เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 235

< < 150 Sec2 > >

“น้ำตก น้ำตก น้ำตก น้ำตกแสนสนุก แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วนะว่าจะเป็นสถานที่แบบไหน”

“คิดว่ามันก็ไม่ได้น่าสนใจมากนะคะ แต่เรื่องนี้ก็คงแล้วแต่คน”

ดิลุค และเมลเบล ทั้งสองคนกำลังมุ่งหน้าไปที่น้ำตกซึ่งดิลุควานให้เธอช่วยพามาหน่อย ขณะที่เดินทางดิลุคก็เดินด้วยท่าทางอารมณ์ดีราวกับเด็กตัวน้อย ทำเอามาดที่ดูสูงส่งของเธอหายไปจนหมดเลย

สถานที่ที่จะไปนั้นอยู่ไม่ไกลมาก แต่ก็ไม่ได้ใกล้อะไร หากให้เดินไปก็คงใช้เวลาราวๆเกือบหนึ่งชั่วโมง

แล้วตอนนี้ก็มาถึงแล้วด้วย—ส่องแสงเข้าหน้าของทั้งสอง แม้พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว แต่แสงจากใต้น้ำตกก็ยังคงส่องอยู่

“แสง?”

“หินเลืองแสงน่ะค่ะ”

“หินเลืองแสงนี่เอง รูปร่างที่แท้จริงเป็นอย่างนี้สินะ น่าสนใจจริงๆ”

ดิลุคเดินไปดูบริเวณริมแม่น้ำที่ห่างไกลกับน้ำตกราวสิบเมตร ก่อนที่ดิลุคจะเดินไป เมลเบลได้เผอิญหันไปมองฝูงนกที่บินขึ้นไปบนฟ้าอย่างสนอกสนใจ เพราะเป็นนักพันธ์หายากที่นานๆทีจะบินไปมาในบางฤดู

ดิลุคจ้องไปที่หินที่เลืองแสงก่อนจะกระโดดลงน้ำไป โดยตั้งใจว่าจะไปหยิบหินเลืองแสงมาสักก้อน ……

……

บุ๋งๆๆๆๆ

……

“..อ๊ะ ลืมบอกเลยค่ะ ว่าน้ำมันลึ—เอ๊ะ?”

เมลเบลมองซ้ายขวาไปมาก็ไม่พบ สุดท้ายเลยมองไปที่แม่น้ำซึ่งมีการกระเพื่อมของน้ำอยู่เป็นระยะๆก่อนที่จะค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ

หน้าของเมลเบลค่อยๆขาวซีด ปากสั่นพะงาบๆ

“เดี่ยวสิ!!!”

เมลเบลรีบกระโดดลงไปในน้ำตามๆกัน และ…

…..

บุ๋งๆๆๆๆ

ว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกันเฉยเลย จะว่าเมลเบลโง่ก็คงไม่ผิด

ทั้งสองค่อยๆจมลงไปในห้องลึกที่สุดของแม่น้ำ ได้พบกับหินเลืองแสงที่ส่องสว่างอย่างงดงาม ในห้วงเวลาก่อนที่สติจะดับไปพร้อมกับความตายที่ใกล้เข้ามา เมลเบลได้เห็นสีหน้าก่อนตายของดิลุค

เธอ..กำลังยิ้ม

 

****

“ฟู่ว รอดตามวุดวิด”

“เมลเบลเป็นอย่างไรบ้าง …หืม? ไม่หายใจ หัวใจก็ไม่เต้น ตายแล้วสินะ? ไม่สิ”

….

“ต้องทำอย่างนี้สินะ ตามในบันทึก จากนั้นก็—เรียบร้อย”

รู้สึกเจ็บตรงอก ความเจ็บปวดช่วยให้เมลเบลลืมตาตื่นขึ้นและพบกับดิลุคที่ยืนหน้าเข้ามาใกล้

“เหมือนจะไม่จำเป็นต้องประกบปากนะ”

“ทะ ทะ ทำอะไรน่ะค่ะ!”

