< < 158 > >
“จากนั้นลิเวียธานกับอังเฟกอร์ก็ได้เข้าต่อสู้กับซาตานอย่างขี้ขลาด แล้วก็–ทำให้แผนการณ์สำเร็จในที่สุด โดยการถ่วงเวลาถึงห้านาทีเต็มๆ”
ตรงหน้าผม เทพแห่งจิตวิญญาณ ‘อานิม่า’ ได้เล่าการต่อสู้ภายในหอคอยให้ฟังพร้อมกับภาพพื้นหลังซึ่งเป็นภาพย้อนเหตุการณ์ ณ เวลานั้น
‘เปลวเพลิงสีขาว’ ได้แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะตัวหอคอยหรือกระทั่งพลังของซาตาน ทั้งหมดล้วนถูกเผาจนสิ้น
ผมยืนมองเปลวเพลิงสีขาวอย่างครุ่นคิด
“เหมือนกับเพลิงสีทองของฉัน นั่นคือเพลิงสีขาวของดิลุค ..”
“เรเซอร์น่ะคงจะคิดว่าเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือเพลิงแห่งการฟื้นฟูที่ไม่มีวันดับ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็จะลุกขึ้นมาได้เสมอๆด้วยเปลวเพลิงที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ศัตรูจะต้องเผชิญกับเรเซอร์ที่ไม่มีวันยอมแพ้ แต่ว่าของจอมมารนั้นแตกต่างกัน”
อานิม่าในร่างของโซล่าโพล่งขึ้น
“เพลิงของจอมมารมีไว้เพื่อบดขยี้ทุกสิ่ง มันไม่ใช่เพลิงที่ไม่มีวันดับ แต่เป็นเพลิงที่จะทำลายได้ทุกสิ่ง ในช่วงแรกเพลิงนี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อโค่นซาตานอย่างเดียวก็จริง แต่ไม่นานมันก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของจอมมารแทน คู่กับ ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ ”
….
“แต่ว่านะ อานิม่า พอได้มองดูเรื่องราวทั้งหมดแล้ว อะไรกันที่เป็นจุดแตกหักกันแน่ ที่เห็นก็แค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเพื่อใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นไม่ใช่หรือไง ถึงอย่างนั้นทวยเทพก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวเกินไป กลุ่มดิลุคที่ออกเดินทางก็ไม่ได้ถูกพวกทวยเทพมาตามล่าสักหน่อย ..อีกอย่าง ทวยเทพทั้งหมดเห็นด้วยกับแผนการณ์ของเทพตนหนึ่ง นั่นหมายความว่าเธอเองก็มีส่วนร่วมในการสร้างซาตานขึ้นมาด้วยสินะ”
“ใช่ค่ะ แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันมีเหตุผลสำคัญของพวกเราอยู่”
ของพวกเรา?
“มันคือการคืนชีพ ‘พระเจ้าสูงสุด’ ขึ้นมาค่ะ”
ผมพยักหน้ารับตามที่อานิม่าพูด
“แบบนี้นี่เอง แล้วเธอไม่คิดจะคืนชีพท่านพระเจ้าสูงสุดคนนั้นแล้วหรือไง”
ว่าไปให้นัดตามสถานะ ผมก็คือลูกเขยของเขากระมัง?
“พอจะเข้าใจโลกที่จอมมารคนนั้นปารถนา แล้วก็เหตุผลที่พระเจ้าสูงสุดหายไปแล้วค่ะ ทำให้ถึงจะอยากแต่ก็ไม่จำเป็นต้องคืนชีพแล้วก็ได้ ..ประมาณว่ายังไงก็ได้แล้วค่ะเรื่องนั้น ฉันเลยไม่เข้าร่วมกับทวยเทพคนอื่นที่อยากจะคืนชีพให้พระเจ้าสูงสุดค่ะ’
…
“แล้วก็เรื่องการคืนชีพของพระเจ้าสูงสุดจะไปเกี่ยวข้องกับจุดแตกหักของจอมมารแล้วก็ทวยเทพ ซึ่งเป็นเรื่องราวต่อจากนี้”
“หลังจบเรื่องของซาตานกับหอคอยนี่สินะ?”
“ค่ะ แต่ก็สักพักใหญ่เลย”
อานิม่าดีดนิ้วทำลายภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้นทั้งหมด และกำลังสร้างภาพมายาบทต่อไปขึ้นมาใหม่
“หลังจบเหตุการณ์นี้ ซาตานและอังเฟกอร์จะถูกรับเข้ามาดูแลในกลุ่มของจอมมาร ลิเวียธานเองก็เนียนเกาะกลุ่มอยู่ด้วยต่อๆไป ซาตานใช้เวลาไม่นานในการเข้าหาทุกคน แต่อังเฟกอร์นั้นมีปัญหาเรื่องความขี้เกียจขั้นสุด แน่นอนว่ามีอีกหลายๆอย่างแยกย่อยในแต่ละวัน แต่ว่า–ทุกอย่างก็ไปได้สวยค่ะ เรื่องราวของทั้งหกปีศาจมหาบาป แล้วก็จอมมาร ..จนกระทั่ง”
ภาพมายาได้ปรากฏให้เห็นดิลุคที่ยืนอยู่บนสรวงสวรรค์ เธอชำเลืองมองไปทั่วทั้งห้องสีขาวที่มีบังลังค์อยู่ และบังลังค์นั้นก็มีชายคนหนึ่งนั่งพร้อมกับบริวารผู้มีปีกสีขาวและใบหน้าที่หล่อเหลา
“วันหนึ่ง ‘ออโรโบรอส’ เทพแห่งวัฐจักรได้พูดคุยแลกเปลี่ยนหลายๆเรื่องกับดิลุค จุดประสงค์ของเขา ความจริงของการหายตัวไปของพระเจ้าสูงสุด แล้วก็เหตุผลที่เขาสร้างมนุษย์ขึ้นมา การพูดคุยดำเนินไปเพียงไม่นาน”
…
“ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น สงครามก็ได้เริ่มขึ้น ดิลุคเป็นคนจู่โจมก่อน ทูตสวรรค์อาซาเซลเอาตัวมาป้องกันการโจมตีของดิลุคเอาไว้ ปีกของเขาถูกทำลายจนเละ เพลิงสีขาวลอดผ่านปีกเข้าไปทำลายออโรโบรอสจนเกือบจะตาย แต่ทูตสวรรค์ทั้งหมดก็เข้ามาช่วยได้ทัน ดิลุคถูกตามล่าโดยทูตสวรรค์และทวยเทพ ในศึกแรกนั้นเกิดหลายอย่างขึ้น มันเป็นศึกที่กินเวลากว่าสามวันกว่าที่มันจะจบ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นตลอดการต่อสู้ จู่ๆก็มีคนทรยศ จู่ๆนักโทษสวรรค์ก็ถูกปล่อยตัวออกมาเข้าฝ่ายดิลุค”
อานิม่านับเลขด้วยนิ้วมือ
“หนึ่ง-ทูตสวรรค์อาซาเซลถูกฆ่าตายในสงคราม สอง-ทูตสวรรค์ลูซิเฟอร์แปรพักตร์มาเข้าฝ่ายจอมมาร สาม-ดิลุคเป็นคนเดียวที่สังหารทวยเทพได้ ความจริงข้อนี้ทำให้ทวยเทพที่อยู่ใกล้ที่สุด ณ เวลานั้นทุ่มสุดตัวในการสังหารเธอ สี่-เทพมังกรได้พ่ายแพ้ต่อจอมมาร ทูตสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดตายหนึ่งตน ทรยศหนึ่งตน ห้า-ในที่สุดโลกก็ได้เกิดมหาสงครามขึ้นจากการพูดคุยครั้งนั้น”
การพูดคุยเพียงครั้งเดียว เป็นเหตุสู่การสูญเสียอันมากมาย ในโลกเก่าของผมก็มีเรื่องจำพวกนี้อยู่เหมือนกัน ในฐานะหน้าประวัติศาสตร์ที่บันทึกข้อผิดพลาดของมนุษย์เอาไว้
“ผู้ชนะ?”
“แม้แต่ตอนนี้ก็ยังหาตัวผู้ชนะไม่ได้ค่ะ เพราะมันคือสงครามที่ยังไม่จบ–จอมมารจะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ พี่ชายของจอมมารจะโค่นจอมมารในฐานะผู้กล้าในทุกๆครั้ง ราวกับว่ามันคือวัฐจักรของโลก การต่อสู้กับจอมมารจะเป็นเหมือนดั่งการเปลี่ยนของยุคสมัย ซึ่งมันมีมากกว่าในหน้าประวัติศาสตร์ตอนนี้มากโขเลยค่ะ บางทีแสนหรือล้านปี ไม่สิ อาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ”
…
“แต่ก็–คิดว่าตอนนี้คงใกล้ได้ตัวผู้ชนะแล้วค่ะ”
“…”
“เทพแห่งวัฐจักรได้สร้างผู้ที่จะโค่นจอมมารคนใหม่ขึ้นมา แทนหน้าที่ของบุตรแห่งพระเจ้าแอสทอเรียส ผู้ที่ถูกสร้างขึ้นนั้นเป็นผู้ที่มีพลังของแอสทอเรียสอยู่ในสายเลือด รวมถึงมีพลังแห่งเทพอยู่ในตัว”
คนๆนั้นก็คือ?
