< < 143 Sec 2 > >
สายลมอ่อนๆพัดผ่านหน้าของผมไป ตัวฉันที่ถูกสายลมเพียงน้อยนิดนี้ลอยผ่านไปก็ได้สติจากการหลับใหล เมื่อเปิดตาขึ้นเพื่อมองความเป็นอยู่ในปัจจุบัน ฉันก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือที่วางอยู่บนหัวในทันที
ฉันหรี่ตามองคนที่จับหัวของฉันเอาไว้อย่างนุ่มนวล ..ผู้หญิงตัวเล็กในชุดวันพีซสีขาวบริสุทธิ์ เธอคือ ‘น้องสาว’
“หลับสบายหรือเปล่าคะ? พี่ชาย”
น้องสาวพูดกับฉันพร้อมรอยยิ้มที่แสนจะน่ารักน่าเอ็นดู สายตาที่เธอส่งมาให้ฉันมันไม่เหมือนสายตาที่น้องสาวใช้มองพี่ชายอย่างฉันเลย ให้พูด เหมือนว่าทางฉันถูกปฏิบัติเหมือนกับเด็กน้อยมากกว่า
พอรู้อย่างนี้แล้วก็อดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ เลยทำหน้ามุ๋ยใส่-เธอไม่เข้าใจเรื่องที่ฉันคิด อาจเพราะใสซื่อ หรือไม่ก็นิสัยที่เป็นผู้ใหญ่ของเธอมันยากจะเข้าใจเด็กอย่างฉัน
“พี่ชาย?”
“ไม่มีอะไร!”
ฉันพูดเสียงดังและหันหน้าหนีไปทางอื่น ..ตอนนั้นเอง
“อะไรอีกๆ ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ?”
‘พี่สาว’ ก็เดินเข้ามา พร้อมกับโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวเหมือนกับทุกๆที ไม่รู้ทำไม แต่พี่สาวมักจะอารมณ์ไม่ดีเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ใจดีที่สุด แล้วยังเข้าใจหัวอกฉันดีด้วย แต่อย่างไร ฉันก็ไม่ชอบเวลาเธอดุอยู่ดี
ต่อจากพี่สาวก็— ‘คุณลุง’
“อย่าเสียงดังสิ”
“ให้ทะเลาะกันไปมาแบบนี้ไม่รำคาญบ้างเหรอ?”
“มันก็ต้องมีบ้างแหละนะ ที่เขาว่าไง ยิ่งทะเลาะก็ยิ่งสนิท”
“ใจดีเหลือเกินนะตาลุง ถ้าเอาแต่ตามใจแบบนี้เดี่ยวก็เสียคนเอาหรอก”
“ฮาๆๆ ไม่หรอกน่า ไม่หรอก”
คุณลุงเป็นคนที่ใจเย็นมาก เขาไม่เคยดุฉันเลย ไม่สิ ไม่เคยดุใครเลยมากกว่า เป็นคนใจดีที่ยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้มีอยู่
ฉันมองทั้งสองคน …ก่อนหันไปมอง น้องสาว ที่หันมาหยักไหล่ให้ฉัน
“สองคนนั้นทะเลาะกันอีกแล้วเนอะ”
“..”
“เป็นอะไรไปเหรอ?”
….
“ไม่มีอะไร”
****
ไอร้อนสัมผัสที่ใบหน้า ทำให้ฉันตื่นจากความฝันในอดีตที่แสนน่าคิดถึง ฉันกระพริบสองสามจังหวะ ก่อนจะลุกขึ้นมองไปรอบๆ และพบกับกองไฟที่ตั้งอยู่ตรงหน้า
“ฮือ?..ที่นี่–”
เหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ในที่ไหนสักแห่งแล้วจู่ๆก็โดนส่งมาที่อื่นเลย รู้สึกประหลาดมาก
“ที่นี่ที่ไหน เอาละ เท่านี้ก็ขัดขวางการพูดประโยคสุดครีเซ่มาจากนายได้แล้วนะ”
…ฉันหันไปทางเจ้าของเสียง
หมอนี่คือขุนนางหนุ่มจากแดนเวทมนตร์ เป็นนักเวทย์ขั้นบรรลุเพียงไม่กี่คนบนโลก กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในคนดังของโลกนี้เลยละ จำไม่ผิด ชื่อว่า ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ รวมๆแล้วภายนอกก็เป็นคนที่ดูดีทีเดียว ทั้งดูสูงส่งและมีรูปงามอันเป็นทุนเดิมของขุนนางชั้นสูงอยู่แล้ว ยังไม่รวมถึงความสามารถมากมายที่มากกว่าฉันโข ทั้งๆที่อายุก็น่าจะพอๆกัน ..แต่สิ่งที่ฉันติดใจที่สุดก็คงเป็นดวงตาที่ดูจริงจังตลอดเวลา ต่างกับวิธีใช้ชีวิตแบบสบายๆของเจ้าตัว
พูดตามตรง เป็นคนที่แปลกนิดหน่อย ให้อารมณ์แอบคล้ายกับ วินผู้ใช้วิญญาณระดับเทพจากอาณาจักรเนลยอนเลยละ โดยเฉพาะตรงที่ใจจริงขัดกับท่าทางที่แสดงออกมา
“ประโยคครีเซ่?”