“กำลังช่วยชีวิตอยู่ ว่าแต่ง่าวจริงนะเธอเนี่ย”

“ง่าว? ฉันต่างหากค่ะที่ต้องพูด จู่ๆก็กระโดดลงไปแบบไม่ฟังอะไรเลย.

ดิลุคพยักหน้าเห็นด้วย

“ตรงนี้เราง่าวเอง แล้วก็เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่อยู่ทำให้เราไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกเกินไป แต่คิดว่าการที่กระโดดมาช่วยคนอื่นโดยลืมตัวว่าว่ายน้ำไม่เป็นเนี่ย ง่าวยิ่งกว่านะ”

พอโดนตอกกลับด้วยเหตุผลเข้าเมลเบลก็เถียงไม่ออก และหงอยทันที

“ขอโทษค่ะที่เกิดมาง่าว”

“ไม่ได้ว่าขนาดนั้น แต่ก็ขอบคุณนะที่คิดจะช่วยกัน”

“…จะว่าไป ว่ายน้ำไม่เป็นแท้ๆแล้วทำไมถึง”

เมลเบลมองไปรอบๆและพบว่าเธอกำลังนั่งอยู่บริเวณหน้าแม่น้ำก่อนเกิดเหตุ ทั้งๆที่จมน้ำเพราะว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกันไปแล้วแท้ๆ

“แค่วิเคราะห์โครงสร้างร่างกายมนุษย์ กับวิธีที่จะทำให้ร่างกายนี้สามารถว่ายน้ำได้ก็เท่านั้น”

“เอ่อ สุดยอดเลยค่ะ”

“ธรรมดา ตอนนี้เราก็ได้วิธีว่ายน้ำมาราวๆสิบสไตล์แล้ว คงจะว่ายไปเอาหินเลืองแสงได้ไม่ยาก”

พูดจบดิลุคก็กระโดดลงไปในน้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอสามารถแหวกว่ายในแม่น้ำได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรตามที่พูด

“..”

ไม่นานก็ว่ายกลับมาพร้อมกับหินที่เลืองแสงสองก้อน

ดิลุคขึ้นจากแม่น้ำ และยื่นหินที่เลืองแสงอยู่ไปให้หนึ่งก้อน มันคือหินสีม่วง ส่วนหินที่ดิลุคถือไว้เป็นหินสีขาว

“ให้ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพ”

“..ขอบคุณค่ะ”

เมลเบลรับมาแบบงงๆ ดิลุคลงไปนั่งข้างๆเมลเบล และยังคงจ้องมองไปที่น้ำตกที่เลืองแสงอย่างสวยงาม

“เป็นครั้งแรกเลยนะที่เราได้ออกมาใช้ชีวิตโลกภายนอก”

“นั้นเหรอคะ?”

“อือ ปกติเราใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่ไร้ซึ่งผู้คนน่ะ แต่ก็สามารถมองเห็นผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่เบื้องล่างได้ พอเห็นทุกคนกำลังใช้ชีวิตอยู่ก็รู้สึกขึ้นมาว่าเราอาจจะเป็นคนเดียวที่อยู่ในโลกที่ต่างกับทุกคน ในขณะที่ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ เรากำลังทำอะไรอยู่นะ”

…ผู้สูงส่งที่ใช้ชีวิตแตกต่างกับทุกคน ..ในอาณาจักรแห่งนี้มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ

เมลเบลอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

“พวกเธอใช้ชีวิตอยู่ในโลกสีเขียว เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกสีขาว เราคิดอย่างนั้น จนกระทั่งได้ลองออกมาจากที่แห่งนั้นดูถึงได้รู้”

ดิลุคยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

“โลกใบนี้มีหลากสีสันต์นี่คือความจริงที่เราได้พบละ”

“..คิดอย่างไรกับโลกที่มีหลากสีใบนี้เหรอคะ?”

