< < 161 Sec2 > >
ใช้เวลาเพียงไม่นานกองทหารเรือก็เข้าจับกุมโจรสลัดที่ถูกหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด รวมถึงเข้ามาดูแลผู้คนในเรือที่ผมโดยสารมา รวมถึงพูดอธิบายและกล่าวขอโทษความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับการทำงานที่ผิดพลาดจนทำให้ทุกคนลำบาก แม้จะไม่ได้บอกเหตุผล แต่ขอโทษมาก็ดีแล้วล่ะ? สำหรับยุคสมัยนี้ ยากนักที่จะเห็นพวกองค์กรระดับสูงเปิดอกยอมรับความผิดพลาดของตัวเองน่ะนะ ยกตัวอย่างก็สมาพันธ์จอมเวทย์ของอาณาจักรฟัฟนิร์ที่มีแต่พวกหวงยศและตำแหน่งของตัวเองจนขึ้นสมอง
นั่นหมายความว่าทหารเรือของเนลยอนดีกว่านั้นรึ? ก็ไม่อยากฝังธงหรอก เพราะไม่กี่ปีก่อนที่ผมมาเยือนสภาพโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างกันซะเท่าไหร่ จึงอาจแปลได้ว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากองเรือกลุ่มนี้เป็นคนดีที่ยากจะหาได้ในองค์กร
หลังจากที่นั่งฟังทหารเรืออธิบายการโจมตีของโจรสลัด และขอโทษขอโพยเป็นเรียบร้อย ผมก็ทำท่าจะกลับมานั่งที่เดิม ทว่าก็มีทหารเรือคนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างหลัง
“เป็นเวทมนตร์ที่ดีเลยนี่ ทั้งรวดเร็ว รุนแรงและแม่นยำ”
“อ่า ขอบคุณครับ”
เพราะเป็นคทาเวทย์ที่เสริมความรุนแรงกับความเร็วของเวทมนตร์นับสิบเท่า แค่นั้นไม่พอ ความแม่นยำก็ได้มาจากผนึกเวทย์ของการาวิเทีย ที่ทำให้ผมสามารถควบคุมเวทมนตร์ที่ปล่อยออกไปได้แม้จะห่างจากตัวแค่ไหน ขอแค่อยู่ในระยะสายตาก็พอน่ะนะ
ถึงขั้นตอนการควบคุมทุกอย่างจะยุ่งยาก แต่ให้ว่าโดยง่าย เป็นเพราะอุปกรณ์เวทมนตร์ทั้งนั้นแหละ
“ถึงทั้งหมดจะเป็นเพราะอุปกรณ์เวทมนตร์ก็เถอะ แต่ก็ขอกล่าวชมตามมารยาท แม้ว่ามันจะไม่ได้มาจากฝีมือนายเลย”
…ไอผมคิดแบบนั้นก็จริงนะ แต่พอมาโดนพ่นคำพูดใช้เนี่ยแอบชวนหงุดหงิดแฮะ ทำในหัวปนกันไปมาประมาณว่า ก็จริงแหละที่เป็นเพราะอาวุธ แต่ แต่ การจะควบคุมมันได้ยากโคตรเลยนะ แล้วก็กินมานามากด้วย ถึงทางนี้จะมีสูตรโกงวิหคอมตะก็เถอะ แต่ แต่–อะไรประมาณนี้เลย
ผมทำเป็นไม่สนใจจนกระทั่งเจ้าตัวเดินมาจับไหล่ผม ดูจากตำแหน่งที่วางมือแล้ว อีกฝ่ายน่าจะตัวเล็กแล้วก็เป็นผู้หญิงด้วย ที่แยกเพศไม่ออกก่อนหน้านี้ เพราะเสียงของเธอดูแมนนิดหน่อย
“เอาเป็นว่าพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะ ‘เรเซอร์’”
“..เอ๊ะ?”