“อ่า ช่างเถอะ จู่ๆฉันก็อยากพูดขึ้นมาน่ะ อย่าใส่ใจเลยๆ”
แปลกจริงๆ พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง แต่แอบสัมผัสได้นิดหน่อยว่ากำลังโดนดูถูกอยู่
ช่างเถอะ..ก่อนอื่น
ฉันหันไปมองรอบๆก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีมืดที่เต็มไปด้วยหมอก
ตอนนี้ฉันอยู่ภายใน ‘ป่าอาถรรพ์ เรนสเลฟ’ ป่าที่เก็บความชั่วร้ายทั้งหมดของโลกใบนี้เอาไว้ภายใน มันจึงได้ชื่อว่าเป็นป่าอาถรรพ์ เพราะผู้ใดที่เข้ามาในป่าแล้วจะไม่สามารถออกจากป่าแห่งนี้ไปได้ แล้วก็ขณะที่อยู่ในป่า คนที่อยู่ข้างในจะถูกปลุกความรู้สึกแง่ลบขึ้นมาอย่างหนักหน่วง และอาจทำให้ถึงขั้นคลั่งไปเลยก็เป็นได้
ที่กล่าวถึงเป็นความจริง ทว่าผู้ที่ถือครองวิญญาณระดับเทพจะป้องกันสถานะด้านจิตใจจากภายนอกได้ ทำให้ความคิดแง่ลบไม่อาจถูกปลุกได้ แต่ก็..เรื่องที่ออกจากป่าแห่งนี้ไม่ได้ เหมือนจะเป็นความจริงอยู่ดี
ที่แห่งนี้จะมืดตลอดเวลา อีกทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นด้วย แต่โชคดีที่มีแสงไฟของเรเซอร์คอยส่องสว่าง แล้วก็ได้การต้านทานกลิ่นจากเรเซอร์ด้วย ..น่าแปลกอีกอย่าง เรเซอร์ เป็นคนที่มานาไม่มีหมดเลย ตั้งแต่เข้ามาในป่าเขาไม่ได้พักเพลิงที่สร้างขึ้นเลย ..บางทีความลับของการที่มานาไม่มีวันหมดของเขา อาจจะมาจากเพลิงสีทองที่เขาใช้ประจำกระมัง
“จะว่าไปกี่โมงแล้วน่ะ”
ก่อนหน้านี้ เรเซอร์และอีกคนตกลงกันว่าจะนอนพักกัน ก่อนจะเดินทางต่อ ฉันก็เลยนอนด้วยเหมือนกัน แต่ในเมื่อตื่นแล้วก็ต้องรีบเดินทางไปต่อ
“ถ้าเวลาที่นี่ไม่ได้ผิดจากภายนอกก็น่าจะเช้ามืดวันถัดไปนั่นแหละ ..ตีสี่ได้มั้ง?”
“ถ้านั้นรีบไปกันเถอะ”
“พักสักหน่อยดีกว่า”
พูดจบเรเซอร์ก็ชี้ไปทาง– ‘หนิง’ ผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่สวยเทียบเท่ากับเจ้าหญิงมรกต แล้วก็เป็นผู้หญิงประหลาดเจ้าอารมณ์ด้วย ประหลาดตรงที่กลายเป็นมังกรได้ เจ้าอารมณ์ตรงที่ชอบมองฉันเหมือนโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อน ..ดูกระไรอยู่ แต่เธอเป็นคนทีคล้ายกับพี่สาวเล็กน้อย
“ถ้าไปบังคับหล่อนให้ตื่น หล่อนจะโวยวายน่ะ เพราะน่ารำคาญเลยไม่ปลุกดีกว่า”
ตรงที่ขี้โวยวายเหมือนกัน ..
“เข้าใจแล้ว”
“บอกเหตุผลไร้สาระไปก็ยังรับได้อีกนะ ใจดีเหลือเกินนะ นายเนี่ย ตั้งแต่ตอนที่ไอ้มาเจลนั่นมาโวยวายจะเอาดาบแล้ว ..ไม่คิดว่าตัวเองใจดีไปหน่อยเหรอ?”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ? ให้หัวร้อนแล้วฟาดมาเจลให้ตายคาที่? ตอนนี้ก็ให้เดินไปปลุกหนิงให้ตื่น? ประมาณนี้เหรอถึงจะพอใจ?”
เรเซอร์ที่ได้ยินการตอบกลับที่มีน้ำโหเล็กน้อยของฉันก็หัวเราะขึ้นมา
“ใจดีจริงๆแฮะ”
“ตั้งใจดูถูกกันอยู่รึไง”
“เปล่าเลยๆ แค่อยากทำความรู้จักน่ะ ว่าไงดี อยากสนิทด้วยไง ประมาณนี้ …” เรเซอร์หรี่ตาลง “โทษทีละกัน ทางนี้ไม่ใช่พวกที่เข้าสังคมได้เก่งเท่าไหร่น่ะนะ คิดว่าถ้าทำเสียมารยาทเบาๆแบบไม่หนักมากในช่วงเริ่มต้น จะทำให้สนิทกันได้”
“เป็นวิธีคิดที่พิลึกไปนะนั่น”
“จริงด้วยสินะ นั้นเลิกดีกว่านะ วิธีตีสนิทอย่างนั้น”
…ทำเป็นพูดเสียมารยาทให้ฉันสอน จากนั้นก็ยอมทำตามแต่โดยดีเพื่อย่นระยะห่าง
เข้าสังคมไม่เป็นอะไรกัน พวกเข้าสังคมเป็นมันก็พูดแบบนี้ทุกคนนั่นแหละ
ฉันถอนหายใจเฮือกโต จากนั้นก็ใช้คางชี้ใส่หนิง ทำอย่างนั้นอยู่สองสามรอบ เรเซอร์ที่เห็นก็เอียงคอฉงน พอเห็นว่าหมอนี่ไม่เข้าใจที่ฉันสื่อก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ทำเอานึกถึงเรื่องของน้องสาวในฝัน
“ไม่ห่มผ้าห่มให้หน่อยรึไง ที่นี่หนาวนะ”
“อะไรกัน จะสื่ออย่างนั้นเองเหรอเนี่ย ทีหลังพูดเอาก็ได้นะ เข้าใจง่ายกว่าเยอะ..”
…
“หรือว่าเป็นคนพูดไม่เก่งกัน? ที่ดูเงียบๆขรึมๆนี่ไม่ใช่เป็นคนใจเย็นมาดเท่ แต่เป็นคนพูดไม่เก่งนี่เอง แบบนี้นี่เอง อินโทรเวิร์ตสินะ ว่าไงสหายอินโทรเวิร์ต ฉันเองก็เป็นอินโทรเวิร์ตเหมือนกันนา จับมือกันได้”
เรเซอร์ยื่นมือมาให้ฉัน ฉันคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจับมือกลับ
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะ เพื่อกระซับมิตร ช่วยเอาผ้าห่มไปห่มให้หนิงทีสิ”
“นายอยู่ใกล้ไม่ใช่รึไง”
“น่าๆ กระซิบมิตรไง ถ้าหนิงเผอิญตื่นพอดีแล้วเห็นนายเป็นห่วงเอาผ้าห่มไปห่มให้ก็อาจฉุกคิดได้ว่าจริงๆแล้วนายไม่ใช่หนอนแมลง หากแต่เป็นมนุษย์ต่างหาก”
“เธอมองฉันเป็นหนอนแมลงสินะ ..ฉันไปทำอะไรให้เนี่ย”
“เอาน่า หนิงคือสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก เป็นผู้หญิงน่ารำคาญที่มีดีแค่หน้าตา เป็นปกติอยู่แล้วที่ว่าในวันที่อารมณ์ไม่ดี จะมองคนที่ผ่านไปผ่านมาแบบนายแบบอคติ”
“กล้าว่าคนอื่นขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“คนที่ว่าคนอื่นว่าน่ารำคาญได้ก็ต้องมีความน่ารำคาญในตัวระดับหนึ่งนั่นแหละนะ อืม เอาเป็นว่าศิลเสมอ ด่ากันได้ ฉันเองก็หน้าตาดีด้วย จัดว่าเป็นหล่อเสียของเหมือนยัยนั่นที่เป็นสวยเสียของ”
สนิทกันจริงๆแฮะสองคนนี้ ..แล้วก็น่ารำคาญพิลึก ทั้งคู่เลย
ฉันลุกขึ้นเดินไปห่มผ้าห่มให้หนิงตามที่เรเซอร์บอก ทว่าในจังหวะที่ผ้าห่มสัมผัสกับตัวเธอ เจ้าตัวก็ลืมตาขึ้นจ้องหน้าฉันพอดี ..พอถูกใบหน้าที่ดูสวยงามนั่นจ้องแม้ว่าจะอยู่ในยามโมโห ฉันก็เกิดเขินขึ้นมาตามสัญชาตญาณ จากนั้นจึงเดินถอยหลังหนีไป
“กำลังฝันดีอยู่เลยแท้ๆ” หนิงมองแรงใส่ “เลวร้ายที่สุด”
….
….
….
จู่ๆก็อยากร้องไห้ขึ้นมา ฉันหันไปมองเรเซอร์ที่ยกนิ้วโป้งให้
“คนอุตส่าห์เป็นห่วงเอาผ้าห่มไปได้ ก็ยังถือทิฐิเกลียดคือเกลียดต่อไปแบบฝืนตัวเอง–น่ารำคาญตามที่บอกเลยใช่มั้ยละ?”
รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้แต่ก็ยังส่งให้ฉันมาทำเนี่ยนะ!? ไอ้บ้านี่ น่าหงุดหงิดเป็นบ้า
“แกต่างหากที่น่ารำคาญ ไปตายซะ!”
พูดจบหนิงก็เอาผ้าห่มคลุมตัวเองและหันหน้าหนีไปทางอื่น ปล่อยให้ฉันกับเรเซอร์ยืนมองแบบเอือมๆ
“ก็อย่างที่เห็น ตรงตามที่ฉันบอก”
จริงๆด้วย หมอนี่ก็น่ารำคาญพอกัน เหมือนที่บอกเป๊ะๆเลย
ฉันถอนหายใจก่อนจะลงไปนั่งตรงจุดเดิม ..เมื่อได้มองเพลิงของเรเซอร์แล้วฉันก็เกิดนึกสงสัยขึ้นมา
เขาเป็นคนที่อายุพอๆกับฉัน อย่างน้อยคนอายุราวๆฉันก็ไม่น่ามีพวกที่อยากหาเรื่องใส่ตัวเยอะสักเท่าไหร่อย่างการมาโผล่ที่งานประชุมโลก ยังไงก็น่าจะมีพี่ชายหรือพี่สาวหรือไม่ก็ผู้นำตระกูลรึว่าที่คอยมางานแทนอยู่แล้วแท้ๆ ไม่มีความจำเป็นจะต้องมางานประชุมโลก เหมือนอย่างที่ฉันมาเลย
“มีเหตุผลอะไรที่นายต้องมางานประชุมโลกด้วยเหรอ”
อย่างน้อยก็คิดว่าคงจะมีเหตุผลสำคัญอยู่แน่ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เรเซอร์ไม่ตอบทันที คล้ายว่าคำถามนี้ทำให้อีกฝ่ายสะดุดไปครู่หนึ่งได้
“ที่ยอมช่วยฉันเองก็คงมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะทางนายได้ประโยชน์ก็ไม่มีทางจะให้ความร่วมมือหรอก ถึงฉันจะไม่ได้ฉลาด แต่ก็ไม่ได้โง่ขนาดดูคนไม่ออกหรอกนะ” ฉันพูดต่อ “ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ฉันก็ไม่ติดหรอก ยังไงซะต่างฝ่ายก็ต่างหาผลประโยชน์ของกันและกันอยู่แล้วนี่”
พอพูดทิ้งท้ายอย่างนั้น เรเซอร์ก็ยิ้มร่าขึ้นมาทันที
“นั้นเองเหรอ โล่งอกไปเลยนะ นึกว่าทางนี้จะโดนซ้อนแผนแล้วซะอีก”
ซ้อนแผน? ซ้อนแผนนายเนี่ยนะ? คงจะแค่พูดถ่อมตัวเล่นๆนั่นแหละ
“แปลว่ามีแผนจริงๆสินะ”
“ก็ใช่แหละ แล้วเอาไงล่ะ? จะหยุดทริปเที่ยวคราวนี้แล้วแยกย้ายเลยดีมั้ย”
“บอกแล้วไงว่าไม่ถือ ..จะยังไงก็ได้ ฉันอยากจะเจอครอบครัวของตัวเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตแต่แค่ทำให้ฉันได้เจอครอบครัวอีกครั้ง แค่นั้นก็พอแล้วละ”
เรเซอร์ยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
“ได้ยินอย่างนั้นก็โล่งอกเลยละ ค่อยแฟร์ๆขึ้นมาหน่อย ทางนายก็ทำเพื่อเป้าหมายตัวเอง ทางฉันก็ทำเพื่อเป้าหมายตัวเองแบบนี้ เท่าเทียมดีจริงๆ”