“น่าหลงใหล โลกใบนี้ช่างน่าหลงใหล น่าค้นหา เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด”

“ฉันคิดต่างออกไปนะคะ”

“นั้นเหรอ”

เมลเบลพยักหน้ารับ เธอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาของตัวเอง

“โลกใบนี้ จะมีความสุขได้ก็ต่อได้รับอนุญาติ จะทำบางสิ่งได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาติ ..พวกเราเป็นเพียงหุ่นเชิดของทวยเทพเท่านั้นค่ะ ฉันคงไม่สามารถหลงใหลโลกแบบนี้ได้ลงคอ ..คิดว่าคนที่มีความสุขได้ก็มีแค่พวกชนชั้นสูงเท่านั้น”

“นั่นคือมุมมองจากมนุษย์ชั้นต่ำสินะ”

“..แรงจังเลยนะคะ”

“ทั้งชั้นสูง ทั้งชั้นต่ำเอง ก็เรียกตัวเองว่าอย่างนั้นไม่ใช่หรือไง แต่ว่า โลกใบนี้นี่เพี้ยนไปแล้วจริงๆ” ดิลุคลุกขึ้นยืน และยื่นหินที่เลืองแสงขึ้นไปส่องสว่างบนท้องฟ้า “โลกใบนี้แสงสว่างที่แสนอ่อนโยน มีความมืดที่น่าหวาดกลัว มีชีวิตที่ดำเนินอยู่ต่างกันไปตามแต่ละคน ไม่ว่าจะมนุษย์เผ่าไหน ไม่ว่าจะเหล่าสรรพสัตว์ไม่ว่าจะบนน้ำบนบกหรือบนอากาศ ยังมีอื่นๆอีกมากมาย นี่แหละคือองค์ประกอบที่โลกใบนี้มี”

ดิลุคแสยะยิ้มอย่างนึกสนุก ดวงตาสีแดงส่องประกายอย่าบ้าคลั่ง

“โลกใบนี้ออกจะงดงามขนาดนี้แท้ๆ ไม่ใช่ความผิดของโลกนี้เลยด้วยซ้ำที่ทำให้เธอไม่สามารถมีความสุขได้ อะไรกันที่ทำให้เธอต้องขออณุญาติก่อน สิ่งใดกันที่หยึดเหนี่ยวเธอไว้จากโลกที่หลากสีสันต์ใบนี้ ทำไมเธอจึงเห็นโลกใบนี้เป็นโลกที่แสนน่าเบื่อหน่าย”

ทำไมเหรอ? ถึงจะคิดแต่ก็พูดออกมาไม่ได้

ดวงตาของดิลุคสะกดดวงตาของเมลเบลไว้ไม่ให้ละสายตาไปจากเธอ ทุกคำพูดต่อจากนี้จะสลักอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจอย่างแน่นอน

“เราปารถนาจะได้อิสระมาครองมากกว่านี้ อยากจะเห็นโลกที่ถูกเติมต็มด้วยสีสันต์ยิ่งกว่านี้ ไม่ใช่โลกที่ดำเนินไปอย่างไร้สีสันต์ ..เมลเบลเอ๋ย ถ้าหากเธอปารถนาจะเห็นโลกหลากสีสันต์ละก็—เราอาจจะพยายามทำให้เห็นก็ได้นะ”

ดวงตาของเมลเบลเบิกกว้าง …

ราวกับสัญลักษณ์ ใช่ ราวกับว่าเธอตรงหน้าคือสัญลักษณ์แห่งความอิสระ ความเป็นไปได้ที่ถูกผนึกเอาไว้ค่อยๆถูกทลายทั้งโลกใบนี้ และภายในจิตใจของเมลเบล ได้ถูกเธอตรงหน้ารุกล้ำเข้ามา

ในห้วงเวลานี้ เมลเบลไม่อาจละสายตาจากดิลุคได้เลย

…..

….

…..