จะว่าไป เสียงก็ดูคุ้นๆด้วยสิ ..ผมหันหลังกลับไป และก็ต้องตกกะใจกับภาพที่เห็น
ผู้หญิงตัวเล็กผู้มีเลือนผมสีดำยาวสลวยเกือบจะลากไปมาตามพื้นได้ ดวงตาสีเหลืองดูเฉียมคมประหนึ่งอินทรีย์ ผิวสีออกไปทางน้ำผึ้งจางๆ ตัวเตี้ยมาก น่าจะราวๆ 155-160 ซ.ม. ไม่เกินนี้ นอกจากจุดเด่นพวกนี้แล้วที่เด่นที่สุดเลยก็คือชุดทหารเรือยศระดับสูงขัดกับอายุที่ดูแล้วไม่น่าเกิน 20 ปี (ถึงจริงๆจะเกินก็เถอะ)
ชุดของเธอเป็นชุดทหารเรือสีขาวตัดไปมาด้วยสีทอง บริเวณอกข้างขวาติดยศและเหรียญตราความสำเร็จไว้มากมาย แต่เด่นที่สุดเลยก็คือสัญลักษณ์ยศ ‘พลตรี’ ระดับที่สูงที่สุดรองจาก จอมพล ,พลเอก และ พลโท
แล้วก็ผ้าคลุมไหล่สีดำที่ทำมาจากเนื้อผ้าและฝีมือการทำห่วยบรมราวกับว่าถูกเย็บโดยเด็กสิบขวบ แต่ยังดีที่มีก้อนเงินสองก้อนแปะอยู่บริเวณไหล่ ทำให้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
ผมกระพริบตาปริบๆไม่อยากเชื่อสายตา ค่อนข้างช็อคเลย–ว่าแล้วก็วิ่งไปข้างหลัง
ปีกสีดำอันใหญ่และยาวรวมถึงสง่างามที่พับไว้กับตัว ด้วยจุดเด่นทางร่างกายนี้ทำให้ชุดทหารเรือของเธอมีจุดเด่นที่จะเปิดหลังตั้งแต่บริเวณเอวจนถึงลำคอเลย แต่ไม่ต้องห่วงนะ ไม่มีใครมองเห็นจุดที่ไม่น่ามองข้างล่างหรอก เพราะตรงกางเกงรัดไว้ด้วยเข็มขัดแน่นทีเดียว
ผมจับเข้าที่จุด ‘อ่อนไหว’ บนปีก
“ฮึย!”
เธอร้องเสียงหลงออกมา พร้อมกับ–ต่อยเข้าที่เบ้าหน้าของผมอย่างจัง
เร็ว–ยิ่งกว่าพวกนักดาบขั้นบรรลุทั่วๆไปอีก ทั้งๆที่ตอนที่เจอกันล่าสุด เธอคนนี้ยังมีความเร็วเทียบเท่านักดาบขั้นสูงแค่นั้นเอง
กล่าวคือพลังกายพื้นฐานมากกว่าผม แรงหมัดช้างชัดๆ
หน้าผมบวมและมีเลือดไหลออกมาคล้ายว่ากำลังจะตาย ถึงกับต้องรีบใช้วิหคอมตะรักษาทันทีเลยละ ไม่นั้นสลบแหงๆ
“หมัดหนักกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะ”
เพราะเมื่อก่อนโดนเธอตรงหน้าอัดประจำ ทำให้ทราบแรงกระแทกถึงแก่นแท้ และไม่มีทางลืมเลย
ผมลูบหน้าตัวเองไปมาพลางยิ้มให้อีกฝ่ายไปด้วย เธอคนนี้มีชื่อว่า– ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ เพื่อนเก่าของผมที่อาศัยอยู่ ณ อาณาจักรเนลยอน
“บอกกี่รอบแล้วว่าอย่าจับ ไม่เคยฟังกันเลยนะนายน่ะ”
“มันก็ต้องเช็คของกันบ้างน่ะนะ ทางนี้กลัวว่าจะเป็นภาพลวงตาเอาได้”
“เว่อร์จริงๆ”
ไม่ได้เว่อร์หรอก ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ..ว่าไงดี ก่อนที่จะแยกทางกันก็ทะเลาะกันซะยกใหญ่ด้วยสิ การเจอกันอีกครั้งเลยชวนให้รู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาแล้วก็–แอบกลัวนิดหน่อย
เจ้าตัวยื่นมือมาให้ผมที่ล้มลงกับพื้น ถ้าเป็นแต่ก่อนไม่มีทางทำแท้ๆ ผมรับมือนั้นแลกขึ้นมายืนในพื้นระดับเทียบเท่ากับเธอ
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ เติบโตอย่างยิ่งใหญ่ตามที่เคยโม้ไว้ได้ดีเลยนี่ ยัยซึนเดเระยุคเริ่มต้น”
ผมเอามือตัวเองไปวางไว้บนหัวของยัยซึนเดเระยุคเริ่มต้น แอบชื่นชมนิดหน่อยน่ะเนี่ย เพราะแค่ไม่กี่ปีก็ขึ้นมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ทั้งๆที่ตอนเจอกันยังเป็นแค่ตำรวจที่มีแต่ประชาชนไม่ชอบหน้าแล้วก็เป็นที่รังเกียจของที่บ้านอยู่เลยแท้ๆ พูดถึงด้านการเติบโตในเป้าหมาย เธอน่าจะไปได้ไกลกว่าผมไม่รู้กี่เท่าแล้ว
หล่อนเขม็งใส่ผมเหมือนทุกทีก่อนจะปัดมือผมออกจากหัว
“เลิกเรียกฉันว่า ซึนเดเระยุคเริ่มต้นได้แล้ว เดี่ยวปั้ดโดนต่อยอีกรอบหรอก”
ที่เรียกว่าซึนเดเระยุคเริ่มต้น เพราะเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจและชอบใช้กำลังไม่พอยังตัวเตี้ยอีกนั่นแหละนะ ทำเอานึกถึงตัวละครหัวรุนแรงสุดน่ารักในโลกเก่าเลย ถ้าเป็นคนๆนั้นที่ผมเคราพรัก เขาจะชอบ ‘ยัยเoือมือถือ’ น่ะ ส่วนผมไม่ได้ชื่นชอบความรุนแรงจึงไม่มีตัวอวยเป็นพิเศษ
“แล้วก็ทำตามที่เคยโม้ไว้ได้หมดแล้วด้วย เลิกหาว่าฉันขี้โม้สักที เลิกเรียกว่าซึนเดเระยุคเริ่มต้นด้วย เข้าใจนะ ไอ้บ้าโลลิค่อน”
เท็งงุ เบ็นจิโร่ ภายนอกและนิสัยยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อก่อน
“เพราะหาว่าฉันเป็นโลลิค่อนเนี่ยแหละ เจ้าหญิงอาณาจักรเธอเลยกังวลแทบแย่เลยนะ”
“หรือจะให้เรียก ‘สุภาพบุรุษเพลิงสังหาร’ ดี?”
“พอเลย น่าอายชะมัด หล่อนไม่อายรึไงหะ? ที่โดนเอาไปเขียนจิ้นกับฉันไม่รู้สารพัดน่ะ”
“อายจนแทบอยากฆ่าตัวตายเลยละ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยการช่วยเหลือของคนรอบตัว”
โกหกเห็นๆ หล่อนมีคนรอบตัวที่ไหนกัน–แต่ก็ช่างเถอะ ช่วงที่ผมไม่อยู่ไม่กี่เดือน เธอเองก็น่าจะมีเพื่อนคนอื่นนอกจากหมาแมวในเขตุที่ดูแล จากที่บอก เท็งงุ เบ็นจิโร่ ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้แต่ก่อนเป็นเด็กหัวรุนแรงจนไม่ยักจะมีเพื่อนหรือคนรู้จักที่พึ่งพาได้สักคน
เบ็นจิโร่ถอนหายใจเฮือกโต เมื่อลดความสนใจจากผมเธอก็เห็นอานิม่าที่ยืนอยู่ข้างๆผม ทั้งสองจ้องหน้ากันสักพัก
“คนรักนั้นเหรอ?”
“แค่คนรู้จักน่ะค่ะ”
“ยังไงก็เป็นถึงขุนนาง ทางนี้นึกว่าจะเป็นคนรักซะอีก–นี่ผู้ติดตามเหรอ?”
“เรียกว่าเพื่อนร่วมทางน่าจะถูกกว่า แล้วก็คนรักน่ะมีแล้วนะ”
ผมยิ้มให้เบ็นจิโร่อย่างโอ้อวด ไม่รู้ทำไมสีหน้าของเบ็นจิโร่ถึงดูตึงๆขึ้นมา–ทำหน้าคล้ายว่ากำลังเข้าเฟซโมโหแรง
“อ๋อเรอะ ทางนี้ก็มีคู่หมั้นเป็นสุภาพบุรุษจากตระกูลอามาเทราสึแล้วเหมือนกัน”
ระดับเชื้อพระวงศ์เลยนี่นา สุดยอดแฮะ
“ทางฉันก็มีสุดยอดเมดที่ดีที่สุดในโลกสองคน แล้วก็ว่าที่คนที่จะไขปริศนาของโรคมานาย้อนกลับ ประมาณนั้น”
“มีคนรักสามคนเลยสินะ โลภมากซะจริงๆ ให้เดาหนึ่งในสามอย่างน้อยๆน่าจะมีคนที่ใกล้เคียงกับโลลิเป็นพิเศษสินะ”
“อะไรฟร้ะ หน้าตูมีคำว่าโลลิติดรึไง ถึงได้พูดจัง”
ก่อนที่พวกเราจะได้ทะเลาะกันครั้งแรกในรอบหลายปี
“ท่านพลตรีครับ!”
เสียงร้องเรียกเบ็นจิโร่จากเหล่าทหารเรือลูกน้องได้ดังขึ้น เบ็นจิโร่ลดความสนใจทั้งหมดไปจากผมแล้วก็เดินไปทางเสียงเรียก แต่ก่อนจะเดินหายไป เธอก็หยุดเดินและหันกลับมามอง
“จะไปไหนกันต่อ?”
“ก็อาณาจักรเนลยอนนั่นแหละ”
“พอดีเลย กองเรือฉันจะคอยคุ้มกันเอง ยังไงก็ใกล้ๆจะถึงแล้วด้วย เพื่อความปลอดภัยจะยอมสละเวลาถึงฐานกองทัพเรือราวเกือบครึ่งหนึ่งให้ละกัน”
เป็นพลตรีที่ใจบุญได้น่าหมันไส้จริงๆแฮะ
“แล้วก็หลังเสร็จเรื่องทั้งหมด ไว้มาพูดคุยด้วยกันหน่อยสิ มีเรื่องจะคุยด้วยเยอะเลย”
“อือ เข้าใจแล้ว”
คุยกันจบเบ็นจิโร่ก็ยิ้มส่งให้ผมก่อนจะเดินไปทำงานของตัวเองต่อ
อานิม่าที่เอาแต่ยืนไร้ตัวตนตั้งแต่เมื่อกี้ได้หันมามองหน้าผมพร้อมกับทำสีหน้าแปลกๆใส่
“มีอะไร?”
“ถ้ามีเรื่องบาดหมางกันก็รีบๆเคลียร์ดีกว่านะคะ”
..โดนอ่านเรื่องในอดีตเฉยเลย
ผมถอนหายใจเฮือกโตและแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า
เรื่องที่จะคุยต่อจากนี้..ถ้าไม่ทะเลาะกันซ้ำอีกรอบก็คงจะดี
****
พระอาทิตย์ได้ตกดินเป็นที่เรียบร้อย กองเรือของทหารเรือนับสิบรำกำลังมุ่งหน้าไปโดยที่ดูแลทั้งซ้ายและขวาของเรือโดยสารที่ผมนั่งอยู่ และตอนนี้เองก็ใกล้ถึงช่วงเข้านอนแล้ว ราวๆสี่ห้าทุ่ม ที่ว่าใกล้ถึงช่วงใกล้นอนนี่มีความหมายแค่ตัวผมนะ คนอื่นปกติไม่ได้นอนดึกขนาดนี้กันหรอก อย่างอานิม่า ตอนนี้ก็หลับปุ๋ยฝันดีไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว
ผมยืนกอดอกพิงเสาบนเรือ ยืนอยู่ ณ จุดๆที่มองเห็นแค่ข้างหน้าและไม่อาจมอบเห็นข้างหลังได้
“..”
โดยปกติ ในช่วงวันสองวันมานี้ ถ้ามืดขนาดนี้ผมจะนอนเล่นอยู่ในห้องนอนแล้ว แต่วันนี้พิเศษต่างกับทุกวัน เพราะผมตั้งใจว่าจะเจอคนๆหนึ่งก่อนเข้านอน
ไม่นานกับที่คาดเอาไว้ หล่อนบินลงพื้นอย่างสวยงามตรงหน้าผมที่มีแสนจันทร์ส่องลงมา เลือนผมสีดำแล้วก็ดวงตาสีเหลืองเบื้องหน้าราวกับว่ามันกำลังส่องแสงอยู่
‘เท็งงุผู้งดงาม’ คือภายนอกของ ‘เท็งงุบ้าเลือด’ ชื่อดังแห่งย่านการค้าของเนลยอน
ปีกที่สวยงามแต่ไร้ค่า ดวงตาที่งดงามแต่แท้จริงแล้วคือยาพิษ ทั้งหมดคือพรที่เบ็นจิโร่ได้รับมาจากขีดจำกัดสายเลือด
ผมไม่อาจทราบได้ว่าพรที่เหมือนคำสาปเหล่านั้นได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง แต่คิดว่า–ถ้าเป็นเธอตรงหน้า คงจะทำให้ปีกไร้ค่านี้กลับมามีค่าได้แล้ว เช่นเดียวกับดวงตาของเธอ ถามว่าเอาอะไรมาแน่ใจ? ก็ง่ายๆเลย เท็งงุ เบ็นจิโร่ ตรงหน้านั้นเป็นคนที่สุดยอด แม้จะทะเลาะกันบ่อย แต่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมนับถือจากใจจริง และเป็นคนที่หลายๆด้าน ผมมองว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของตัวผมเอง
วันวานที่ได้พบกับไหลเข้ามาในหัวผม เรื่องราวถึงหนึ่งเดือนเต็มๆกับเธอตรงหน้า หากไม่บอกว่าน่าหวนนึกถึงก็ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรดี
ผมยิ้มให้เท็งงุบ้าเลือด เท็งงุบ้าเลือดไม่ได้ยิ้มตอบกลับอะไร เธอทำเพียงยืนพิงเสาของเรือตรงหน้าผม ในระยะห่างราวๆสองเมตรได้ เห็นอย่างนั้นผมเลยลุกขึ้นและไปยืนอยู่ข้างๆเธอ
พวกเรายืนอยู่นิ่งๆ ผมยืนล้วงกระเป๋า ส่วนเธอยืนกอดอกและปล่อยให้เส้นผมของตัวเองปลิวไปตามสายลม
“ถึงจะน่ายินดีเรื่องยศและชื่อเสียงในตอนนี้ก็เถอะ แต่ว่างานหนักน่าดูเลยนะ”
เธอไม่ได้เรียนต่อโรงเรียนของเนลยอน ทันทีที่วงจรเวทย์สมบูรณ์ ตั้งแต่อายุ 14-15 เธอก็เข้าทำงานที่กรมตำรวจยาวๆ เท่าที่ทราบหลังจากแยกกับผม เธอก็ไปเข้าร่วมกองทหารเรือและสร้างชื่อและผลงานให้ตัวเองมากมายในเวลาไม่นาน
ตอนนี้ผ่านมาราวสามปีกว่าๆแล้วตั้งแต่ได้พบกับผม เธอน่าจะมีอายุราวๆ 20 ปี หรือไม่ก็ 21 ปี เข้าไปแล้ว
อายุแค่นี้ก็มาไกลขนาดนี้แล้ว แถมยังทำงานหนักมาตั้งแต่อายุน้อยอีก
“ไม่คิดว่าใช้ชีวิตตึงเครียดไปหน่อยหรือไง”
ทิ้งช่วงชีวิตทั้งหมดของตัวเองก็เพื่อความฝันที่จะสร้าง ‘ความยุติธรรม’ ให้มากที่สุดในอาณาจักรที่ตัวเองรัก นี่คือความฝันของเบ็นจิโร่
“ก็ไม่นี่ ทุกวันฉันเองก็สนุกดี ไม่ใช่ว่าต้องตัวคนเดียวเสียหน่อย มีพวกพ้องทหารเรือมากมายร่วมต่อสู้พร้อมด้วยความฝันที่เหมือนๆกับฉัน แล้วก็ว่างๆมีไปคุยกับเจ้าหญิงโทมิเรียเหมือนกัน ชีวิตตอนนี้ฉันไม่เห็นว่าตรงไหนที่มันขาดหรือเกินเลย”
ได้ยินแบบนี้ผมก็ยินดีด้วย
“ทางนายต่างหาก ใช้ชีวิตซะผ่อนคลายเชียวนะ มาเที่ยวนั้นรึ ในช่วงที่กลิ่นสงครามตุๆมาน่ะ”
ช่วงนี้โลกอาจจะเข้าใกล้สงครามใหญ่เข้าไปทุกที ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เรนออกอาละวาดอาณาจักรฟัฟนิร์ เกาะวาเรอร์ แล้วก็งานประชุมโลก บางทีตอนนี้สงครามอาจจะเริ่มได้ทุกเมื่อ ขอเพียงแค่เรนตัดสินใจลงมือก็แค่นั้น
ด้านกำลังรบ ผมเองก็เห็นว่ามีพอจะประกาศสงครามใหญ่อยู่แล้ว
“น่าเสียดายแต่ไม่ได้มาเที่ยวหรอก ทางนี้ก็มีธุระสำคัญเหมือนกัน”
“หน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จที่เคยบอกในอดีตสินะ”
“ใช่แล้วละ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จเลยนะ ให้เทียบกันแล้ว ทางเธอน่าจะไปถึงฝั่งแล้วด้วยซ้ำ”
เบ็นจิโร่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นจมูก
“ความฝันของฉันไม่มีตอนจบหรอกนะ โลกไม่มีทางยุติธรรมถึงแก่นแท้ และฉันก็ไม่ได้มีคุณสมบัติพอจะเปลี่ยนแปลงโลกในเชิงโครงสร้างด้วย หน้าที่ของฉันมากที่สุดก็มีแค่การกำจัดความไม่ยุติธรรมทั้งหมดก็แค่นั้น”
มันจึงเป็นหน้าที่และความฝันที่ไม่มีวันจบนั่นเอง
“แล้วเจอหรือยังล่ะ?”
“หมายถึงอะไร?”
“เด็กผู้หญิงตัวเล็กผมสีดำยาว ตาสีแดง ที่เงียบๆมึนๆในคำทำนายที่เคยเล่าให้ฟัง”
อนึ่ง ผมใส่คำว่า ในคำทำนาย ไว้ตอนเล่าเรื่องของเบลลามีให้เบ็นจิโร่ฟัง
“เจอแล้ว เธอคนที่ว่าเป็นหนึ่งในว่าที่ภรรยาของฉัน–ไม่สิ แค่ดูใจกันก่อนเฉยๆมากกว่า”
“กลายเป็นโลลิค่อนโดยสมบูรณ์แล้วนี่เอง”
“ไม่ใช่เฟ้ย”
“ผู้หญิงอีกสองคนที่ว่าล่ะ?”
“ทั้งสองเป็นเมดที่อยู่กับฉันมาตั้งแต่เด็กน่ะ คนหนึ่งเป็นเด็กร่าเริงที่แสนวิเศษ คำพูดของเธอมันมีพลังวิเศษที่ช่วยให้พลังบวกผู้คนได้ อีกคนเองก็วิเศษไม่แพ้กัน ทั้งฉลาดและเปี่ยมด้วยไหวพริบ เป็นคนที่จะคอยตักเตือนทุกอย่างโดยเหตุผลเสมอ”
“ได้คนที่ดีจนน่าเสียดายเลยนะ”
คำด่าผมที่กึ่งหนึ่งชมทั้งสองคนนั้น ผมไม่ได้รังเกียจเสียทีเดียว
“นั่นสินะ ทั้งสองวิเศษจนแอบน่าเสียดายเลย”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความสุข ..แอบเคลิ้มนิดหน่อย
“เธอเองก็เห็นบอกว่ามีคู่หมั้นแล้วไม่ใช่รึไง เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“…คุยกันล่าสุดครึ่งปีก่อน”
….
“นั้นเหรอ”
“ทางฝั่งตระกูลอามาเทราสึเป็นคนยื่นขอดูตัวมาให้ทางตระกูลของฉัน ตอนนั้นเองก็ครุ่นคิดอะไรหลายๆอย่างอยู่ อยากจะลองอะไรแปลกๆบ้าง ทำให้ตอบตกลงดูตัวกันก่อน เรื่องที่ว่าเป็นคู่หมั้นเนี่ยก็พึ่งรู้เมื่อสองสามเดือนก่อนเอง”
..เอ๊ะ? เจอกันล่าสุดปีก่อนไม่ใช่รึไง
“ว่าง่ายๆก็คลุมถุงชนนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องที่น่าหลงใหลเหมือนอย่างนายโลลิค่อนหรอก”
“ลำบากแย่เลยนะ แต่ถ้าชอบก็ตอบตกลงก็ได้นี่ ดูไม่ได้รังเกียจนี่”
“เพราะไม่ชอบนี่แหละเลยจะไม่ตอบตกลง แค่จู่ๆก็หมั้นกันเองโดยไม่ถามกันก่อน ฉันก็ไม่เอาไว้แล้วละ ลักษณะนิสัยเจ้าตัวก็ใช่ว่าจะดี เป็นพวกชนชั้นสูงปากเจ๋งที่ชอบดูถูกประชาชนในอาณาจักรตัวเอง”
ถ้าเรื่องรักๆของผมเป็นทุ่งราเวนเดอร์ ของเบ็นจิโร่น่าจะเป็นที่แห้งที่เต็มไปด้วยสารเคมี
“เอ่อ ..นอกจากแต่งงานการเมืองแล้วมีคนอื่นเข้าหารึเปล่า”
“พูดแล้วก็ค่อนข้างเยอะ”
เหวอ อะไรละนั่นการตอบกลับที่ดูวางมาดนั่น
“บ้างก็เป็นทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ บ้างก็เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ บ้างก็เป็นคนจากตระกูลขุนนางอื่นๆ บ้างก็เป็นเพียงแค่สามัญชนในกองทัพทหารเรือทั่วๆไป ฉันเองก็นึกสงสัยเหมือนกันว่าตัวเองมีสเน่ห์ขนาดนั้นเลยหรือไง เด็กสาวทั่วๆไปน่าจะน่าสนใจกว่าเยอะแท้ๆ คนที่วันๆเอาแต่ฝึกต่อสู้แล้วท่องเรือล่าโจรสลัด ล่าพวกโจรข้ามชาติอย่างฉันมันมีดีขนาดนั้นเลยรึไง ..แปลกที่สุดบางทีก็มีผู้หญิงจากกลุ่มผู้ดีมาบอกรัก”
ยังคงขี้โม้ไม่เคยเปลี่ยน-ว่าไปนั่น
“สเน่ห์น่ะไม่ได้มีอยู่มิติเดียว มันมีหลายมิติ หลายรูปแบบ อย่างความรักเพศเดียวกัน ความรักต่อคนที่มีอายุมากกว่า ผู้หญิงที่แข็งแกร่งและห้าวหาญอย่างเธอ อาจจะไม่น่าเชื่อ แต่ก็ดูมีสเน่ห์เฉพาะตัวอยู่ เพราะนั้นมั่นใจไว้เถอะน่า”
ได้ยินอย่างนั้นเบ็นจิโร่ก็เผลอยิ้มออกมาอย่างเกร็งๆ เธอหรี่ตามองพื้นด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่คิดจะตอบตกลงใครทั้งนั้น เหตุผลไม่ใช่เพราะเรื่องงานหรือว่าอะไรทั้งนั้น”
…
เบ็นจิโร่ส่งสายตาที่จริงจังมาให้ผม ไร้ซึ่งอาการอื่นๆใดๆนอกจากความแน่วแน่ที่น่าหลงใหลอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
เท็งงุ เบ็นจิโร่ เป็นคนที่เท่ ใช่ เท่มากๆ แม้ภายนอกจะดูเป็นผู้หญิงน่ารักๆทั่วๆไป แต่เธอมีจิตใจและการแสดงออกที่เท่บาดตา
“คนที่ฉันจะรัก ..คือคนที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างฉันได้ในทุกสนามรบ”
“….”
ความทรงจำที่ไม่มีทางลืมในอดีตย้อนเข้ามาในหัวผม มันคือจิกซอว์ที่ทำให้ผมรู้ทุกอย่างในใจของเบ็นจิโร่สำเร็จ
แบบนั้นเองเหรอ? คิดเข้าข้างตัวเองอยู่? ไม่น่าใช่
“เรเซอร์ ดราแคล์ เรื่องเมื่อวันนั้นฉันขอโทษ เพราะยังเด็กเกินไปเลยยังไม่ประสีประสาในทุกๆเรื่อง กระทั่งเรื่องในจิตใจของตัวเองก็ยังไม่ได้เข้าใจได้ดีพอ สุดท้ายก็ทะเลาะกัน ต่อว่านายอย่างไร้เหตุผล แล้วก็จบลงอย่างเลวร้ายที่สุด”
“ฉันเองก็เหมือนกัน ขอโทษที่หนี คือมันก็รีบด้วยแหละ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะไม่กล้าสู้หน้ากระมัง?”
ผมหัวเราะเจื่อนๆ เบ็นจิโร่นิ่งเงียบ
“จะขอพูดธุระที่ค้างไว้เมื่อเช้านะ ..”
ผมพยักหน้ารับ เบ็นจิโร่จึงพูดออกมา
“นายคือคนแรกที่เชื่อในพลังของฉัน เป็นคนแรกที่เข้าหาฉัน เป็นคนแรกที่สั่งสอนฉันในหลายๆเรื่อง ทั้งยังเป็นสหายร่วมรบคนแรกของฉันอีกด้วย ถ้าหากจะต้องตายพร้อมใครในสนามรบแล้วละก็ คนๆนั้นคือนายไม่ผิดแน่ ฉะนั้นแล้ว..ช่วยอยู่ค้างฉันในทุกสนามรบได้หรือไม่?”
คำเชื้อชวนที่เต็มไปด้วยความปารถนามากมายข้างใน มันดูเท่เหมาะกับเบ็นจิโร่สุดๆ บางทีนะ ..บางที ..ถ้าเกิดผมเป็นเพียงเรเซอร์ ดราแคล์ ที่มิได้มีเป้าหมายหรือสิ่งผูกมัดใดๆ ผมคงจะตอบรับคำเชิญนี้
ความฝันของเธอ เป้าหมายของเธอ ชีวิตของเธอ มันช่างน่าหลงใหล ชีวิตที่ดำเนินต่อไปท่ามกลางพายุ เธอไม่ได้ตั้งใจจะเดินผ่าน เธอตั้งใจจะสลายพายุทั้งหมดทิ้งด้วยพลังของตัวเองและผู้คนที่เดินตามหลังมา
เท็งงุ เบ็นจิโร่ คือกลุ่มก้อนแห่งความปารถนาและความฝันที่แรงกล้า เพียงแค่เธอพูด ก็มีพลังมากพอจะทำให้ผู้คนเดินตามเธอแล้ว ..แต่ว่า เหมือนกับเมื่อตอนนั้นนั่นแหละ ในคืนที่ผมกับเธอกำจัดโจรชั่วทั้งหมดได้แล้ว คำถามเดิม และถัดจากนี้ไปก็คือคำตอบที่ไม่ต่างไปจากเดิม
เบ็นจิโร่คือผู้ที่ยืนอยู่ในสนามรบทุกเวลา คนที่ยืนเคียงข้างเธอได้จะต้องยืนอยู่ ณ จุดๆเดียวกับเธอได้ แต่ว่า–
“ขอโทษนะ”
เบ็นจิโร่เมื่อได้ยินเธอกลับยิ้มออกมา ราวกับว่ากำลังรอคำตอบนี้
“ตอนนี้-ฉันเองก็มีสนามรบของฉันอยู่เหมือนกัน”
“น่าเสียดายนะ”
“หน้าตาดูไม่เป็นอย่างนั้นเลยนะ”
ดูยินดีกับคำตอบนี้มากกว่า
“เรเซอร์ รู้รึเปล่าว่าตำแหน่งคนที่ยืนอยู่ข้างๆฉันน่ะเกิดขึ้นมาหลังจากที่ได้พบกับนายนะ ไม่ใช่ว่ามันเคยมีมาก่อนแล้วนายคู่ควร แต่เป็นเพราะได้พบกับนาย มันจึงมีตำแหน่งนี้ขึ้นมาต่างหาก”
“เป็นเกียรติจริงๆ”
“..แต่ว่าคำตอบเมื่อกี้ปลดล็อคแล้วละ จากนี้ไป ตำแหน่งคนที่จะอยู่ข้างๆจะไม่ใช่ เรเซอร์ ดราแคล์ แต่เป็นใครก็ได้ที่สามารถเป็นมือขวาให้ฉันได้ในสนามรบ ..ไม่ใช่ตัวตนที่เกี่ยวกับความรู้สึกในใจ แต่เป็นตัวตนที่คู่ควรกับตำแหน่งนี้อย่างแท้จริง”
ยัยนี่–ใช้ผมเป็นตัวปลดพันธแปลกๆในใจนี่เอง
“ตลอดมาลำบากแทบแย่เลยละ เพราะแบบนี้ฉันเลยไม่มีมือขวาอย่างที่ควรจะมีสักที ความผิดของนายเลยนะ โลลิค่อน”
“เรเซอร์สิฟร้ะ ยัยเท็งงุบ้าเลือด”
“จะว่าไป ยูนา เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
รีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเลยแฮะ
“อ่า ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ออกมาพูดคุยกับฉันได้แค่ครึ่งวันน่ะนะ”
“เข้าใจแล้ว ฝากทักทายด้วย ธุระมีแค่นี้แหละ”
“รีบจริงนะ ไม่อยู่คุยอีกหน่อยรึ?”
“พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปอบรมลูกเรือที่พึ่งเข้ามาใหม่”
บางทีน่าจะเป็นลูกเรือที่ทำงานพลาดไปเมื่อเช้า น่าจะโดนสวดยกใหญ่เลยดูทรง
กล่าวจบเบ็นจิโร่ก็ผละตัวออกจากเสาบนเรือ แล้วก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง …แผ่นหลังเล็กๆของเบ็นจิโร่นั้นเติบโตขึ้นมากจากแต่ก่อน ตอนนี้เธอกลายเป็นทหารเรือผู้ทรงด้วยเกียรติยศอย่างแท้จริง คนอย่างเธอเองต่อจากนี้ก็จะพัฒนาต่อไป และคงไม่ยึดติดอยู่กับผมอีกต่อไปแล้วตามที่เธอได้ลั่นวาจาเอาไว้
ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน เธอมิได้เคยหลงทางเลย ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เธอก็จะมุ่งสู่เป้าหมายเสมอ .ผมคิดนะ ..ว่าตัวตนอย่าง ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ เนี่ย ช่างเท่จริงๆ