“คุณเรเซอร์น่าจะรู้จักดีกว่าใคร ผู้ที่จะนำชัยชนะมาให้แก่ทวยเทพก็คือ ‘ยูจิ’ ค่ะ”
มนุษย์ผู้ถูกสร้างมาอย่างปราณีตที่สุดก็คือยูจิ สายเลือดของบุตรแห่งพระเจ้าที่แท้จริง พลังแห่งเทพในตัวเอง การพัฒนาที่ไร้ขีดจำกัดในฐานะมนุษย์ นั่นคือสิ่งที่ยูจิถือครองอยู่
เหมือนกับบทสุรปในนิยายต้นฉบับที่ยูจิโค่นจอมมารลงได้ แต่แตกต่างกันในเชิงลึกที่ว่ามันไม่ใช่การกอบกู้โลก หากแต่เป็นการชี้ตัวเลือกผู้ชนะในสงคราม
แต่ว่า .. โลกใบนี้ถูกรีเช็ต สงครามเลยยังไม่จบ มันยังคงดำเนินต่อไป ทวยเทพจะชนะทุกครั้ง จอมมารจะพ่ายแพ้ทุกครั้ง และทุกอย่างก็จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เป็นผลลัพธ์เดิมๆที่ไม่มีวันจบ แบบนั้นจึงไม่อาจเรียกว่าสงครามจบได้
ตัวแปรอะไรที่ทำให้สงครามไม่จบ–คงจะเป็น ‘เรน’ การกระทำของเรนก็คงจะขัดกับเป้าหมายของทวยเทพเช่นกัน ทำให้ทุกอย่างพังพินาศ และยูจิที่ถูกทวยเทพสวมเขาก็ต้องย้อนเรื่องราวทุกอย่างมาเพื่อแก้ไข เพื่อโลกของตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าที่ทำไม่ใช่เพื่อโลก แต่เพื่อทวยเทพ
ไม่สิ บอกว่าทวยเทพมันคงดูเหมารวมไปหน่อย ในปัจจุบันนี้ เทพที่สู้กับจอมมารและเรนอยู่ก็มีแค่คนเดียว
“นอกจากเรนแล้ว ลาสบอสของฉันก็คือ ‘ออโรโบรอส’ สินะ”
ว่าอีกอย่างก็คือ ‘ยูจิ’
เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะเยาะยังไงไม่รู้ที่พระเอกของเรื่องราวกลับกลายมาเป็นลาสบอสสำหรับตัวผมเนี่ย
“แล้วอะไรที่ทำให้ดิลุคกับออโรโบรอสต้องต่อสู้กันล่ะ?”
“อย่างที่บอกว่าทวยเทพ โดยเฉพาะออโรโบรอสเขาปารถนาจะคืนชีพพระเจ้าสูงสุด การสร้างซาตานหรืออย่างอื่นมากมายก็เกิดมาจากการทดลองโดยหวังว่ามันจะมีวิธีคืนชีพพระเจ้าสูงสุด และในที่สุดออโรโบรอสก็ได้ค้นพบวิธีคืนชีพที่เป็นไปได้มากที่สุด—นั่นคือการสังเวยมนุษย์ทุกคนบนโลกเพื่อคืนชีพพระเจ้าสูงสุดค่ะ”
…
“จอมมารที่รักมนุษย์ยิ่งกว่าใครๆย่อมไม่เห็นด้วย ออโรโบรอสที่รักพระเจ้าสูงสุดยิ่งกว่าใครๆเองก็ไม่มีทางยอม–จุดเริ่มต้นของมหาสงครามที่ไร้ซึ่งตอนจบนั้นเกิดมาจากความรักที่ทั้งสองมีให้ต่อสิ่งหนึ่งค่ะ”
แม้จะเป็นบุตรแห่งพระเจ้าหรือว่าเทพผู้สูงส่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ต่างกับมนุษย์ทั่วไปเลยสักคนเดียว
“ชีวิตทั้งหมดคือพลังงานของพวกเรา เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานเท่านั้น ไม่ได้ขอให้มีจิตใจ ไม่ได้ขอให้ใช้ชีวิต เหตุใดกันถึงต้องไปสนใจและใส่ใจเครื่องมือที่สร้างขึ้นโดยน้ำแรงของตัวเอง” อานิม่าพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขัดกับเนื้อหา “..พวกเขามีชีวิตไม่ต่างกับพวกเรา การที่ชีวิตนับล้านจะต้องถูกสังเวยเพื่อคนๆเดียวนั้นมันไม่ถูกต้อง แล้วมันก็ไม่ใช่การกระทำที่จะมีใครมายอมรับด้วย นายอาจจะมองว่าพวกเขาเป็นเพียงเครื่องมือ แต่เราไม่ใช่ มารดาของเราเหรอ? เราเองก็ไม่ได้ขอให้เธอคนนั้นให้กำเนิดเรา แต่ในเมื่อเรากำเนิดมาแล้ว เราก็คิดจะมีจิตสำนึกของตัวเองไม่ได้นั้นรึไง”
อานิม่าพูดเลียนแบบมุมมองที่ต่างกันของออโรโบรอสและดิลุค แน่นอน ออโรโบรอสไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ทุกชีวิตคือตัวตนที่เกิดจากพลังของเขา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังที่โดยสามัญสำนึกแล้วจะทำอะไรก็ได้ เหมือนกับบอลเพลิงที่ผมเสกมา ถ้ามันดับหายไป ผมจำเป็นต้องเห็นใจด้วยเหรอ?
แต่พวกเขามีจิตใจ เพราะเป็นมนุษย์ ดิลุคเลยไม่อาจยอมรับได้กับการสังเวยที่มหาศาลนี้ ซึ่งก็ไม่แปลกเลย เพราะเธอได้รู้จักกับผู้คนมากมายผ่านการเดินทาง มีเพื่อนพ้องอยู่หลายคนในแต่ละพื้นที่ กับมารดาที่ไม่เคยพบหน้า และมนุษย์ที่เปรียบได้ดั่งเพื่อนของตัวเอง ไม่มีทางที่เธอจะยอมทิ้งไปง่ายๆแน่นอน ถ้าวันหนึ่งคนสำคัญของผมจะต้องหายไปโดยที่เขาไม่ได้อยากหายไป ผมก็คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าผมจะยอม
การต่อสู้ดำเนินต่อไป ทั้งสองฝ่ายก็เกิดความเปลี่ยนแปลง รวมถึงแผนการณ์ที่เปลี่ยนไปมากมายตลอดหลายแสนหลายล้านปี
ฝั่งออโรโบรอสผมยังไม่รู้อะไรมาก แต่ดิลุค ..เธอตั้งใจจะทำลายล้างโลกและสร้างโลกใบใหม่คิดมา
แบบนั้นน่ะ–มันจะต่างอะไรกับออโรโบรอสที่เธอกำลังต่อสู้อยู่กัน?
สุดท้ายคนบนโลกนี้ที่มีหลายล้าน ที่พูดคุยกันในทุกๆวัน ที่ใช้ชีวิตอยู่ก็ต้องถูกทำลายล้างอยู่ดีนี่? แม้ว่าโลกใบใหม่มันจะเป็นการเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบ ปราศจากจุดจบที่ไม่สมควรที่ออโรโบรอสยื่นให้ แต่ว่าคนก่อนหน้านั้นที่อยู่บนโลกล่ะ? ..ให้พูดก็คือ–แปลกเป็นบ้า
“การต่อสู้กินเวลามานานแสนนาน จอมมารได้พบกับความเจ็บปวดมากมาย สุดท้ายเธอก็ได้ตัดสินใจใช้วิธีแปลกๆอย่างที่คุณเรเซอร์เองก็น่าจะคิดเหมือนกันว่ามันเพี้ยนไปแล้ว”
อานิม่าพูดขึ้นราวกับอ่านใจผมได้
“เหตุผลที่ทำให้จอมมารตัดสินใจอย่างนี้ก็คือความสิ้นหวังในจิตใจ เธอรู้ขีดจำกัดของตัวเองดีจากการต่อสู้ตลอดหลายปี สุดท้ายก็หน้ามืดเพราะความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามา ..คนที่รักมนุษย์ยิ่งกว่าใครๆกลับถูกปั้นให้กลายเป็นตัวร้าย ศัตรูของมวลมนุษย์”
….
“ต่อให้จิตใจเข้มแข็งหรือว่าฉลาดเพียงใด แต่ดิลุคก็เป็นเพียง ‘มนุษย์’ ”
ใช่แล้ว ดิลุคน่ะก็แค่คนธรรมดาเหมือนๆกับผมและทุกคน คงจะแบกรับเกินไปจนไม่ไหว หรือไม่ก็คิดดีแล้ว แต่อย่างไรก็ช่างมัน หน้าที่ผมก็มีแค่–เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
ผมไม่เคยพ่ายแพ้นับล้านเหมือนดิลุค ไม่เคยตายซ้ำตายซ้อนแบบเรน ไม่เคยต้องผิดหวังหลายครั้งอย่างออโรโบรอส ถึงกระนั้นผมก็ยังคิดจะเปลี่ยนแปลง? ความคิดของเด็กน้อย? เอาสิ จะโดนหาว่าเป็นเด็กน้อยหรือไร้เดียงสาก็ช่าง ที่ผมอยากจะทำก็มีแค่–การคว้าความสุขมาครองให้จงได้ ..ทั้งหมดก็แค่–เพราะผมรักเบลลามี มีอยู่แค่นั้นแหละ
โลกมายาถูกทำลายอีกครา ผมนั่งอยู่บนโขกหินจ้องไปที่เปลวเพลิงซึ่งลอยอยู่บนกิ่งไม้ ข้างหน้ามีอานิม่าในร่างของโซล่าจ้องมาอยู่
อานิม่ายิ้มให้ผม
“พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว คิดเห็นอย่างไรบ้างคะ?”
“นั่นสินะ..”
คงจะแหกปากด่าคนอื่นไปทั่วไม่ไหว เพราะผมไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย แต่ที่จะพูดก็เหมือนเดิม
“ฉันจะคว้าความสุขไว้ให้ได้ ..คนที่มาขวาง คือศัตรู มันก็แค่นั้น”
“…”
ผมแสยะยิ้มให้อานิม่า
“แค่เผอิญว่าความสุขของฉันมันคือการช่วยเหลือเบลลามีและโลกใบนี้ที่เธอรักก็แค่นั้น ที่ฉันต้องทำต่อจากนี้ก็คือการสร้างตอนจบที่ทั้งฉันและเธอคนที่ฉันรักปารถนา ..นั่นคือการนำทางโลกใบนี้ไปสู่จุดจบที่คู่ควร”
ทุกอย่างควรเป็นไปตามวัฐจักร
“ในฐานะข้อผิดพลาดของโลก ฉันจะเป็น ‘จอมมารแห่งจุดสิ้นสุด’ เอง ..ฉันจะเข้าร่วมมหาสงครามบ้าๆนี่ จะบดขยี้เรนให้เละ จะลากหัวออโรโบรอสลงมาจูบกับพื้น แล้วก็จะครองรักกับเบลลามีอย่างมีความสุข”
ไม่ได้ดีเด่นไปกว่าใคร ไม่ได้มีอุดมการณ์เพื่อส่วนรวม ที่พูดออกมามันดูเห็นแก่ตัวเสียด้วยซ้ำ ในหมู่สามคนที่ตีกันนั้น ผมคือคนที่ควรจะพังพินาศก่อนใครเพื่อนแน่นอน
“ที่พูดมาเนี่ย ดูเหมือนตัวร้ายเลยนะคะ”
“แหงอยู่แล้วสิ จอมมารน่ะเป็นชื่อที่ไว้ใช้เรียกตัวร้ายนะ”
ทั้งอย่างนั้น ดิลุคที่ทำเพื่อทุกคนกลับต้องแบกรับนามนี้เอาไว้ ..ลำดับแรกผมจะชิงนามของตัวร้ายนั้นมาจากดิลุค จะแบกรับชื่อของจอมมารแทน เปลวเพลิงที่ไม่มีวันดับคือสัญลักษณ์ของ—ตัวผม ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ อดีตตัวร้าย ได้ประกาศตัวเองเป็นจอมมารต่อหน้าเทพแห่งจิตวิญญาณ
นี่คือหน้ากระดาษแรก–สู่บทตำนานของ ‘จอมมาร’ ตนใหม่