รู้ตัวอีกทีทั้งสองก็ยืนอยู่ ณ หน้าทางเข้าพีระมิด

ดิลุคโบกมือลาเมลเบล เมลเบลยืนค้างและโบกมือกลับราวกับว่าวิญญาณได้หลุดไปจากร่าง เหมือนว่าเมลเบลจะอยู่ในสภาพคล้ายว่าโดนดิลุคร่ายมนต์สะกดใส่

“ถ้านั้นก็ไว้เราจะหนีออกจากบ้านอีกในอนาคต ถึงตอนนั้นก็ฝากด้วยนะ”

“…อ๊ะ ค่ะ”

เมลเบลพึ่งจะรู้สึกตัวตอนดิลุคพูดด้วย

“ไปดีมาดีนะคะ ว่าแต่บ้านที่ว่าเนี่ย”

“ที่นี่แหละ”

ดิลุคชี้ไปที่พีระมิด และเดินเข้าไปข้างในอย่างง่ายๆ

“…จะว่าไปก็ใช่สินะ”

เมลเบลหัวเราะแห้งๆ มองส่งดิลุคที่เดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของพีระมิด

 

****

ผมยืนมองดิลุคที่ขึ้นไป ณ พีระมิด และมองเมลเบลที่ยืนตาค้างอยู่เฉยๆ พอเห็นอะไรแบบนี้ต่อจากฉากจมน้ำสุดโง่บรมเข้า ผมก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

“นี่คือการเจอกันครั้งแรกของมหาบาปที่เก่าแก่ที่สุด และจอมมาร”

“เมลเบล ..หน้าตาอย่างนั้นคงจะเป็น ‘บิลเซบับ’ บาปแห่งความตะกละสินะ”

อานิม่าพยักหน้าตอบกลับ

“เมลเบลจะเปลี่ยนนามของตัวเองในอนาคตน่ะ เธอจะทิ้งชื่อเมลเบลไป และแบกรับชื่อในฐานะตัวแทนบาปอย่าง บิลเซบับ ที่บอกว่าเก่าแก่ที่สุดก็ไม่ใช่อะไร มันเป็นเพราะเมลเบลคนนี้ได้ขึ้นเป็นมหาบาปคนแรก ก่อนที่คนอื่นๆอีกหกคนจะได้เป็นตามกันมา”

เป็นทั้งเพื่อนคนแรกของจอมมาร แล้วก็เป็นทั้งมหาบาปคนแรก เป็นผู้อาวุโสสุดในกองทัพจอมมารเลยสินะ แต่ว่า..

“เท่าที่รู้ สถานะของบิลเซบับนี่ไม่ต่างกับตัวตลกในกลุ่มเลยนะ เป็นคนอ่อนแอไร้พลังที่โดนรังแกโดยแมมม่อนบ่อยๆ คนที่มาทีหลังก็ไม่ค่อยจะเคราพ พวกปีศาจระดับล่างๆก็เลือกจะรับใช้ลูซิเฟอร์ไม่ก็แมมม่อนกันมากกว่า เรียกได้ว่าความนิยมนี่ต่ำติดดินสุดๆ”

“เป็นเพราะเธอคือคนธรรมดาในหมู่ยอดมนุษย์ด้วยนั่นแหละ จุดนี้นับว่าน่าสงสารทีเดียว แต่สำหรับจอมมาร เธอคือคนธรรมดาที่ไม่สามารถหาใครมาแทนได้ ..เป็นเพื่อนแท้เพียงคนเดียวยังไงละ”

ผมพยักหน้ารับตามที่อานิม่ากล่าว 

“แล้วก็บิลเซบับไม่ได้ไร้พลังหรอกนะ ในอนาคตเธอจะกลืนกินเทียแมทด้วยความสามารถของตัวเองเข้าไป”

อันนั้นผมพอรู้อยู่ ในนิยายต้นฉบับเองก็มีตอนที่บิลเซบับกลืนกินเทียแมทเข้าไปอยู่ จากนั้นหล่อนก็อัญเชิญเทียแมทออกมาตบพวกยูจิจนเละ แต่ไม่นาน ยูจิก็ชนะได้โดยการลอบกัดบิลเซบับ ทำให้เทียแมทสลายไปเมื่อเจ้าของตาย

เป็นวิธีชนะที่แสนง่ายดาย ถึงบิลเซบับจะกลืนกินคนที่เก่งมากแค่ไหนเข้าไป แต่ผู้ควบคุมก็อ่อนแอเกินไป เพราะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้วิเศษอะไรด้วยอย่างที่อานิม่าพูด