“อ่า แต่เดิมก็ไม่คิดวางใจให้นายร้อยทั้งร้อยอยู่แล้วแหละ ..คนที่ไว้ใจได้บนโลกนี้ก็มีแค่คนในครอบครัวเท่านั้นแหละ” ฉันมองไฟอย่างจดจ่อ และพูดต่อ “เพื่อตามหาครอบครัวที่ผลัดจากกัน ฉันถึงได้ทำทุกวิธี ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อให้ตัวเองไปงานประชุมโลก พยายามเข้าสังคมทั้งๆที่ไม่ค่อยชอบเพื่อตามหาทุกคนให้เจอ นี่แหละเป้าหมายของฉัน และเหตุผลที่ฉันเข้าร่วมงานประชุมโลก”
ฉันส่งสายตาให้เรเซอร์ต่อ ..แม้จะไม่ได้ไว้ใจกันอะไรมาก แต่อย่างน้อยๆก็อยากจะทราบเหตุผลของอีกฝ่ายเหมือนกัน เพราะการเอาตัวเองมางานประชุมโลกมันไม่ต่างกับการเอาชีวิตตัวเองเข้าสู่ความวุ่นวายเลยละ
“บอกแล้วอย่าขำละกัน”
“อ่า”
ทางนี้ต้องขอบคุณหมอนี่ด้วยซ้ำที่ไม่ล้อว่าเด็กน้อยติดบ้านเหมือนที่โดนบ่อยๆตอนเล่าเป้าหมายตัวเองให้ฟัง ..
“ฉันทำเพื่อคนสำคัญของตัวเองละนะ”
ไม่ต่างกันเลยนี่นา ..
“เพื่อพี่สาว เพื่อผู้หญิงที่ตัวเองตกหลุมรัก เพื่อเพื่อนของฉันทุกคน เพื่อคนที่ฉันรักทุกคน เพื่อคนที่รักฉัน และเพื่อตัวฉันเอง ..ฉันถึงได้เอาตัวเองเข้าไปในพายุที่มีชื่อว่าการผลัดเปลี่ยนของยุคสมัยสุดจะวุ่นวาย เพื่อทุกอย่างที่ว่ามาแล้ว เหมือนกับนายนั่นแหละนะ เวฟ ..ฉันพร้อมจะทำทุกอย่าง ต่อให้เรื่องที่ทำมันจะเลวร้ายมากแค่ไหน และต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ฉันก็พร้อมที่จะทำมันทั้งหมดนั่นแหละ”
เป็นครั้งแรกที่คนๆนี้ไม่ได้พูดกึ่งเสแสร้ง น้ำเสียงของเขา ท่าทางของเขา แล้วก็ดวงตา ทั้งหมดไปในทางเดียวกันหมด
นี่สินะ ตัวจริงของคนๆนี้
“เหตุผลธรรมดาจริงๆนะ”
ก็แค่คนธรรมดานี่เอง เป้าหมายไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย คิดว่าคนเกือบครึ่งโลกก็คงคิดเหมือนคนๆนี้แต่ว่า–ความธรรมดานี่แหละที่ดูยิ่งใหญ่ เพื่อความธรรมดานี้คนๆนี้พร้อมที่จะแลกด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมี กับคนที่พร้อมขนาดนี้แล้วฉันไม่คิดจะดูถูกหรือต่อว่าอะไร
“เรเซอร์”
“ว่าไง”
“ฉันคิดขึ้นมาน่ะ ว่าถ้าได้เจอกันในสถานการณ์ปกติ พวกเราคงเป็นเพื่อนกันได้”
“หลังจบเรื่องนี้ไว้คุยกันต่อก็ได้นี่ ไม่แน่ นายอาจจะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ฉันอยากปกป้องก็ได้นะ เห็นแบบนี้ แต่ฉันไม่เกี่ยงเพศนะจะบอกให้ ไม่ใช่พวกใจร้ายที่เอาแต่ช่วยผู้หญิงอย่างเดียว ฉันน่ะพร้อมจะช่วยคนทุกเพศทุกวัย ขอแค่เป็นคนสำคัญก็พอแล้ว”
…
“นายเนี่ย โกหกเก่งจริงๆนะ”
“ทางนั้นเองก็เถอะ จับโกหกเก่งเหลือเกินนะ”
พูดจบพวกเราก็จ้องหน้ากัน ก่อนจะยิ้มให้กันอย่างผ่อนคลาย