< < 152 Sec1 > >
“แขนท่านดิลุคแหวะเลย! ทำยังไงดี!?”
“ทำเอานึกถึงกระดูกหมูเนื้อเปื่อยเลยนะครับ แค่มีน้ำสีแดงเยิ้มๆแทนน้ำสมุนไพร ..อะ รู้สึกจะอ้วกขึ้นมาเฉยเลยครับพี่”
ดิลุคหรี่ตามองสองคนที่เอาแต่โวยวายตั้งแต่เมื่อครู่
เมลเบลเอาแต่โวยวายแล้วทำอะไรไม่ถูก อันเดียอัสก็เอาแต่บ่นอะไรไร้สาระที่ทำให้สภาพตัวเองย่ำแย่ขึ้นไปเรื่อย สภาพดูจะแตกตื่นกันมากกว่าเจ้าตัวที่โดนกระทำอย่างดิลุคมากโข รวมถึงมากกว่าผู้กระทำดิลุคอย่างเด็กหนุ่มเผ่าอสูร ‘แมมม่อน’ ด้วย
ตั้งแต่ที่ออกมาจากถ้ำแล้วเดินมานับชั่วโมงได้แล้ว แมมม่อนก็เอาแต่เดินตามมาแบบเงียบๆแล้วก็อยู่ไม่ห่างดิลุคเลย
“ว่าแต่กระดูกหมูเปื่อยสินะ ทำเอาเราหิวเลย”
“ถามจริงเถอะครับ อีแบบนี้ยังจะไปหิวลง”
“สมกับเป็นท่านดิลุค อาหารดีๆที่กินมาทุกวันไม่ได้ทำให้หัวสูงเลยแม้แต่น้อย”
“จะนับว่าที่พูดมาเป็นคำชมนะ พวกเสียมารยาท แล้วเธอหิวหรือยังล่ะ แมม่อน”
เมื่อถูกถาม แมมม่อนก็พยักหน้าตอบ
“เวลาหิว ให้พูดว่า ‘หิวแล้ว ไปเอาอาหารมาซะ’ นะ”
“ ‘หิวแล้ว มีอะไรกินบ้างเหรอเปล่า’ ต่างหากค่ะ ท่านดิลุคอย่าสอนอะไรไม่ดีให้เด็กสิค่ะ”
เมลเบลรีบเข้ามาแก้ต่างดิลุคที่สอนคำพูดไม่ดีให้เด็ก แมมม่อนพยักหน้าตามที่ทั้งสองคนบอก
“หิวแล้ว มีอะไรให้กินบ้าง ไปเอาอาหารมาซะ เหรอเปล่า”
“เหรอเปล่า? ก็ผสมกันลงตัวอยู่หรอก แต่จะพูดแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
อันเดียอัสลงไปนั่งยองตรงหน้าแมม่อน และทำการสอน
“คนเราน่ะนะ ต้องสุภาพเข้าไว้เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหากับใครเข้า เพราะนั้นนะ พูดตามผมนะ ‘หิวแล้ว มีอะไรกินบ้างหรือเปล่า’ ”
“หิวแล้ว มีอะไรให้กินบ้าง ไปเอาอาหารมาซะ เหรอเปล่า”
“เอ่อ หิวแล้ว มีอะไรกินบ้างหรือเปล่—อ๊ากกก!!!! อะไรฟร้ะเนี่ย อยู่ๆก็เข้ามากัดนิ้วผม ไม่นะ ไม่นะ นิ้วผมกลายเป็นกระดูกหมูแบบท่านดิลุคแน่ๆเลย!”
พอโดนเซ้าซี้เข้าแมมม่อนก็เกิดความรำคาญและใช้สัญชาตญาณสัตว์ป่าเข้าไปงับนิ้วอันเดียอัสจนร้องลั่น แน่นอนว่าไม่ได้ออกแรงมากระดับกัดจนแขนเละอย่างที่ดิลุคโดน
“ไม่นะ!! ไม่นะ!!”
“เพราะเอาแต่สอนอะไรยากๆ ซ้ำซ้อน แก้ไปมานั่นแหละ แมมม่อนเลยอารมณ์เสียเข้า”
“ถ้าท่านดิลุคไม่สอนอะไรแปลกๆมันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกครับ–อ๊ะ ขอบคุณที่ปล่อยปากนะ ขอบใจๆ”
แมมม่อนยืนจ้องดิลุคแบบไม่พูดไม่จา ดิลุคหยิบอะไรบางอย่างจากกระเป๋าออกมา มันคือแอปเปิ้ลสีแดงที่ดูน่ากิน
“ให้”
“..”
“เวลาแบบนี้ ต้องพูดว่า ‘ขอบคุณ’”
“..ชอบคุณ”
“ขอบคุณต่างหาก ‘ชอบคุณ’ เป็นคำใช้บอกรักอีกฝ่ายนะ”
แมมม่อนกระพริบตาปริบๆ และโพล่งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“ชอบคุณ”
“พูดผิด?”
แมมม่อนส่ายหัวตอบด้วยท่าทางดุกดิก เพราะขนาดตัวที่เล็ก
“วะ หวา นี่มันเจอกันแปปเดียวก็บอกรักกันแล้ว”
“แมมม่อน เล็งของสูงเกินไปแล้วครับ”
ดิลุคจ้องหน้าแมมม่อนอยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มตอบ
“อือ ขอบใจสำหรับความรู้สึก แต่เรายังเข้าไม่ถึงเรื่องพวกนี้น่ะ ไว้ในอนาคตมาบอกใหม่แล้วเราจะพิจารณาโดยดี แน่นอนว่าจะไปบอกกับคนอื่นก็ได้ในอนาคต เพราะเราไม่ได้รู้สึกหึงหวงอะไร เพราะยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ และเพราะเป็นอย่างนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเวลานี้ การที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรก็แปลว่า–เราไม่ได้มีความรู้สึกโรแมนติกกับเธอเลย”
กล่าวคือไม่ได้ตัดโอกาสเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ได้รับประกันอะไร
“แล้วเธอตอนนี้ก็คงไม่ได้เข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่ เช่นเดียวกับเรา แต่รู้ไว้ด้วยนะว่ามันไม่ใช่คำที่ใช้พูดเล่น และก่อนอื่น พูด ‘ขอบคุณ’ มาก่อน แล้วจะให้แอปเปิ้ลนี่”
แมมม่อนทำท่าจะหยิบแย่งจากมือ แต่ดิลุคก็ขยับมือหนีไปทางอื่น ทำให้แมมม่อนไม่มีทางเลือกอื่น
“ขอบคุณ”
“ดีมาก”
แมมม่อนกัดแอปเปิ้ลหนึ่งคำ เมื่อพบว่ามันอร่อยก็กัดอีกครั้ง และอีกครั้งอย่างมูมมาม
****
หนึ่งเดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก
ฤดูกาลได้ผลัดเปลี่ยน สถานที่ที่ยืนอยู่ได้เปลี่ยนไปเรื่อยๆในทุกๆวัน ชีวิตประหนึ่งนักพเนจร? เรียกเช่นนี้อาจดูดีไปด้วยซ้ำ เพราะทุกคนล้วนเป็นบุคคลทำผิดกฏอย่างร้ายแรง อย่างไรก็ตามวิถีชีวิตอย่างนี้ก็ดำเนินมาได้ถึงหนึ่งเดือนแล้ว
เมลเบล ตระหนักได้ถึงเรื่องนั้นในวันธรรมดาๆที่เห็นดิลุคกำลังสอนภาษาให้กับแมมม่อน โดยที่เธอนั่งมองเนื้อสัตว์ที่กำลังย่างอยู่หน้ากองไฟ แล้วก็เหมือนว่าอันเดียอัสจะออกไปหาวัตถุดิบทำอาหารส่วนของวันถัดๆไปอยู่
ตอนนี้ที่บ้านเกิดจะเป็นยังไงบ้างนะ พ่อของเธอจะโดนทำโทษอย่างไรบ้าง ผู้คนจะพูดถึงพวกเธออย่างไรบ้าง การหายตัวไปของดิลุคนั้นเป็นอย่างไรบ้าง-เมลเบลสงสัยในหลายๆเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ตะหงิดใจมากมายอะไร ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรเลย สภาพของเธอเวลานี้บ่งบอกถึงความพึงพอใจในใจได้ดีทีเดียว
บางที ที่นี่อาจจะเป็นสถานที่ที่เธอควรอยู่มากกว่าที่แห่งนั้น ..ชีวิตที่เป็นอิสระ อาศัยอยู่ตามเขาบ้าง แม่น้ำบ้าง ในถ้ำบ้าง หรือไม่ก็ไปขอเขาอาศัยอยู่คืนหนึ่ง โรงแรมแต่ละเมืองเอย หลายๆอย่าง กล่าวได้ว่าในแต่ละวันที่เธอต้องเจอล้วนมีรสชาติที่ต่างกันออกไป
ตอนนี้เธอชินกับการที่ต้องหาวัตถุดิบอาหารแล้ว รู้แหล่ง รู้ธรรมชาติ รู้วิธีการ เวลาหนึ่งเดือนนี้ผ่านมาอย่างมีค่า ที่เธอรู้และทำได้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่ง–หมายถึงทั้งหมด เป็นเพราะดิลุคนั่นแหละ
ดิลุคเหมือนกับทุกวันเมื่อหนึ่งเดือนก่อน กระทั่งแขนที่ใช้การไม่ได้ข้างหนึ่งก็ยังเหมือนเดิม แต่ผิวหนังที่ถูกทำลายไปก็ฟื้นกลับมาแล้ว
“เก่งมาก วันนี้ทำได้ดีเอาแอปเปิ้ลไปหนึ่งลูกนะ”
“ขอบคุณ”
ดิลุคสอนภาษาให้แมมม่อน ไม่รู้ทำไม แต่กลยุทธ์ที่ใช้สอนมันดูคล้ายการสอนสุนัขพิลึก
เมื่อสอนเสร็จแล้วดิลุคก็ลุกขึ้นเดินมาหาเมลเบลพร้อมกับแมมม่อนที่ตัวติดเธอตลอด
“เป็นยังไงบ้าง”
“ก็เรื่อยๆดีค่ะ ชีวิตตอนนี้”
“หมายถึงอาหาร”
“อะ อ๋อ เอ่อ เสร็จแล้วค่ะ”
เมลเบลหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะหยิบใบไม้ขึ้นมารองเนื้อที่ย่างไว้ให้ดิลุคกับแมมม่อน
“เชิญค่ะ อ๊ะ แมมม่อน ขอบคุณก่อนด้วย”
“…”
แมมม่อนไม่ตอบอะไร เมลเบลทนสายตานั้นไม่ไหวก็ยื่นให้อยู่ดี
“ทำไมฟังแต่ท่านดิลุคกันนะ”
“เพราะเชื่องน่ะ”
“ไม่ใช่หมานะคะ ท่านดิลุค”
ดิลุคลงมานั่งข้างๆเมลเบล และกินเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อย แมมม่อนวางไว้ข้างๆตัวยังไม่คิดจะกิน เหมือนว่าในระยะหลังๆนี้ เจ้าตัวจะชอบให้ดิลุคกินอาหารให้หมดก่อนแล้วตัวเองค่อยกินต่อ
ไม่รู้ว่าทำไปทำไม แต่อาจเป็นสัญชาตญาณแปลกๆในตัว
“กลับมาแล้วคร้าบ”
“มีอะไรเอามาให้หมด”
“เดี่ยวสิแมมม่อน พูดแบบนี้ได้ยังไงกันคะ!?”
“ดิลุคสอนมา บอกว่าเวลามีคนถือของอะไรเยอะๆให้พูดอย่างนี้”
“ท่านดิลุค!”
ดิลุคยังคงกินเนื้อต่อแบบไม่สนไม่แคร์อะไร
“โทษทีนะ แมมม่อน เราสอนผิดไปหน่อยนึงน่ะ จริงๆไม่ควรพูดอย่างนั้นเพราะมันไม่สุภาพ วิธีพูดอย่างนั้นใช้ปล้นคน”
“เข้าใจแล้ว อันเดียอัส มีอะไรเอามาให้หมด”
“นี่กะปล้นผมจริงๆสินะครับ อ่า เชิญเลยครับ”
ถึงจะโวยวายแต่ก็ยื่นของทุกอย่างไปให้แต่โดยดี แมมม่อนรับทั้งหมดมาและเอาไปแยกประเภทในถุงใส่ของต่างๆ แล้วก็มีตรวจเช็คสภาพวัตถุดิบด้วย
“ฉลาดจริงๆนะครับ เรียนรู้แค่นิดเดียวก็ทำทุกอย่างได้แล้ว ทำเอาไม่อยากเชื่อเลยว่าก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตไม่ต่างกับพวกสัตว์นักล่าในป่า”
อันเดียอัสเดินไปจะหยิบเนื้อย่าง แต่ก็พบว่าไม่มีเนื้อย่างของตัวเองอยู่จึงชำเลืองมามองเห็นว่าเนื้อย่างส่วนของตัวเองนั้นอยู่ในจานของแมมม่อน
“ถึงจะค่อนข้างโลภมาก แต่ก็ทำอะไรแบบซื่อๆดีนะครับ”
อันเดียอัสพูดอย่างตัดพ้อก่อนหยิบเนื้อของตัวเองกลับคืนสู่จาน และนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย
ดิลุคมองออกไปข้างนอกที่เปลี่ยนจากทะเลทรายมาเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวขจี
“ในที่สุดก็มาถึงพื้นที่ที่อยากมาสักที”
“..”
“มีอะไรรึ? เห็นจ้องเสีย”
“คิดว่าท่านดิลุคเดินมั่วซะอีกค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นดิลุคก็หัวเราะพึมพำขึ้นมา
“การเดินทางมั่วเป็นหนทางสู่ความตายนะ ดีไม่ดีอาจจะเอาตัวเองไปติดในที่ที่หาอาหารไม่ได้ แล้วสภาพแวดล้อมก็แย่อีก แค่นั้นไม่พอ อาจจะเผอิญไปเจอสัตว์ดุร้ายแสนน่ากลัวที่มีพลังมากพอจะกัดพวกเราให้ตายคาปากได้ในทีเดียวด้วย”
เมลเบลถึงกับหน้าซีดพอได้ยินอย่างนั้น
“ที่เราแวะเมืองต่างๆก็เพื่อศึกษาข้อมูลการเดินทางแล้วสภาพแวดล้อมในแต่ละที่ จะได้ไม่พลาดเอา”
“แม้แต่ท่านดิลุคก็ยังต้องศึกษาข้อมูลสินะคะ”
“ใช่สิ ต่อให้ปราดเปรื่องแค่ไหน อาจไม่ตาย แต่ก็คงลำบากมากถึงมากเชียว”
คนๆนี้รู้ว่าตัวเองหัวดีด้วยละ
“เราคนเดียวยังพอว่า แต่มีพวกเธออยู่ด้วยก็ต้องใช้ชีวิตให้ระวังหน่อย เพราะเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนดั่งพี่ชาย”
“พี่ชาย ..ท่านแอสทอเรียสที่อยู่ทิศเหนือของโลกหรือคะ?”
“อือ”
“เขาแข็งแกร่งถึงขนาดที่ท่านดิลุคยอมรับเลยเหรอคะ”
ดิลุคหรี่ตามองกองเพลิง ก่อนตอบ
“ใช่สิ เป็นคนประเภทที่ว่าถ้าหากว่ายน้ำไม่เป็นก็จะเผาแม่น้ำให้มอดจนไม่เหลือน้ำ จะได้ไม่จม”
“..ดูพิลึกไม่ต่างกับท่านดิลุคเลย”
“ก็พี่น้อง–จะว่าไป เธอรู้จัก ‘มังกรน้ำ’ รึเปล่า”
“รู้จักสิค่ะ เป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงในหมู่มนุษย์เดินบนดินชั้นต่ำเชียวนะคะ”
“อือ วันนี้พวกเราจะไปที่อยู่ของเผ่ามังกรน้ำกัน”
เอ๋?
ดิลุคชี้ไปที่แขนที่ใช้งานไม่ได้ของตัวเอง
“จะให้เผ่าพันธุ์ที่เด่นด้านเวทมนตร์อย่างมังกรน้ำ ช่วยดูแขนให้เราน่ะ ถึงจะใช้ชีวิตแบบนี้จนชินแล้ว แต่เราก็อยากได้แขนอีกข้างมาทำหลายๆอย่างด้วย”
“ค่ะ เข้าใจแล้ว ต้องเตรียมตัวออกเดินทางสินะคะ เป็นทริปเดินทางไกลด้วยสิ”
“ไม่ไกลหรอก อยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันก็ได้”
ได้ยืนอย่างนั้นเมลเบลก็เอียงคอฉงน
“แต่ว่า หมู่บ้านของเผ่ามังกรน้ำอยู่ไกลจากที่นี่ไปอีกนะคะ”
“ที่จะไปหาเป็นมังกรน้ำหลงฝูงที่ไม่มีใครเอาต่างหาก”
….
“เมื่อวานลองสำรวจดูแล้ว น่าจะอยู่แถวๆนี้นั่นแหละ ตรงตามข่าวที่เราหาได้ในเมืองเลยละ”
วางแผนการเดินทางแล้วก็จุดประสงค์ไว้แล้วนี่เอง
“ตามข่าวลือ เขาว่ากันว่านี่คือมังกรน้ำนิสัยไม่ดี อาจจะเกิดการปะทะหน่อยด้วย”
“….”
“….”
“..บอกก่อนว่าผมไม่สู้นะครับ”
เผ่ามังกรน้ำ หนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังเผ่าหนึ่งบนโลก เป็นมังกร มังกรที่แยกย่อยมาจากเทพมังกร ตัวตนระดับนั้นกับมนุษย์ร่างกายทั่วๆไปสามคนมันจะไปไหวได้อย่างไร
“ไม่จำเป็นต้องกลัว เราไม่ได้คาดหวังกับเผ่ามนุษย์อย่างอันเดียอัสอยู่แล้ว”
“เอ่อ ช่วยคาดหวังหน่อยเถอะครับ”
ดิลุคทำเมินที่อันเดียสอัสพูด และส่งสายตาไปที่แมมม่อนผู้ซึ่งกำลังแอบกินเนื้อย่างของอันเดียอัส ทุกสายตาจับจ้องไปที่แมมม่อน
“มีเผ่าอสูรอยู่ด้วยเชียวนะ”
พูดจบดิลุคก็เดินไปอุ้มแมมม่อนโชว์ขึ้นฟ้า ในขณะที่ในมือแมมม่อนถือเนื้อของตัวเอง ในปากคาบเนื้อของอันเดียอัส
“ถ้าอีกฝ่ายไม่ฟังจะทุบหัวสักสองสามทีให้ฟังเอง นี่แหละแผนที่วางไว้”
ดิลุคกล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูน่ากลัว
เมลเบลจ้องมองดิลุค พลางคิดในใจว่า ..สมกับเป็นคนๆนี้ดี