“พูดถึงคนธรรมดา ‘แอสโมเดียส’ สภาพก็ไม่ต่างกับบิลเซบับเลยนะ”

หรือก็คือ ‘อันเดียอัส’ เมื่อสมัยอดีต

“ก็เป็นญาติกันนี่นะ”

เพราะเป็นญาติ สถานะจึงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ที่ได้เป็นมหาบาปนี่ไม่รู้ว่าจับฉลากมาหรืออย่างไร

“แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้จอมมารคิดทำลายโลกคืออะไร”

“บอกไว้ก่อนนะ ว่าจุดประสงค์แรกของจอมมารไม่ใช่การทำลายโลก แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโลกต่างหาก ..เหมือนกับคุณเรเซอร์ เธอตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ และก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ หลังจากที่เวียนว่ายตายเกิดก็ทำให้เข้าใจว่าวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนโลกได้ คือการทำลายโลก”

….แบบนี้นี่เอง

“ตั้งใจจะบอกว่าฉันเองก็คงมีจุดจบไม่ต่างกับจอมมารสินะ?”

“ไม่ได้ตั้งใจพูดถึงขนาดนั้นนะคะ แต่ถ้ามองที่เนื้อหาก็คงจะอย่างนั้น”

“สุดท้ายก็มีตัวเลือกให้คุณเรเซอร์แค่ หนึ่ง ทำลายโลกเหมือนจอมมาร หรือ สอง จะโอบกอดความสุขเล็กๆไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามอย่างที่ควรจะเป็น คิดว่าจอมมารตอนนี้ก็คงรอคุณเรเซอร์อยู่ รวมถึงว่าที่ภรรยาคนอื่นๆและคนในครอบครัวด้วย”

ผมข่มตาหลับลงอย่างสงบนิ่ง

สาม รีเซ็ตโลกใบนี้เพื่อหาตัวเลือกที่สี่ นั่นคือสิ่งที่ยูจิทำมาตลอด และทำไม่สำเร็จเพราะ สี่ อย่างเรนหรือไม่ก็ ..ห้า คนที่อยู่เบื้องหลังลึกไปกว่านั้น

ส่วนผมนั้นก็คงเป็น หก กระมัง?

“ก่อนอื่นนะ อานิม่า ฉันขอถามหน่อยว่าเธออยู่ฝ่ายไหน”

“..ฉันแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้มากที่สุด ไม่ได้คิดจะสู้กับจอมมาร หรือไม่เกี่ยวพันกับการต่อสู้ก่อนวันสิ้นโลกอะไรทั้งนั้น แล้วก็สังหรณ์ใจว่าน่าจะได้สู้กับเพื่อนเก่าแน่ๆค่ะ เลยขอผ่านดีกว่า”

“เลือก สอง สินะ”

“ค่ะ แต่ก็ไม่มีคนสำคัญให้คอยโอบกอดอยู่แล้วด้วย”

“จะให้ยืมแขนก็ได้นะ”

“เกรงใจค่ะ ให้ฉันกอดคุณเรเซอร์ในร่างของเธอคนนี้เห็นว่าจะไม่ดีเท่าไหร่”

ร่างที่เธอใช้อยู่ก็คือร่างของโซล่า

“นั่นสินะ ถ้านั้นก็ฉายภาพต่อไปเถอะ”

“เข้าใจแล้วค่ะ ต่อไปจะเป็นเรื่องราวของเมลเบลที่—โดนคลุมถุงชน และถูกช่วยโดยจอมมาร”

….

….

ให้เดาก็คงรู้กัน อย่างกับพล็อตไลท์โนเวลที่เขานิยมกันในช่วงหนึ่ง

อานิม่าในร่างโซล่าเห็นผมทำหน้าบึ้งแปลกๆก็ยิ้มกรุ่มกริ่มขึ้นมา

“รู้สึกหึงจอมมารขึ้นมาเหรอคะ?”

“ก็–นิดหน่อย”

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset