญิงตัวร้ายคนหนึ่งตามติดไปด้วย ภายใต้สถานการณ์ที่ต่างฝ่ายก็ต่างลำบาก ทำให้เกิดการร่วมมือกันเฉพาะกิจขึ้น ก่อนจะมีการปักธงสุดโรแมนติกตามมาด้วย โดยที่เนื้อเรื่องส่วนนั้นจะเกี่ยวกับการเอาตัวรอดในป่า รวมถึงการทำพันธสัญญากับวิญญาณระดับเทพอีกตน
วิญญาณระดับเทพที่ยูจิจะทำพันธสัญญาด้วยในบทนั้นก็คือ ‘วาราลี่’ เอกลักษณ์อมตะ หรือก็คือวิญญาณระดับเทพที่เวฟเป็นผู้ถือครองในเวลานี้
หากจำไม่ผิด ช่วงเวลาในนิยายต้นฉบับคือช่วงปีสอง จึงไม่แปลกอะไร กลับกันเลย ทุกอย่างมันลงล็อคหมด ทั้งเรื่องของวิญญาณระดับเทพ เรื่องของดาบโลหิต และเรื่องของอำนาจแห่งทวยเทพ …พอเอาทุกเรื่องมาประติดประต่อกัน ภายใต้เรื่องราวในปัจจุบันที่มีอีกหลายสิ่งที่ทางผมไม่รู้ ทำให้ได้คำตอบ
ผมหันไปมองหน้าเวฟที่มุ่งมั่นกับเป้าหมายของตัวเอง ..เวฟ..หมอนั่นจะตายอย่างแน่นอน ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ เวฟมีหน้าที่ตายเพื่อให้เนื้อเรื่องเข้ากับนิยายต้นฉบับ เพื่อที่จะให้ยูจิได้กลายเป็นผู้ถือครองวาราลี่ในภายหลัง และเพื่อให้ดาบโลหิตนั้นไปสู่มือของผู้ถือครองต่อจากนี้ และสำคัญที่สุดเลย เทพแห่งจิตวิญญาณ อานิม่า ..ในนิยายต้นฉบับนั้นไม่เคยมีบทบาทมาก่อน แม้แต่ในป่าแห่งนี้ และไม่มีทางที่เวฟจะเป็นผู้ถือครองทั้งๆที่สูญเสียการครอบครองวิญญาณระดับเทพกับดาบโลหิตไป
ให้กล่าวเลยคือ เวฟจะถูกช่วงชิงทุกอย่างไปในอีกไม่นาน และคนที่ช่วงชิงทุกอย่างจากเวฟก็คงเป็นตัวตนที่ไม่เคยปรากฏในนิยายต้นฉบับเหมือนกัน คนๆเดียวที่นึกออกก็มีแค่ ‘เรน’ นั่นแหละ
แต่ก็ยังน่าสงสัย ว่าเหตุใดถึงได้ฆ่าเวฟเพื่อชิงทุกอย่างมาด้วย เพราะหากเป็นตามที่สันนิฐานแล้วน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ เพราะอย่างนั้นแหละ ผมเลยพาเวฟมาที่แห่งนี้เพื่อจะพิสูจน์เรื่องที่สงสัยทั้งหมด
ผมแอบมองเวฟโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้
บางที เวฟอาจจะเป็นตัวตนที่คล้ายยูจิอย่างไม่น่าเชื่อก็เป็นได้ ..อาจจะเป็น ผู้พิเศษ—ที่แสนจะอันตรายจงปล่อยไว้ไม่ได้ก็เป็นได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวฟแล้ว สิ่งที่ผมจะทำต่อจากนี้นั้นค่อนข้างยืดหยุ่นน่ะนะ